ปราชญ์ทางการเมืองคนสำคัญของโลกท่านหนึ่ง ผู้เป็นมหาบุรุษของประเทศจีนและประชาชนจีนคือเหมาเจ๋อตงเคยกล่าวว่า ชีวิตของคนเรา ยามถึงแก่ความตายแล้วคุณค่าบ้างก็หนักกว่าขุนเขา บ้างก็เบากว่าขนนก
ชีวิตและความตายที่ได้อุทิศแก่ประเทศชาติและประชาชนเพื่อความสงบสุขร่มเย็นของบ้านเมือง เพื่อความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองมีคุณค่าและน้ำหนักยิ่งกว่าขุนเขาไท้ซาน
ชีวิตและความตายที่รับใช้เผด็จการทรราช ที่รับใช้คนขายชาติ โกงบ้านกินเมือง ที่กดขี่ข่มเหงอาณาประชาราษฎร หรือทุจริตคิดมิชอบต่อแผ่นดิน เป็นชีวิตที่ไร้ค่าและเบากว่าขนนก หาความหมายใด ๆ ไม่ได้ เรียกว่าเกิดมาเสียชาติเกิดก็ว่าได้
ประเทศไทยของเราหลายยุคหลายสมัยตกอยู่ภายใต้วิกฤต ถูกอำนาจเผด็จการทรราชครอบงำย่ำยี ประชาชนถูกกดขี่ข่มเหง ชาติบ้านเมืองถูกปล้นชิงอย่างน่าอเนจอนาถ สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนถูกครอบงำทำลาย
แต่ทุกยุคทุกสมัยก็มีวีรชนคนกล้าของประชาชนอยู่เสมอ คนเหล่านี้ได้ร่วมคิด ร่วมต่อสู้เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งเอกราชอธิปไตยของชาติ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของประชาชน เพื่อความรุ่งเรืองไพบูลย์ของบ้านเมือง
มักเป็นการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความเสียสละ ความกล้าหาญ ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากส่วนตน ไม่เสียดายทรัพย์สินทุนรอน แม้กระทั่งชีวิต
และก็มักปรากฏในประวัติศาสตร์เสมอว่าการต่อสู้ของประชาชนมากหนมากครั้งที่ประสพชัยชนะแล้วมักถูกปล้นชิงชัยชนะนั้นไป แล้ววงจรอุบาทว์ก็มักหมุนกลับมา นี่นับว่าเป็นบทเรียนที่ทรงค่าทางประวัติศาสตร์สำหรับประชาชาติไทยทั้งมวล
คนเราเกิดมาชีวิตหนึ่งย่อมโลดแล่นไปในวิถีดำเนินของการกิน การอยู่ การดูแลครอบครัว และการสังสรรค์สโมสรกับมิตรสหาย ซึ่งพูดง่าย ๆ ว่าคราคร่ำอยู่กับเรื่องกิน กาม และเกียรติ
ยากนักน้อยนักที่จักได้มีโอกาสโลดแล่นอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้เพื่อเอกราชอธิปไตย เพื่อชาติ เพื่อประชาธิปไตย และเพื่อประชาชน
หากเกิดมาชีวิตหนึ่งได้มีโอกาส มีส่วนร่วมในขบวนการต่อสู้ของประชาชนเพื่อเอกราชอธิปไตย เพื่อประชาธิปไตย และเพื่อความรุ่งเรืองไพบูลย์ของบ้านเมืองแล้ว ก็ย่อมนับได้ว่าชีวิตนี้มีคุณค่าไม่เสียเปล่า
ภายใต้ระบอบทักษิณ เอกราชอธิปไตยของชาติจวนเจียนจะสิ้นสูญ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตกอยู่ในความเสี่ยงภัยที่จะถูกระบอบอื่นเข้ามาแทนที่
ปวงชนถูกปล้นชิงและลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ถูกกดขี่ข่มเหงทำร้ายทำลายอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต
ประเทศชาติถูกปล้นชิง ถูกฉ้อฉลคดโกงจนแทบเหลือแต่โครงกระดูก
ประชาชนถูกเสี้ยมให้ชิงชังรังเกียจกัน พร้อมที่จะประหัตประหารกันและกัน
ในยามนั้นเราได้ลุกขึ้นยืน “ชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม” เอาธรรมนำหน้า หาญกล้าต่อสู้ระบอบเผด็จการทรราช ประกาศความจริงให้พี่น้องร่วมชาติของเราได้รับรู้
พี่น้องประชาชนวงการต่าง ๆ แทบทุกหมู่เหล่าทั่วทุกหนแห่งทั้งประเทศตื่นขึ้นจากความหลับใหลแห่งมนต์มายาของระบอบเผด็จการ เข้าร่วมการต่อต้านขับไล่ระบอบเผด็จการทรราชอย่างต่อเนื่อง อย่างดุเดือด และด้วยความเสียสละกล้าหาญ
หลายคนต้องเสียสละชีวิตไปในท่ามกลางการต่อสู้นั้น!
ปรากฏการณ์สนธิเป็นปรากฏการณ์ที่มีนัยยะและเนื้อหาทางประวัติศาสตร์! เป็นปรากฏการณ์ลุกขึ้นสู้ของประชาชนกับระบอบเผด็จการทรราชที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่กว่าเผด็จการยุคใด ๆ ของประเทศเรา
สื่อส่วนใหญ่ในประเทศถูกใช้เป็นเครื่องมือปิดหูปิดตาประชาชน ทำลายเกียรติภูมิการต่อสู้ของประชาชน
อำนาจรัฐทั้งมวลถูกใช้เป็นเครื่องมือในการขัดขวางและปราบปรามการต่อสู้ของประชาชน
อำนาจมืด อำนาจเถื่อน และอำนาจเงินมากมายมหาศาลถูกใช้เพื่อขัดขวางและปราบปรามการต่อสู้ของประชาชน
คำสั่งอุ้ม คำสั่งฆ่า คำสั่งให้ใช้อำนาจรัฐกลั่นแกล้งมากหลายถูกนำไปปฏิบัติ
แต่ประชาชนก็มิได้ระย่อท้อถอย คลื่นกระแสการต่อสู้ของประชาชนโถมถั่งดุจดังคลื่นในท้องพระมหาสมุทรไม่ขาดสาย หนุนแน่นหนักหน่วงเพิ่มขึ้นทุกวัน ในขณะที่กลไกรัฐและผู้คนในกลไกรัฐส่วนใหญ่พากันเงียบเฉยและสยบหัวให้กับเผด็จการทรราช
แต่พลังประชาชนนั้นเมื่อตื่นขึ้นแล้ว ลุกยืนขึ้นแล้วย่อมไม่มีอำนาจไหนต้านทานได้
การต่อสู้ของประชาชนไม่เพียงแต่ขยายตัวไปทุกหนทุกแห่งทั่วประเทศ แต่ยังขยายไปในปริมณฑลต่าง ๆ ในต่างประเทศทั่วโลกอีกด้วย!
เป็นการต่อสู้ที่กระเทือนดิน สะท้านฟ้าในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนไทย
เสียงเรียกร้องของประชาชาติไทยให้ข้าราชการทหาร ตำรวจ ถอนตัวออกมาจากการหนุนช่วยอำนาจรัฐเผด็จการ มายืนอยู่ข้างประชาชนก้องกระหึ่มไปทุกหัวระแหง
ป้าย “หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มภัย” และคำกล่าวลักษณะเดียวกันนี้แพร่ขยายกระจายไปในทุกหนทุกแห่ง ปลุกจิตสำนึกและวิญญาณทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ตื่นขึ้นจากมายาภาพและเห็นภัยที่กำลังคุกคามสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
จนกระทั่งมาถึงเหตุการณ์ “หยาดน้ำใจจากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน” ถึงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แพร่กระจายไปในหมู่ข้าราชการทหาร ตำรวจ การต่อสู้ของประชาชนก็เริ่มมีความหวัง
จนกระทั่งสุดท้าย “ผ้าพันคอสีฟ้า รหัส 90274” ปรากฏขึ้น ณ เวทีเมืองไทยรายสัปดาห์ จึงนำไปสู่จุดการตัดสินใจถอนรากถอนโคนระบอบเผด็จการทรราช
ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกทำลายพินาศไปในห้วงเวลาที่ผ่านมากำลังมาถึงจุดที่ฟื้นฟูกันใหม่ ซึ่งประชาชนเราล้วนตั้งความหวังและร่วมกันจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าจะไม่หวนกลับไปสู่วงจรอุบาทว์ที่สืบทอดอำนาจและเป็นเผด็จการทรราชใหม่อีกครั้งหนึ่ง
เรื่องราววีรกรรมนับแต่เริ่มต้นรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 1 ซึ่งประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั่วประเทศและทั่วโลกได้มีส่วนร่วมและได้ใช้ชีวิตร่วมปีโลดแล่นไปในท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือดแหลมคมและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจะไม่สูญหายไปกับสายลม
เพราะมันได้ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนและถูกต้องโดยนักรบของประชาชนคนหนึ่งซึ่งอยู่ในทุกเหตุการณ์ระทึกของห้วงเวลา คือคำนูณ สิทธิสมาน เสนาธิการใหญ่ของฝ่ายพันธมิตรในกระบวนการต่อสู้เพื่อโค่นล้มเผด็จการทรราช
หนังสือเรื่อง “ปรากฏการณ์สนธิ : จากเสื้อสีเหลืองถึงผ้าพันคอสีฟ้า” คือเรื่องราวของห้วงเวลาประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญนี้ที่ประชาชนไทยทุกหนแห่งมีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์หน้าสำคัญหน้านี้จัดพิมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว
และงานเปิดตัวหนังสือนี้จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม 2549 เวลา 14.00-16.00 น. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ห้อง Meeting Room 3 ซึ่งทุกคนอาจไปเข้าร่วมหรือติดตามซื้อหามาเป็นอนุสรณ์แห่งชีวิตได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป.