มีคนสงสัยกันมากว่า ทำไมอัยการจึงมีความเห็นสั่งฟ้องศาลให้ดำเนินคดีกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ในข้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปี เป็นที่ประจักษ์ว่า คุณสนธิชูธงต่อสู้กับระบอบทักษิณก็เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกจาบจ้วงบ่อยครั้ง
ซึ่งก็รู้กันอยู่ว่า การแจ้งความดำเนินคดีนี้เป็นการจับประเด็นคำพูดแบบแยกส่วน โดยไม่พิจารณาเจตนาทั้งหมดของเนื้อหาเพื่อกลั่นแกล้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในยุคที่รัฐบาลทักษิณยังมีอำนาจครอบงำวงการต่างๆ อย่างเต็มที่ การเล่นงานคุณสนธิในตอนนั้นก็เข้าใจได้ว่า เพื่อตอบโต้การถูกเปิดโปงและต่อต้านจากประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพิื่อประชาธิปไตย
ไม่นึกเลยว่ามาถึงวันนี้ซึ่งรัฐบาลทักษิณถูกโค่นล้มอำนาจไปแล้วอย่างสอดคล้องกับกระแสความต้องการให้ชำระล้างความฉ้อฉลทุจริตผิดพลาดต่างๆ
แต่อัยการชุดใหม่กลับนำเอาสำนวนคดีีที่สรุปไว้จากชุดก่อนมาดำเนินการต่อโดยไม่มีการทบทวน หรือสั่งการให้ทบทวนเพื่อความถูกต้อง
มันจึงกลายเป็นว่าแกนนำความเคลื่อนไหวฝ่ายประชาชนผู้รักความเป็นธรรมและปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ถูกเล่นงาน
ขณะที่คำพูดที่ไม่สมควรของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่มีบันทึกการพูดหลายครั้ง จนมีประชาชนไปแจ้งความตำรวจให้ดำเนินคดี จนป่านนี้ก็ยังไม่มีการดำเนินการคืบหน้า
ทั้งๆ ที่ข้ออ้างในแถลงการณ์เมื่อวันที่นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ โดยใช้ชื่อว่า คณะปฏิรูปการปกครองฯ และเปลี่ยนชื่อเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติในปัจจุบัน เป็นการชี้ให้เห็นความจำเป็นที่ต้องเข้ามาแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศชาติ ที่ปล่อยไว้ไม่ได้
เหตุผล 4 ข้อ ที่ถูกระบุเป็นปัญหาร้ายแรงต่อประเทศชาตินั้น สรุปได้ดังนี้
1.การบริหารของรัฐบาลนั้นได้สร้างปัญหาขัดแย้งแบ่งฝ่าย ทำลายความรักสามัคคีของคนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
2.การบริหารราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง
3.หน่วยงาน องค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมืองจนไม่สามารถตอบสนองเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญได้
4.มีการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์
เหตุผลในแถลงการณ์ทั้ง 4 ข้อ จึงเป็นข้อผูกมัดที่คณะผู้ทำการปฏิวัติต้องพิสูจน์ให้สังคมไทยและชาวโลกที่จับตาดูอยู่ว่า มีความเลวร้ายจนถึงขั้นวิกฤติจนต้องปฏิวัติยึดอำนาจ เพื่อเข้าจัดการหยุดยั้งและดำเนินการสะสางเอาผิดกับผู้ทุจริตและละเมิดรัฐธรรมนูญและกฎกติกาต่างๆ
ด้วยหลักที่ว่า “เจตนารมณ์ในการเข้าจัดการเผด็จปัญหาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสังคมประเทศชาติและสถาบันสูงสุด สำคัญกว่าการยึดติดในรูปแบบกติกาที่ถูกครอบงำจนขาดประสิทธิภาพ ขาดคุณธรรม”
สังคมส่วนใหญ่ที่แม้ยึดมั่นใน “ระบอบประชาธิปไตย” จึงยอมเห็นด้วยเฉพาะกิจกับการเข้ายึดอำนาจรัฐเพื่อหยุดยั้งและสลายอำนาจอิทธิพลของ “ระบอบทักษิณ” ที่แอบหาผลประโยชน์ให้พวกพ้องจากกติกาประชาธิปไตยที่ถูกครองงำ
แต่น่าแปลกที่ข้ออ้างว่ามีความเลวร้ายขั้นวิกฤติจนต้องใช้กำลังเข้ายึดอำนาจเข้าจัดการ (ซึ่งสังคมเห็นด้วย) แต่คณะผู้ยึดอำนาจกลับใช้วิธีการคล้ายภาวะปกติ โดยมิได้นำเอาเหตุผล 4 ข้อข้างต้น มาเป็นโจทย์เพื่อจัดการให้เห็นผลเป็นที่ประจักษ์อย่างรวดเร็ว
ทั้งยังจะเป็นคำตอบที่มีพลังให้แก่สังคมโลก ซึ่งติดยึดกับความเข้าใจเรื่องประชาธิิปไตยในมิติแบบตะวันตกที่มีระบบตรวจสอบนักการเมืองที่เข้มแข็ง และประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างอิสระตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
เพื่อพิสูจน์ให้เห็นความจำเป็นและความจริงใจในการโค่นล้มอำนาจรัฐบาลที่ประพฤติผิดและคิดมิชอบต่อประเทศชาติและสถาบันสำคัญของชาติ
แต่ไม่รู้ว่าเพราะยังมีคนในระบอบทักษิณที่ยังไม่กลับใจมายึดความถูกต้องเป็นธรรม ยังมีอยู่ในหลายองค์กร การเดินหน้าปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความถูกต้องในหลายวงการ จึงยังไม่เกิด
อย่างเรื่อง “คลื่นใต้น้ำ” ที่มีคนยังกล้ารับใช้ระบอบทักษิณออกใบปลิวโจมตีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ออกหนังสือการ์ตูน เชิดชูอดีตผู้นำที่เป็นจำเลยสังคม รวมทั้งความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ยังต้องการผลประโยชน์จากผู้นำรัฐบาลเก่า
เหล่านี้เป็นความเคลื่อนไหวที่แสดงว่า ยังมีความพยายามที่จะกลับมามีอำนาจ แม้อาจจำแลงรูปแบบโครงสร้างใหม่ก็ตาม
ขณะที่ประชาชนระดับล่างที่ยังไม่รู้ข้อมูลก็ยังคงชื่นชอบอยู่กับผลประโยชน์ฉาบฉวยเฉพาะหน้า ที่ได้รับและอยากได้อีก
แต่สื่อวิทยุ โทรทัศน์ ซึ่งอยู่ในระบบรัฐคุมได้ ก็ยังดำเนินการคล้ายยังอยู่ในยุคทักษิณ โดยที่ผู้กุมอำนาจรัฐ หากมี “จิตใจปฏิวัติ” ที่ต้องการให้สังคมเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีกว่าเก่าจะต้องมีการปฏิรูปสื่อเพื่อให้สนองต่อการพัฒนาสังคมที่พัฒนาและมีคุณธรรม
ก็ไหนบอกว่าปัญหาวิกฤติ 4 ข้อ จนต้องใช้การยึดอำนาจเพื่อเผด็จปัญหา แต่กลับไม่มีการสื่อสารหรือมีรายการที่อธิบายให้รับรู้และเข้าใจในรายละเอียดของปัญหาอย่างละเอียดชัดเจน รวมทั้งการรายงานผลการจัดการอย่างเร่งด่วนต่อเนื่องทางวิทยุ โทรทัศน์ที่เข้าถึงประชาชนอย่างกว้างขวางเพื่อให้สังคมไทยและสังคมโลกเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาของประเทศไทย
แต่ประเด็นที่สำคัญกว่าก็คือการบริหารจัดการที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพเพื่อตอบคำถามทั้ง 4 ข้อในการยึดอำนาจ
เพื่อพิสูจน์ความจริงใจในการเข้ามาชำระล้างระบบเก่าและจัดการคนที่รับใช้ระบอบทักษิณ มิใช่เกิดอำนาจใหม่แล้วไปสร้างปัญหาใหม่
ซึ่งก็รู้กันอยู่ว่า การแจ้งความดำเนินคดีนี้เป็นการจับประเด็นคำพูดแบบแยกส่วน โดยไม่พิจารณาเจตนาทั้งหมดของเนื้อหาเพื่อกลั่นแกล้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในยุคที่รัฐบาลทักษิณยังมีอำนาจครอบงำวงการต่างๆ อย่างเต็มที่ การเล่นงานคุณสนธิในตอนนั้นก็เข้าใจได้ว่า เพื่อตอบโต้การถูกเปิดโปงและต่อต้านจากประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพิื่อประชาธิปไตย
ไม่นึกเลยว่ามาถึงวันนี้ซึ่งรัฐบาลทักษิณถูกโค่นล้มอำนาจไปแล้วอย่างสอดคล้องกับกระแสความต้องการให้ชำระล้างความฉ้อฉลทุจริตผิดพลาดต่างๆ
แต่อัยการชุดใหม่กลับนำเอาสำนวนคดีีที่สรุปไว้จากชุดก่อนมาดำเนินการต่อโดยไม่มีการทบทวน หรือสั่งการให้ทบทวนเพื่อความถูกต้อง
มันจึงกลายเป็นว่าแกนนำความเคลื่อนไหวฝ่ายประชาชนผู้รักความเป็นธรรมและปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ถูกเล่นงาน
ขณะที่คำพูดที่ไม่สมควรของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่มีบันทึกการพูดหลายครั้ง จนมีประชาชนไปแจ้งความตำรวจให้ดำเนินคดี จนป่านนี้ก็ยังไม่มีการดำเนินการคืบหน้า
ทั้งๆ ที่ข้ออ้างในแถลงการณ์เมื่อวันที่นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ โดยใช้ชื่อว่า คณะปฏิรูปการปกครองฯ และเปลี่ยนชื่อเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติในปัจจุบัน เป็นการชี้ให้เห็นความจำเป็นที่ต้องเข้ามาแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศชาติ ที่ปล่อยไว้ไม่ได้
เหตุผล 4 ข้อ ที่ถูกระบุเป็นปัญหาร้ายแรงต่อประเทศชาตินั้น สรุปได้ดังนี้
1.การบริหารของรัฐบาลนั้นได้สร้างปัญหาขัดแย้งแบ่งฝ่าย ทำลายความรักสามัคคีของคนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
2.การบริหารราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง
3.หน่วยงาน องค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมืองจนไม่สามารถตอบสนองเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญได้
4.มีการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์
เหตุผลในแถลงการณ์ทั้ง 4 ข้อ จึงเป็นข้อผูกมัดที่คณะผู้ทำการปฏิวัติต้องพิสูจน์ให้สังคมไทยและชาวโลกที่จับตาดูอยู่ว่า มีความเลวร้ายจนถึงขั้นวิกฤติจนต้องปฏิวัติยึดอำนาจ เพื่อเข้าจัดการหยุดยั้งและดำเนินการสะสางเอาผิดกับผู้ทุจริตและละเมิดรัฐธรรมนูญและกฎกติกาต่างๆ
ด้วยหลักที่ว่า “เจตนารมณ์ในการเข้าจัดการเผด็จปัญหาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสังคมประเทศชาติและสถาบันสูงสุด สำคัญกว่าการยึดติดในรูปแบบกติกาที่ถูกครอบงำจนขาดประสิทธิภาพ ขาดคุณธรรม”
สังคมส่วนใหญ่ที่แม้ยึดมั่นใน “ระบอบประชาธิปไตย” จึงยอมเห็นด้วยเฉพาะกิจกับการเข้ายึดอำนาจรัฐเพื่อหยุดยั้งและสลายอำนาจอิทธิพลของ “ระบอบทักษิณ” ที่แอบหาผลประโยชน์ให้พวกพ้องจากกติกาประชาธิปไตยที่ถูกครองงำ
แต่น่าแปลกที่ข้ออ้างว่ามีความเลวร้ายขั้นวิกฤติจนต้องใช้กำลังเข้ายึดอำนาจเข้าจัดการ (ซึ่งสังคมเห็นด้วย) แต่คณะผู้ยึดอำนาจกลับใช้วิธีการคล้ายภาวะปกติ โดยมิได้นำเอาเหตุผล 4 ข้อข้างต้น มาเป็นโจทย์เพื่อจัดการให้เห็นผลเป็นที่ประจักษ์อย่างรวดเร็ว
ทั้งยังจะเป็นคำตอบที่มีพลังให้แก่สังคมโลก ซึ่งติดยึดกับความเข้าใจเรื่องประชาธิิปไตยในมิติแบบตะวันตกที่มีระบบตรวจสอบนักการเมืองที่เข้มแข็ง และประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างอิสระตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
เพื่อพิสูจน์ให้เห็นความจำเป็นและความจริงใจในการโค่นล้มอำนาจรัฐบาลที่ประพฤติผิดและคิดมิชอบต่อประเทศชาติและสถาบันสำคัญของชาติ
แต่ไม่รู้ว่าเพราะยังมีคนในระบอบทักษิณที่ยังไม่กลับใจมายึดความถูกต้องเป็นธรรม ยังมีอยู่ในหลายองค์กร การเดินหน้าปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความถูกต้องในหลายวงการ จึงยังไม่เกิด
อย่างเรื่อง “คลื่นใต้น้ำ” ที่มีคนยังกล้ารับใช้ระบอบทักษิณออกใบปลิวโจมตีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ออกหนังสือการ์ตูน เชิดชูอดีตผู้นำที่เป็นจำเลยสังคม รวมทั้งความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ยังต้องการผลประโยชน์จากผู้นำรัฐบาลเก่า
เหล่านี้เป็นความเคลื่อนไหวที่แสดงว่า ยังมีความพยายามที่จะกลับมามีอำนาจ แม้อาจจำแลงรูปแบบโครงสร้างใหม่ก็ตาม
ขณะที่ประชาชนระดับล่างที่ยังไม่รู้ข้อมูลก็ยังคงชื่นชอบอยู่กับผลประโยชน์ฉาบฉวยเฉพาะหน้า ที่ได้รับและอยากได้อีก
แต่สื่อวิทยุ โทรทัศน์ ซึ่งอยู่ในระบบรัฐคุมได้ ก็ยังดำเนินการคล้ายยังอยู่ในยุคทักษิณ โดยที่ผู้กุมอำนาจรัฐ หากมี “จิตใจปฏิวัติ” ที่ต้องการให้สังคมเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีกว่าเก่าจะต้องมีการปฏิรูปสื่อเพื่อให้สนองต่อการพัฒนาสังคมที่พัฒนาและมีคุณธรรม
ก็ไหนบอกว่าปัญหาวิกฤติ 4 ข้อ จนต้องใช้การยึดอำนาจเพื่อเผด็จปัญหา แต่กลับไม่มีการสื่อสารหรือมีรายการที่อธิบายให้รับรู้และเข้าใจในรายละเอียดของปัญหาอย่างละเอียดชัดเจน รวมทั้งการรายงานผลการจัดการอย่างเร่งด่วนต่อเนื่องทางวิทยุ โทรทัศน์ที่เข้าถึงประชาชนอย่างกว้างขวางเพื่อให้สังคมไทยและสังคมโลกเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาของประเทศไทย
แต่ประเด็นที่สำคัญกว่าก็คือการบริหารจัดการที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพเพื่อตอบคำถามทั้ง 4 ข้อในการยึดอำนาจ
เพื่อพิสูจน์ความจริงใจในการเข้ามาชำระล้างระบบเก่าและจัดการคนที่รับใช้ระบอบทักษิณ มิใช่เกิดอำนาจใหม่แล้วไปสร้างปัญหาใหม่