เช็กบิล “วัฒนา เมืองสุข” จอมโปรเจ็กต์ข้าวเอื้ออาทร แฉชง “เพรซิเดนท์” ฮุบข้าวรัฐก่อน 1.7 ล้านตัน จากนั้นช่วยปั่นราคาโดยใช้กลไกรัฐ ดันราคาจำนำเพิ่ม เป็นการรับประกันไม่มีขาดทุน แถมเอื้อส่งท้ายก่อนพ้นตำแหน่ง ประเคนโควตาข้าวอียูให้อีก 
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า นับตั้งแต่นายวัฒนา เมืองสุข ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายในเรื่องข้าวเป็นอย่างมาก โดยไม่สนใจฟังเสียงคนในวงการค้าข้าว แต่ได้มีการดำเนินนโยบายที่เอื้อให้กับเอกชนเพียงรายเดียว ซึ่งก็คือ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด และยังได้ใช้กลไกนโยบายของรัฐในการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เริ่มจากวันที่ 29 เม.ย.2547 นายวัฒนาได้ประกาศให้มีการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาล ปี 2544/45 ปี 2545/46 และปี 2546/47 จำนวนกว่า 2 ล้านตัน ด้วยวิธีการให้ผู้ส่งออกยื่นข้อเสนอทางด้านราคาและปริมาณที่จะซื้อไปยังกรมการค้าต่างประเทศ ในวันที่ 3 พ.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 10.00-12.00 น. และจะเปิดซองในเวลา 14.30 น.ของวันเดียวกัน
ครั้งนั้น นายวัฒนาให้เหตุผลว่า ที่ต้องระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลออก เนื่องจากขณะนี้ข้าวในมือชาวนาเริ่มหมดแล้ว ผู้ส่งออกหาซื้อในท้องตลาดไม่ได้แล้ว รัฐบาลจึงต้องระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลออกไป เพื่อให้ผู้ส่งออกซื้อเพื่อนำไปส่งออก และยังเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนข้าวส่งออกให้กับผู้ส่งออกด้วย ทั้งนี้ ยังได้ย้ำว่า ใครที่เสนอเงื่อนไขที่ดีที่สุดเข้ามา ทั้งปริมาณ ราคา ก็จะเรียกมาต่อรอง ถ้าจบที่รายนี้ก็จบเลย แต่ถ้าไม่จบ หรือต่อรองไม่สำเร็จก็จะเรียกรายที่เสนอเงื่อนไขรองลงไปมาต่อรอง
หลังจากพิจารณา 1 วัน วันที่ 4 พ.ค.2547 นายวัฒนาได้อนุมัติขายข้าวให้กับเพรซิเดนท์ ที่เสนอซื้อข้าวจำนวน 1.7 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 17,000 ล้านบาทเพียงรายเดียว จากจำนวนเอกชนที่เสนอซื้อข้าวรัฐในครั้งนี้ทั้งสิ้น 22 ราย ขณะเดียวกัน ยังพบว่า มีการแก้ไขสัญญาการซื้อขายข้าวรัฐเดิมในเรื่องของเงินค้ำประกัน โดยลดวงเงินค้ำประกันลงมาจากเดิมเก็บ 5% เหลือ 1% ทำให้เพรซิเดนท์ ได้สิทธิ์จ่ายเงินค้ำประกันลดลงด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อปฏิบัติการส่งข้าวรัฐให้อยู่ในมือเอกชนสำเร็จ นายวัฒนาได้ดำเนินนโยบายผลักดันราคาข้าวในประเทศให้สูงขึ้น เพื่อที่จะช่วยดึงราคาข้าว เพราะหากปล่อยให้ราคาข้าวในประเทศตกต่ำ จะมีผลต่อข้าวในมือของเพรซิเดนท์ และกำไรที่เพรซิเดนท์ควรจะได้ จึงได้อาศัยมติคณะอนุกรรมการบริการจัดการตามนโยบายคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) ที่ตนเองเป็นประธานอยู่ อนุมัติเพิ่มราคารับจำนำข้าวสำหรับโครงการรับจำนำข้าวนาปีปีการผลิต 2547/48 อีกตันละ 1,000 บาท เมื่อวันที่ 19 ก.ค.2547
นัยว่า ถ้าดึงราคาข้าวภายในประเทศสูงขึ้น ราคาข้าวที่เพรซิเดนท์ ซื้อไป จะเป็นการรับประกันการขาดทุน
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 10 ก.ย.2547 นายวัฒนาได้เป็นสักขีพยานในการลงนามซื้อขายข้าวระหว่างบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด กับบริษัท แอสคอท คอมมอดิตี้ส์ เอ็นวี จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่กระทรวงพาณิชย์ ปริมาณ 9 แสนตัน
การขายข้าวในครั้งนี้ เข้าล็อกที่วางไว้ เพราะหลังจากอนุมัติขึ้นราคารับจำนำข้าวในประเทศ ก็สามารถดันราคาขายข้าวต่างประเทศได้ โดยราคาขาย 3 แสนตันแรกราคา 219 เหรียญสหรัฐ อีก 3 แสนตัน ราคา 223 เหรียญสหรัฐ และ 3 แสนตันสุดท้าย ราคา 225 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ราคาที่เพรซิเดนท์ ซื้อข้าวจากรัฐ มี 2 ราคา คือ 162 เหรียญสหรัฐ กับ 216 เหรียญสหรัฐ ทำให้กำไรทันที 13.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 561.6 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะนั้นที่ 41.60 บาท)
อย่างไรก็ตาม ในการซื้อขายข้าวล็อตใหญ่ครั้งนี้ วงการข้าวมองว่าเป็นการจัดฉาก โดยเพรซิเดนท์ได้ขอยืมเงินจากบริษัท แอสคอท มาซื้อข้าวในสต็อกรัฐบาล 1.78 ล้านตัน เพราะทั้ง 2 บริษัทมีความสนิทสนมกันเป็นอย่างดี
แผนดันราคาข้าวเพื่อเอื้อเพรซิเดนท์ยังไม่สิ้นสุด เมื่อวันที่ 27 ก.ย.2547 นายวัฒนาได้ใช้สิทธิ์ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบริหารจัดการตามนโยบายกนข. ประกาศเพิ่มราคารับจำนำข้าวนาปีปี 2547/48 อีกตันละ 300 บาท จากที่เคยอนุมัติเพิ่มราคารับจำนำไปแล้ว 1,000 บาทเมื่อวันที่ 19 ก.ค.2547 ที่ผ่านมา เพราะหากมองการขายข้าวล็อตใหญ่ 9 แสนตัน ยังเหลือข้าวในมือเพรซิเดนท์ อีกราว 8 แสนตัน จึงจำเป็นต้องดันราคาต่อ
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังผ่านพ้นปฏิบัติการจัดฉากซื้อข้าวล็อตใหญ่ และตามสัญญาจะต้องมีการส่งออกข้าว จึงได้มีการตรวจสอบการส่งออกของเพรซิเดนท์ เพราะสัญญาการซื้อข้าวรัฐจำนวน 1.7 ล้านตันนั้น ให้ส่งออกเพียงอย่างเดียว แต่จากการตรวจสอบตัวเลขของกรมศุลกากรในเดือนต.ค. พบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น โดยเพรซิเดนท์แจ้งการส่งออกข้าว 2.83 แสนตัน แต่ตัวเลขส่งออกจริงมีแค่ 7 หมื่นกว่าตัน ทำให้มีการมองกันว่าข้าวที่เพรซิเดนท์ประมูลไป ถูกนำไปขายในประเทศแทนการส่งออก จึงปั้นตัวเลขลมขึ้นมา
ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหา เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2547 นายวัฒนาได้เสนอกนข.ให้แต่งตั้งให้นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เข้ามาช่วยตรวจสอบกรณีดังกล่าว แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า การแต่งตั้งนายปานปรีย์เข้ามาดูแลในครั้งนี้ เนื่องจากต้องการให้นายปานปรีย์ซึ่งมีภาพที่ออกสู่สาธารณชนในทางบวกช่วยรับประกันให้ หากตรวจสอบไม่พบความผิดปกติ แต่หากพบผิดปกติ ก็หวังว่าจะไม่ถูกสื่อโจมตี เพราะนายปานปรีย์เป็นที่ยอมรับของสื่อต่างๆ
แต่สุดท้าย เรื่องนี้ ก็ยังไม่มีคำตอบ แม้ว่าเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2547 นายพินิจ จารุสมบัติ ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและดำรงตำแหน่งประธานกนข. ได้สั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เพราะเป็นห่วงการนำข้าวที่ซื้อไปด้วยเงื่อนไข ต้องส่งออก มาเวียนเทียนในประเทศ และส่งเข้าสู่กระบวนการรับจำนำ
รายงานข่าวแจ้งว่า การดำเนินการเอื้อนโยบายให้เพรซิเดนท์ยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะทุกๆ สิ้นปีจะมีการจัดสรรโควตาข้าวไปสหภาพยุโรป (อียู) โดยใช้ประวัติการส่งออกมาคำนวณโควตาให้กับผู้ส่งออก ใครส่งออกได้มาก ก็ได้โควตามาก ถือเป็นโบนัสที่จะให้กับผู้ส่งออก เพราะต้นทุนในการส่งออกจะถูกมาก
เมื่อช่วงกลางเดือนธ.ค.2547 กรมการค้าต่างประเทศได้จัดสรรโควตาข้าวอียู ทำให้ผู้ส่งออกหลายรายไม่พอใจ เพราะ เพรซิเดนท์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าข้าวที่ได้รับการจัดสรรข้าวขาวมากที่สุดถึง 3,655 ตัน ขณะที่ปีก่อนหน้าได้ประมาณ 1,000 ตันเท่านั้น จึงเชื่อว่าในการจัดสรรต้องมีการนำเอาตัวเลขการส่งออกข้าวลมมาคำนวณด้วย จึงมีการร้องขอให้กนข.ที่มีนายพินิจเป็นประธานยกเลิกการจัดสรรดังกล่าว
ทั้งนี้ ผู้ส่งออกได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เพรซิเดนท์ได้ขออนุญาตการส่งออกข้าวสำหรับปี 2547 ต่อกรมการค้าต่างประเทศสูงมากถึง 2.53 ล้านตัน แต่ตัวเลขการส่งออกจริงของกรมศุลกากรมีเพียง 1.08 ล้านตันเท่านั้น มีความแตกต่างกันอยู่ถึง 1.4 ล้านตัน และการใช้ตัวเลขที่แจ้งต่อกรมการค้าต่างประเทศจะทำให้เพรซิเดนท์ได้รับการจัดสรรโควตาข้าวอียูมากกว่ารายอื่น แต่ถ้าใช้สถิติจากกรมศุลกากรในการจัดสรร เชื่อว่าโควตาที่เพรซิเดนท์จะได้รับจะลดลงแน่นอน
ในแต่ละปี ไทยได้โควตาส่งออกข้าวไปอียู 64,867 ตัน แบ่งเป็นข้าวขาว 21,455 ตัน ข้าวกล้อง 1,812 ตัน และข้าวหัก 41,600 ตัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการทบทวน โดยใช้สถิติการส่งออกจากกรมศุลกากรนับจากเดือนธ.ค.2546-พ.ย.2547 ส่งผลให้มีผู้ส่งออกที่ได้รับการจัดสรรในส่วนของข้าวขาว 128 ราย จากการจัดสรรครั้งแรกมี 135 ราย ขณะเดียวกัน ยังทำให้อันดับของผู้ที่ได้รับการจัดสรรเปลี่ยนแปลงไป โดยจะมีทั้งผู้ที่ได้รับการจัดสรรมากขึ้น และลดลง โดยเพรซิเดนท์ ได้เป็นอันดับ 2 คือ 1,767 ตัน จากครั้งแรกที่ได้สูงถึง 3,655 ตัน
เป็นการดำเนินนโยบายที่เอื้อส่งท้าย ก่อนที่นายวัฒนาจะถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
                                                                            
                                รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า นับตั้งแต่นายวัฒนา เมืองสุข ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายในเรื่องข้าวเป็นอย่างมาก โดยไม่สนใจฟังเสียงคนในวงการค้าข้าว แต่ได้มีการดำเนินนโยบายที่เอื้อให้กับเอกชนเพียงรายเดียว ซึ่งก็คือ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด และยังได้ใช้กลไกนโยบายของรัฐในการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เริ่มจากวันที่ 29 เม.ย.2547 นายวัฒนาได้ประกาศให้มีการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาล ปี 2544/45 ปี 2545/46 และปี 2546/47 จำนวนกว่า 2 ล้านตัน ด้วยวิธีการให้ผู้ส่งออกยื่นข้อเสนอทางด้านราคาและปริมาณที่จะซื้อไปยังกรมการค้าต่างประเทศ ในวันที่ 3 พ.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 10.00-12.00 น. และจะเปิดซองในเวลา 14.30 น.ของวันเดียวกัน
ครั้งนั้น นายวัฒนาให้เหตุผลว่า ที่ต้องระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลออก เนื่องจากขณะนี้ข้าวในมือชาวนาเริ่มหมดแล้ว ผู้ส่งออกหาซื้อในท้องตลาดไม่ได้แล้ว รัฐบาลจึงต้องระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลออกไป เพื่อให้ผู้ส่งออกซื้อเพื่อนำไปส่งออก และยังเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนข้าวส่งออกให้กับผู้ส่งออกด้วย ทั้งนี้ ยังได้ย้ำว่า ใครที่เสนอเงื่อนไขที่ดีที่สุดเข้ามา ทั้งปริมาณ ราคา ก็จะเรียกมาต่อรอง ถ้าจบที่รายนี้ก็จบเลย แต่ถ้าไม่จบ หรือต่อรองไม่สำเร็จก็จะเรียกรายที่เสนอเงื่อนไขรองลงไปมาต่อรอง
หลังจากพิจารณา 1 วัน วันที่ 4 พ.ค.2547 นายวัฒนาได้อนุมัติขายข้าวให้กับเพรซิเดนท์ ที่เสนอซื้อข้าวจำนวน 1.7 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 17,000 ล้านบาทเพียงรายเดียว จากจำนวนเอกชนที่เสนอซื้อข้าวรัฐในครั้งนี้ทั้งสิ้น 22 ราย ขณะเดียวกัน ยังพบว่า มีการแก้ไขสัญญาการซื้อขายข้าวรัฐเดิมในเรื่องของเงินค้ำประกัน โดยลดวงเงินค้ำประกันลงมาจากเดิมเก็บ 5% เหลือ 1% ทำให้เพรซิเดนท์ ได้สิทธิ์จ่ายเงินค้ำประกันลดลงด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อปฏิบัติการส่งข้าวรัฐให้อยู่ในมือเอกชนสำเร็จ นายวัฒนาได้ดำเนินนโยบายผลักดันราคาข้าวในประเทศให้สูงขึ้น เพื่อที่จะช่วยดึงราคาข้าว เพราะหากปล่อยให้ราคาข้าวในประเทศตกต่ำ จะมีผลต่อข้าวในมือของเพรซิเดนท์ และกำไรที่เพรซิเดนท์ควรจะได้ จึงได้อาศัยมติคณะอนุกรรมการบริการจัดการตามนโยบายคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) ที่ตนเองเป็นประธานอยู่ อนุมัติเพิ่มราคารับจำนำข้าวสำหรับโครงการรับจำนำข้าวนาปีปีการผลิต 2547/48 อีกตันละ 1,000 บาท เมื่อวันที่ 19 ก.ค.2547
นัยว่า ถ้าดึงราคาข้าวภายในประเทศสูงขึ้น ราคาข้าวที่เพรซิเดนท์ ซื้อไป จะเป็นการรับประกันการขาดทุน
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 10 ก.ย.2547 นายวัฒนาได้เป็นสักขีพยานในการลงนามซื้อขายข้าวระหว่างบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด กับบริษัท แอสคอท คอมมอดิตี้ส์ เอ็นวี จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่กระทรวงพาณิชย์ ปริมาณ 9 แสนตัน
การขายข้าวในครั้งนี้ เข้าล็อกที่วางไว้ เพราะหลังจากอนุมัติขึ้นราคารับจำนำข้าวในประเทศ ก็สามารถดันราคาขายข้าวต่างประเทศได้ โดยราคาขาย 3 แสนตันแรกราคา 219 เหรียญสหรัฐ อีก 3 แสนตัน ราคา 223 เหรียญสหรัฐ และ 3 แสนตันสุดท้าย ราคา 225 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ราคาที่เพรซิเดนท์ ซื้อข้าวจากรัฐ มี 2 ราคา คือ 162 เหรียญสหรัฐ กับ 216 เหรียญสหรัฐ ทำให้กำไรทันที 13.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 561.6 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะนั้นที่ 41.60 บาท)
อย่างไรก็ตาม ในการซื้อขายข้าวล็อตใหญ่ครั้งนี้ วงการข้าวมองว่าเป็นการจัดฉาก โดยเพรซิเดนท์ได้ขอยืมเงินจากบริษัท แอสคอท มาซื้อข้าวในสต็อกรัฐบาล 1.78 ล้านตัน เพราะทั้ง 2 บริษัทมีความสนิทสนมกันเป็นอย่างดี
แผนดันราคาข้าวเพื่อเอื้อเพรซิเดนท์ยังไม่สิ้นสุด เมื่อวันที่ 27 ก.ย.2547 นายวัฒนาได้ใช้สิทธิ์ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบริหารจัดการตามนโยบายกนข. ประกาศเพิ่มราคารับจำนำข้าวนาปีปี 2547/48 อีกตันละ 300 บาท จากที่เคยอนุมัติเพิ่มราคารับจำนำไปแล้ว 1,000 บาทเมื่อวันที่ 19 ก.ค.2547 ที่ผ่านมา เพราะหากมองการขายข้าวล็อตใหญ่ 9 แสนตัน ยังเหลือข้าวในมือเพรซิเดนท์ อีกราว 8 แสนตัน จึงจำเป็นต้องดันราคาต่อ
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังผ่านพ้นปฏิบัติการจัดฉากซื้อข้าวล็อตใหญ่ และตามสัญญาจะต้องมีการส่งออกข้าว จึงได้มีการตรวจสอบการส่งออกของเพรซิเดนท์ เพราะสัญญาการซื้อข้าวรัฐจำนวน 1.7 ล้านตันนั้น ให้ส่งออกเพียงอย่างเดียว แต่จากการตรวจสอบตัวเลขของกรมศุลกากรในเดือนต.ค. พบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น โดยเพรซิเดนท์แจ้งการส่งออกข้าว 2.83 แสนตัน แต่ตัวเลขส่งออกจริงมีแค่ 7 หมื่นกว่าตัน ทำให้มีการมองกันว่าข้าวที่เพรซิเดนท์ประมูลไป ถูกนำไปขายในประเทศแทนการส่งออก จึงปั้นตัวเลขลมขึ้นมา
ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหา เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2547 นายวัฒนาได้เสนอกนข.ให้แต่งตั้งให้นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เข้ามาช่วยตรวจสอบกรณีดังกล่าว แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า การแต่งตั้งนายปานปรีย์เข้ามาดูแลในครั้งนี้ เนื่องจากต้องการให้นายปานปรีย์ซึ่งมีภาพที่ออกสู่สาธารณชนในทางบวกช่วยรับประกันให้ หากตรวจสอบไม่พบความผิดปกติ แต่หากพบผิดปกติ ก็หวังว่าจะไม่ถูกสื่อโจมตี เพราะนายปานปรีย์เป็นที่ยอมรับของสื่อต่างๆ
แต่สุดท้าย เรื่องนี้ ก็ยังไม่มีคำตอบ แม้ว่าเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2547 นายพินิจ จารุสมบัติ ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและดำรงตำแหน่งประธานกนข. ได้สั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เพราะเป็นห่วงการนำข้าวที่ซื้อไปด้วยเงื่อนไข ต้องส่งออก มาเวียนเทียนในประเทศ และส่งเข้าสู่กระบวนการรับจำนำ
รายงานข่าวแจ้งว่า การดำเนินการเอื้อนโยบายให้เพรซิเดนท์ยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะทุกๆ สิ้นปีจะมีการจัดสรรโควตาข้าวไปสหภาพยุโรป (อียู) โดยใช้ประวัติการส่งออกมาคำนวณโควตาให้กับผู้ส่งออก ใครส่งออกได้มาก ก็ได้โควตามาก ถือเป็นโบนัสที่จะให้กับผู้ส่งออก เพราะต้นทุนในการส่งออกจะถูกมาก
เมื่อช่วงกลางเดือนธ.ค.2547 กรมการค้าต่างประเทศได้จัดสรรโควตาข้าวอียู ทำให้ผู้ส่งออกหลายรายไม่พอใจ เพราะ เพรซิเดนท์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าข้าวที่ได้รับการจัดสรรข้าวขาวมากที่สุดถึง 3,655 ตัน ขณะที่ปีก่อนหน้าได้ประมาณ 1,000 ตันเท่านั้น จึงเชื่อว่าในการจัดสรรต้องมีการนำเอาตัวเลขการส่งออกข้าวลมมาคำนวณด้วย จึงมีการร้องขอให้กนข.ที่มีนายพินิจเป็นประธานยกเลิกการจัดสรรดังกล่าว
ทั้งนี้ ผู้ส่งออกได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เพรซิเดนท์ได้ขออนุญาตการส่งออกข้าวสำหรับปี 2547 ต่อกรมการค้าต่างประเทศสูงมากถึง 2.53 ล้านตัน แต่ตัวเลขการส่งออกจริงของกรมศุลกากรมีเพียง 1.08 ล้านตันเท่านั้น มีความแตกต่างกันอยู่ถึง 1.4 ล้านตัน และการใช้ตัวเลขที่แจ้งต่อกรมการค้าต่างประเทศจะทำให้เพรซิเดนท์ได้รับการจัดสรรโควตาข้าวอียูมากกว่ารายอื่น แต่ถ้าใช้สถิติจากกรมศุลกากรในการจัดสรร เชื่อว่าโควตาที่เพรซิเดนท์จะได้รับจะลดลงแน่นอน
ในแต่ละปี ไทยได้โควตาส่งออกข้าวไปอียู 64,867 ตัน แบ่งเป็นข้าวขาว 21,455 ตัน ข้าวกล้อง 1,812 ตัน และข้าวหัก 41,600 ตัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการทบทวน โดยใช้สถิติการส่งออกจากกรมศุลกากรนับจากเดือนธ.ค.2546-พ.ย.2547 ส่งผลให้มีผู้ส่งออกที่ได้รับการจัดสรรในส่วนของข้าวขาว 128 ราย จากการจัดสรรครั้งแรกมี 135 ราย ขณะเดียวกัน ยังทำให้อันดับของผู้ที่ได้รับการจัดสรรเปลี่ยนแปลงไป โดยจะมีทั้งผู้ที่ได้รับการจัดสรรมากขึ้น และลดลง โดยเพรซิเดนท์ ได้เป็นอันดับ 2 คือ 1,767 ตัน จากครั้งแรกที่ได้สูงถึง 3,655 ตัน
เป็นการดำเนินนโยบายที่เอื้อส่งท้าย ก่อนที่นายวัฒนาจะถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
 
                    

