“เวอร์ซาเช่” เพิ่มความถี่อัดคอลเลคชั่นใหม่ พร้อมลุยปรับดิสเพลย์ เน้นบริการเพิ่มขึ้น หวังกระตุ้นฐานลูกค้าเพิ่ม หลังโดนวิกฤตเศรษฐกิจฟาดหางไม่เลิก ลูกค้าหมดอารมณ์ใช้จ่าย หวั่นปีนี้โตไม่ถึง 20%
นางสาวอารดี เปี่ยมพงศ์สานต์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอส จี เอฟ เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น ภายใต้แบรนด์ “เวอร์ซาเช่” เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯมีแผนที่จะจัดระบบการจำหน่ายสินค้าที่มีอยู่ทั้งหมด โดยจะเพิ่มความถี่ในการวางสินค้าใหม่เป็นคอลเลคชั่นละ 1 ครั้งต่อ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งจะเพิ่มมากขึ้นจากเดิมการวางสินค้าในแต่ละคอลเลคชั่นจะมีความถี่การวาง 5-6 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง
ทั้งนี้แผนการดำเนินงานจะเริ่มดำเนินการช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งสินค้าที่จะวางตลาดใหม่ อาทิ กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า สินค้าแนวแฟชั่น ให้มีความหลากหลายและเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่จะสามารถกระตุ้นกลุ่มลูกค้าให้จับจ่ายมากขึ้น
ปัจจุบันบริษัทฯมีร้าน “เวอร์ซาเช่” เปิดให้บริการอยู่ 3 แห่ง ประกอบด้วย ดิ เอ็มโพเรียม 1 แห่ง และสยามพารากอนอีก 2 แห่ง โดยเวอร์ซาเช่มีฐานลูกค้าที่เป็นสมาชิกอยู่กว่า 7,000 ราย สัดส่วน จะแบ่งเป็นคนไทย 50% และลูกค้าต่างชาติอีก 50%
ที่ผ่านมาการเติบโตยอดขายของบริษัทฯมีอัตราที่ลดลง 20-30% อันเนื่องมาจากปัจจัยลบในด้านต่างๆ อาทิ เศรษฐกิจ และการเมือง ฯลฯ ในช่วงที่ผ่านมาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจแฟชั่นลักชัวรี่ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าลดลงในส่วนของลูกค้าต่างชาติหายไปบางส่วน ประกอบกับกลุ่มลูกค้าคนไทยก็มีการตัดสินใจซื้อที่ช้าลงไป จึงเป็นเหตุผลทำให้บริษัทฯต้องเพิ่มความถี่การวางคอลเลคชั่นใหม่ รวมถึงการปรับดิสเพลย์ และบริการเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มสีสันบริการและแรงจูงใจให้กลุ่มลูกค้า
สำหรับเป้าหมายยอดรายได้ในปี 2549 บริษัทฯตั้งเป้าการเติบโตที่ 10-20% แต่หลังจากต้องประสบปัจจัยลบคาดว่ายอดรายได้อาจไปไม่ถึงเป้าที่ได้วางเอาไว้
ล่าสุดบริษัทฯมีแผนขยายฐานลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น โดยร่วมเป็นพันธมิตรกับ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ขยายลูกค้าระดับไฮเอนด์และลูกค้าทั่วไปของ เวอร์ซาเช่ ที่ต้องการทำตลาดแบบเซ็กเมนท์เตชั่น ทั้งนี้บริษัทฯมองว่าความพิเศษของโรงภาพยนตร์ อีนิกม่า ดอะ ชา โด้ สกีน ซึ่งเป็นโรงใหม่ของพารากอนซีนีเพล็กซ์เป็นอีกหนึ่งโรงภาพยนตร์ที่ทันสมัยและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์เวอร์ซาเช่ และจะสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ได้เพิ่มมากขึ้น และบริษัทฯคาดหวังว่าจากการปรับรูปแบบการจำหน่ายอีกทั้งรูปแบบบริการต่างๆจะสามารถดึงดูดฐานลูกค้าทั้งเดิมที่มีรอยัลตี้ต่อแบรนด์รวมถึงขยายฐานลูกค้าใหม่ได้
นางสาวอารดี เปี่ยมพงศ์สานต์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอส จี เอฟ เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น ภายใต้แบรนด์ “เวอร์ซาเช่” เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯมีแผนที่จะจัดระบบการจำหน่ายสินค้าที่มีอยู่ทั้งหมด โดยจะเพิ่มความถี่ในการวางสินค้าใหม่เป็นคอลเลคชั่นละ 1 ครั้งต่อ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งจะเพิ่มมากขึ้นจากเดิมการวางสินค้าในแต่ละคอลเลคชั่นจะมีความถี่การวาง 5-6 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง
ทั้งนี้แผนการดำเนินงานจะเริ่มดำเนินการช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งสินค้าที่จะวางตลาดใหม่ อาทิ กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า สินค้าแนวแฟชั่น ให้มีความหลากหลายและเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่จะสามารถกระตุ้นกลุ่มลูกค้าให้จับจ่ายมากขึ้น
ปัจจุบันบริษัทฯมีร้าน “เวอร์ซาเช่” เปิดให้บริการอยู่ 3 แห่ง ประกอบด้วย ดิ เอ็มโพเรียม 1 แห่ง และสยามพารากอนอีก 2 แห่ง โดยเวอร์ซาเช่มีฐานลูกค้าที่เป็นสมาชิกอยู่กว่า 7,000 ราย สัดส่วน จะแบ่งเป็นคนไทย 50% และลูกค้าต่างชาติอีก 50%
ที่ผ่านมาการเติบโตยอดขายของบริษัทฯมีอัตราที่ลดลง 20-30% อันเนื่องมาจากปัจจัยลบในด้านต่างๆ อาทิ เศรษฐกิจ และการเมือง ฯลฯ ในช่วงที่ผ่านมาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจแฟชั่นลักชัวรี่ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าลดลงในส่วนของลูกค้าต่างชาติหายไปบางส่วน ประกอบกับกลุ่มลูกค้าคนไทยก็มีการตัดสินใจซื้อที่ช้าลงไป จึงเป็นเหตุผลทำให้บริษัทฯต้องเพิ่มความถี่การวางคอลเลคชั่นใหม่ รวมถึงการปรับดิสเพลย์ และบริการเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มสีสันบริการและแรงจูงใจให้กลุ่มลูกค้า
สำหรับเป้าหมายยอดรายได้ในปี 2549 บริษัทฯตั้งเป้าการเติบโตที่ 10-20% แต่หลังจากต้องประสบปัจจัยลบคาดว่ายอดรายได้อาจไปไม่ถึงเป้าที่ได้วางเอาไว้
ล่าสุดบริษัทฯมีแผนขยายฐานลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น โดยร่วมเป็นพันธมิตรกับ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ขยายลูกค้าระดับไฮเอนด์และลูกค้าทั่วไปของ เวอร์ซาเช่ ที่ต้องการทำตลาดแบบเซ็กเมนท์เตชั่น ทั้งนี้บริษัทฯมองว่าความพิเศษของโรงภาพยนตร์ อีนิกม่า ดอะ ชา โด้ สกีน ซึ่งเป็นโรงใหม่ของพารากอนซีนีเพล็กซ์เป็นอีกหนึ่งโรงภาพยนตร์ที่ทันสมัยและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์เวอร์ซาเช่ และจะสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ได้เพิ่มมากขึ้น และบริษัทฯคาดหวังว่าจากการปรับรูปแบบการจำหน่ายอีกทั้งรูปแบบบริการต่างๆจะสามารถดึงดูดฐานลูกค้าทั้งเดิมที่มีรอยัลตี้ต่อแบรนด์รวมถึงขยายฐานลูกค้าใหม่ได้