xs
xsm
sm
md
lg

พฤติกรรมทุจริต : ปัญหาที่ต้องแก้ไขและป้องกัน

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

ในทุกสังคมที่มีผู้คนอยู่ร่วมกัน จะต้องมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่การกระทำของผู้คนในฐานะปัจเจกบุคคลจะต้องมีดีบ้างเลวบ้างปะปนกันไป

แต่พฤติกรรมของสังคมโดยรวมจะจัดอยู่ในประเภทดีหรือเลวนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการดังต่อไปนี้

1. ผู้คนในสังคมนั้นเป็นคนดีมากหรือเป็นคนเลวมาก ถ้าในสังคมนั้นมีคนดีมากพฤติกรรมโดยรวมของสังคมก็มีโอกาสเป็นสังคมดี

ในทางกลับกัน ถ้าในสังคมนั้นมีคนเลวมาก พฤติกรรมโดยรวมของสังคมนั้นก็มีโอกาสเป็นสังคมเลว และที่เป็นเช่นนี้ก็อาศัยหลักที่ว่า คนที่ว่าเป็นคนดีนั้นโดยเนื้อแท้แล้วก็คือคนที่มีความชั่วน้อยและในทางกลับกันคนที่เป็นคนชั่วก็คือการที่มีความดีน้อย ดังนั้น สังคมที่มีคนดีมากจึงอนุมานได้ว่าเป็นสังคมที่ดี และสังคมที่มีคนชั่วมากก็คือสังคมชั่วนั่นเอง

2. ถึงแม้ว่าในสังคมมีคนส่วนใหญ่เป็นคนดี แต่เผอิญชนชั้นนำเป็นคนไม่ดี สังคมนั้นก็มีโอกาสเป็นสังคมไม่ดีได้ เพราะคนดีส่วนใหญ่ถูกคนชั่วชี้นำ

ในทางกลับกัน ถึงแม้ว่าสังคมนั้นมีคนส่วนใหญ่เป็นคนไม่ดี แต่เผอิญชนชั้นผู้นำทางสังคมเป็นคนดี สังคมนั้นก็เป็นสังคมดีได้เพราะได้รับการชี้นำในทางดีจากผู้นำ

โดยนัยแห่งแนวคิดดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ชัดเจนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมคนชั้นล่างที่ได้รับอิทธิพลจากผู้นำทางการเมืองที่ไม่มีคุณธรรม และจริยธรรม อันเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตคิดมิชอบขึ้นในทุกหย่อมหญ้าแห่งสังคมไทย อันเป็นเหตุให้ผู้นำรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศในปัจจุบันต้องแบกรับภาระในการแก้ไขปัญหาทุจริตในหลายๆ รูปแบบดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้

อะไรคือรากเหง้าแห่งปัญหาทุจริต และจะแก้ไขป้องกันอย่างไร?
เพื่อจะให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้และเข้าใจปัญหานี้อย่างชัดเจน ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านลองย้อนไปศึกษาคำสอนของพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ ก็จะพบว่าตามหลักพุทธศาสนาแล้วได้แบ่งการทุจริตออกเป็น 3 ประเภทมาตรฐานแห่งการเกิดการทุจริต ดังนี้

1. กายทุจริต อันได้แก่การทุจริตทางกาย หรือการทุจริตด้วยการกระทำ เช่น การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และประพฤติผิดในกาม เป็นต้น

2. วจีทุจริต อันได้แก่การทุจริตโดยการพูด เช่น การพูดปด พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เป็นต้น

3. มโนทุจริต อันได้แก่การคิดไม่ดี เช่น คิดโลภอยากได้ของเขา พยายามปองร้ายเขา และเห็นผิดจากคลองธรรม เป็นต้น

ในทุจริต 3 ประเภทนี้ มโนทุจริตถือได้ว่าเป็นรากเหง้าแห่งทุจริต 2 ประเภทที่เหลือ จะเห็นได้จากคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า

ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นตัวนำหรือเป็นหัวหน้า เมื่อใดก็ตามที่ใจของคนถูกกิเลส เป็นต้นว่า ความโลภครอบงำ ไม่ว่าจะพูดหรือทำก็จะพูดและทำในสิ่งที่เป็นทุจริตทั้งสิ้น

โดยนัยแห่งคำสอนข้อนี้ ถ้าป้องกันมิให้ทุจริตเกิดขึ้น ไม่ว่าทางกายหรือทางวาจา จะต้องแก้ไขและป้องกันโดยการฝึกใจให้ห่างไกลจากความคิดชั่วนานาประการ ซึ่งถูกบงการด้วยความรัก ความโลภ ความโกรธ และความหลง จึงจะป้องกันได้อย่างเด็ดขาด

ถ้าแก้ไขเพียงกายและวาจา โดยใช้ศีลหรือแม้กระทั่งกฎหมายที่มีบทลงโทษอย่างรุนแรง และมีกระบวนการยุติธรรมมาดำเนินการก็ยากที่จะแก้ไขและป้องกันได้ ตราบใดที่จิตใจของคนยังเวียนวนอยู่ในวงจรแห่งความโลภ โกรธ หลง

ด้วยเหตุนี้การแก้ไขป้องกันปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการที่ประเทศไทย หรือแม้กระทั่งประเทศที่เจริญแล้วดำเนินการอยู่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันจึงไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ จะได้ผลเพียงทำให้ผู้ที่จะกระทำผิดเกิดความกลัวไม่กล้าทำผิด ถ้ากระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้นๆ โปร่งใสและอยู่ในกรอบแห่งศีลธรรมอันดีของประชาชน อย่างเช่นประเทศที่เจริญแล้วดำเนินการอยู่

แต่ประเทศด้อยพัฒนาหรือแม้แต่ประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทยด้วย อย่าว่าจะป้องกันมิให้เกิดโดยใช้ความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมเลย แม้เพียงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วโดยการสอบสวนและนำผู้กระทำผิดมาลงโทษอย่างตรงไปตรงมาและทั่วถึงโดยเสมอภาคไม่เลือกปฏิบัติ ก็ยังจะยากที่จะหวังผลให้อยู่ในมาตรฐานของการใช้กฎหมาย เมื่อเทียบกับประเทศที่เจริญแล้วอย่างประเทศอเมริกาและอังกฤษ เป็นต้น

วันนี้ และเวลานี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กำลังดำเนินการแก้ปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้นในอดีต โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ก่อไว้อย่างเร่งด่วน โดยจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง ซึ่งมีชื่อย่อว่า คตส. และหลังจาก คตส.ได้ดำเนินการมาได้ระยะหนึ่ง ถ้าฟังจากข่าวที่ปรากฏออกมาพอจะเชื่อได้ว่าคณะกรรมการชุดนี้เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้

ส่วนว่าการแก้ไขปัญหานี้จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน ต้องดูตอนจบในแต่ละเรื่องที่หยิบยกขึ้นมาตรวจสอบ หรือถ้าให้ดีก็ต้องดูตอนครบ 1 ปี อันเป็นช่วงเวลาที่คาดว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่ในตำแหน่ง

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้นแล้ว ทั้งในแง่จำนวนและความยากง่ายของปัญหา และนำมาพิจารณาเทียบกับระยะเวลา 1 ปีแล้ว ผู้เขียนบอกตรงๆ ว่าหนักใจแทนรัฐบาลโดยรวมว่าจะได้ภาพบวกหรือลบเมื่อครบ 1 ปี ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไป

1. รัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้อยู่ในอำนาจรวมระยะเวลาทั้งสมัยแรก และสมัยหลังแล้ว 5 ปีกว่า และในระยะเวลา 5 ปีกว่านี้ได้ดำเนินโครงการมากมาย และแต่ละโครงการใช้เงินจำนวนมาก จึงมีช่องทางให้มีการแสวงหาประโยชน์อันมิชอบ ทั้งด้วยวิธีการตามน้ำและทวนน้ำ ดังที่ได้เกิดขึ้นในโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น และที่ยิ่งยากกว่านี้ก็คือ มีการปรับ ครม.บ่อย มีการปรับเข้าเปลี่ยนออกบุคลากรในตำแหน่งต่างๆ ทั้งในส่วนของข้าราชการประจำ และข้าราชการการเมืองจึงทำให้ยากต่อการหาหลักฐานมาสอบสวนในโครงการที่ต่อเนื่องกัน

2. ในการจัดทำโครงการส่วนใหญ่จะเปิดโอกาสให้มีผู้เข้ามารับจ้าง ทั้งเป็นผู้รับจ้างโดยตรงกับเจ้าของโครงการ และรับจ้างโดยอ้อมด้วยการรับช่วงงาน จึงเปิดช่องว่างให้มีการแสวงหาประโยชน์จากการเพิ่มราคาได้ง่าย และยากแก่การตรวจสอบ ดังเช่นในโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 เป็นต้น

3. ในการทำโครงการผู้รับผิดชอบโดยตรงเป็นข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ แต่อยู่ภายใต้การสั่งการของนักการเมือง และในการสั่งการส่วนใหญ่ว่าเป็นการสั่งด้วยวาจา จึงยากที่จะเอาผิดผู้สั่ง ดังนั้น เมื่อมีการสอบสวนและพบผู้กระทำผิดส่วนใหญ่ก็จะได้เพียงตัวระดับรับคำสั่ง คือข้าราชการหรือพนักงานของรัฐไม่ถึงตัวการใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงยากที่จะแก้ปัญหาทุจริตชนิดถอนรากถอนโคนให้หมดไป

แต่ในการตรวจสอบเพื่อแก้ปัญหาทุจริตในยุคนี้ จะ
มีข้อแตกต่างในด้านดีไปกว่าอดีตมากน้อยแค่ไหน ยังเร็วเกินไปที่จะพูดในขณะนี้

ดังนั้นจึงได้แต่หวังว่า คตส.จะช่วยแก้ไขปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้น และวางมาตรการป้องกันปัญหานี้ให้มีผลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอฝาก คตส.ให้คิดถึงรากเหง้าของทุจริตที่เกิดจากจิตใจ และหาทางป้องกันให้ตรงจุดด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น