xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 35 การไปมาหาสู่ทำให้กลายเป็นญาติ (2-จบ)

เผยแพร่:   โดย: เรืองวิทยาคม

เพื่อนนักเรียนในชั้นเรียนส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีน และก็เป็นธรรมดาของนักเรียนในชั้นหนึ่งๆ ซึ่งถึงแม้โดยรวมจะเป็นเพื่อนนักเรียนด้วยกัน แต่ความใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นพิเศษก็ย่อมแยกเป็นกลุ่มๆ

เพื่อนนักเรียนบางกลุ่มถ้าหากเรียกเป็นภาษาปัจจุบันนี้ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มไฮโซ เพราะวางตัวอยู่ในชั้นสูงของเพื่อนนักเรียนด้วยกัน แต่ไม่ใช่พวกไฮโซที่ฟุ้งเฟ้อเฟอะฟะเหมือนกับยุคสมัยปัจจุบัน แท้จริงแล้วเพื่อนนักเรียนกลุ่มนี้ชอบเล่นม้า เมื่อถึงนัดแข่งม้าก็จะพากันไปเล่นม้า เล่นม้าเสร็จแล้วพอถึงวันโรงเรียนเปิดก็มาพูดจาว่าขานกันอย่างสนุกสนาน

ทำราวกับว่าคนที่ไม่เล่นม้าเป็นพวกไม่รู้เรื่อง เป็นสังคมคนละชั้น ซึ่งก็อาจจะถูกสำหรับความคิดของคนบางกลุ่ม ขึ้นอยู่กับความยึดถือของแต่ละคนแต่ละถิ่น อย่างฮ่องกงนั้นใครเล่นม้าก็ต้องถือว่าเป็นคนชั้นสูง และถือกันว่าเป็นกีฬาพระราชา ซึ่งคงจะเป็นความจริงเพราะการเลี้ยงม้าก็ดี การเล่นม้าก็ดี ล้วนต้องใช้เงินมาก ยิ่งเป็นเจ้าของคอกม้าก็ยิ่งต้องมีเงิน มีพรรคพวกบริวาร และมีค่าใช้จ่ายมาก

แต่อย่างไรก็ตาม ชาวพุทธเราถือกันว่าการเล่นม้าเป็นอบายมุขที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่ง คือเป็นอบายมุขจำพวกพาชีที่น้อยคนนักจะประสพความสำเร็จมั่งคั่งร่ำรวยเพราะการเล่นม้าได้ บางครั้งอาจจะร่ำรวยจากการเล่นม้า แต่ในที่สุดก็จะหมดเนื้อหมดตัวและส่วนใหญ่ก็จะสิ้นเนื้อประดาตัวไปเพราะการเล่นม้า

บ้างก็ครอบครัวแตกสาแหรกขาด ถึงขนาดไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกกินก็ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ถมถืดไป

เพื่อนฝูงกลุ่มนี้รักเล่นม้าเป็นอาจิณ เพื่อนๆ ก็ได้แต่เป็นห่วงเป็นใย แต่ไม่ได้ผลอะไร เพราะเขาถือว่าการเล่นม้าเป็นกีฬาของสูง และสามารถทำรายได้ดี มาถึงวันนี้ก็ได้เห็นผลในบั้นปลายแล้วว่า เพื่อนฝูงของผมกลุ่มนี้ล้วนมีชีวิตที่ตกระกำลำบาก สิ้นเนื้อประดาตัว ทรัพย์สินเงินทองที่พ่อแม่สร้างสมไว้ให้ก็สูญสลายไปจนหมด บางครั้งพบหน้ากันในวันสังสรรค์รุ่นในแต่ละปี เมื่อรู้สภาพความเป็นไปแล้วผมก็ต้องแอบให้ความช่วยเหลือไปตามกำลังทุกครั้งไป

เพื่อนฝูงบางกลุ่มเป็นพวกเฮฮาสนุกสนาน แต่ละวันพูดจากันถึงเรื่องเที่ยวเตร่ ดูหนัง ฟังเพลง เพื่อนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นเพกรุงเทพฯ เป็นลูกหลานข้าราชการเป็นส่วนใหญ่ ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจอะไร แต่ละวันมาเรียนก็มีเงินมาจับจ่ายใช้สอยไม่ขัดสน ผิดกับผมซึ่งมีบ้างไม่มีบ้างสุดแท้แต่ห้วงเวลา คือถ้าเป็นต้นเดือนก็มีเงินใช้มากหน่อย แต่พอปลายเดือนก็ค่อนข้างจะขัดสน ถึงกระนั้นก็ต้องทนและต้องประหยัดตามกำลังเงินในกระเป๋าเพื่อจะได้ไม่ต้องก่อหนี้ยืมสิน เว้นแต่เพื่อนฝูงจะมีน้ำใจอาทรเลี้ยงข้าวเลี้ยงปลาอาหาร ซึ่งมีอยู่เป็นประจำ

เกิดมาเป็นลูกข้าราชการหรือเป็นลูกพระยาเลี้ยงดังนี้ก็พอนับได้ว่าเป็นคนมีบุญ แต่กาลข้างหน้าจะรักษาผลบุญให้ยั่งยืนสืบไปได้หรือไม่นั้นย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะบุญก็เหมือนเงินในกระเป๋า เมื่อจับจ่ายใช้สอยโดยไม่แสวงหาเพิ่มเติมก็ย่อมมีวันหมดได้เหมือนกัน หมดบุญเมื่อใดแล้วความว่างเปล่าและวิบากกรรมที่ถ้าหากสร้างสมไว้ก็จะตามมาสนอง และเมื่อนั้นหากสำนึกก็อาจจะสายเกินไป

เพื่อนฝูงบางคนอาจจะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแต่บังเอิญเรียนดี สังเกตเห็นได้จากการกินอยู่ประจำวัน มักจะเอาข้าวใส่กระป๋องสี่เหลี่ยมมากินตอนเที่ยง กินข้าวแล้วก็กินน้ำประปาของโรงเรียน เพื่อนฝูงแบบนี้ก็มีอยู่หลายคน และแทบทุกคนมักเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตัว มีความสุภาพเรียบร้อย คบหากันด้วยความจริงใจ

เพื่อนบางคนก็เอาแต่การเรียนอย่างเดียว ไม่สนใจพูดจาคบหาเพื่อนฝูงเอาเสียเลย ตอนเช้ามาโรงเรียนก็เข้านั่งที่โต๊ะ ตั้งหน้าตั้งตาอ่านแต่หนังสือ ถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติก็ไปเข้าแถวกับเขา พอกลับเข้าห้องก็อ่านหนังสืออีก ถึงเวลาเที่ยงลงไปกินข้าวเที่ยงแล้วกลับเข้ามานั่งอ่านหนังสือโดยไม่พูดไม่จากับใคร

ผมและเพื่อนๆ ไปพูดจาทักทายด้วยก็ได้รับการตอบสนองไปแกนๆ ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีใครอยากไปกวนเพื่อนกลุ่มนี้ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มนี้วันนี้ก็ได้ดิบได้ดีขึ้นมาเป็นถึงรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นับว่าประสพความสำเร็จในชีวิตข้าราชการในระดับสูงมากคนหนึ่ง

แม้จะมีเพื่อนร่วมห้องเรียนเกือบ 50 คน แต่ที่ผมคบหาสนิทสนมจริงๆ มีเพียง 4 คน คือมนูญผล ศิริศักดิ์ ไสยวิชญ์ และสุรศักดิ์ แต่สุรศักดิ์นั้นอายุสั้นไปหน่อย เรียนจบไปไม่ทันไรก็ถูกลูกหลงเสียชีวิตโดยที่ไม่ได้ขัดแย้งหรือทะเลาะเบาะแว้งกับใครเลย

นี่แหละที่โบราณเขาแต่งเป็นคำพังเพยไว้ว่า “ถ้าไม่ถึงคราวตายวายชีวาตม์ ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ แต่ถ้าถึงคราวตายวายชีวัน แม้ไม่ถูกฆ่าฟันให้มลายก็ตายเอง”

ไสยวิชญ์เป็นคนแปลกเพราะมีสัมผัสที่หก สามารถล่วงรู้การข้างหน้าได้อย่างอัศจรรย์ บางวันก็ทำตัวเป็นคนทรง คือเข้าทรงหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ ทั้งๆ ที่เป็นเด็ก แต่พอเข้าทรงแล้วก็จะมีรูปร่างที่แก่หง่อมผิดปกติไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งคำพูดคำจาก็ผิดแปลกไป เพื่อนฝูงมีเรื่องข้องหมองใจจะไต่ถามประการใด เวลาเข้าทรงไสยวิชญ์ก็จะตอบได้อย่างถูกต้องเป็นที่อัศจรรย์ จนเป็นที่เล่าขานล้อกันในบรรดาหมู่เพื่อนว่าไสยวิชญ์นี้เป็นหมอผี

แทบทุกวันพวกเราจะเล่นเข้าทรงกัน ทำกันเป็นเรื่องสนุกสนาน เพื่อนฝูงที่สนใจในเรื่องนี้ก็พากันมามุงซักไซร้ไต่ถามเป็นที่ครื้นเครง บางทีครูประจำชั้นเข้ามาตอนเริ่มชั้นเรียนเห็นเหตุการณ์เข้าก็ถูกดุและถูกลงโทษ บางครั้งตอนเริ่มต้นชั่วโมงเป็นครูที่สอนวิชาอื่นที่สนใจในเรื่องเข้าทรงก็พลอยเข้ามาร่วมวงด้วย

ไสยวิชญ์จึงเป็นเพื่อนที่ทุกคนให้ความสนใจ และเห็นถึงความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตามประสาเด็กๆ

ผมเองมีความสนใจในเรื่องนี้มาตั้งแต่น้อย ได้พยายามจับผิดว่าไสยวิชญ์ต้มเพื่อนหรือมิใช่ แต่ก็จับไม่ได้ ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่ค่อยปักใจเชื่อเท่าใดนัก เพราะเด็กขนาดเดียวกับผมในขณะนั้นไหนเลยที่จะทรงเจ้าเข้าผีได้ แต่จะไม่เชื่อเสียเลยก็เห็นถึงความแปลกมหัศจรรย์อยู่เป็นนิตย์ ดังนั้นผมกับไสยวิชญ์จึงคบหากันเป็นเพื่อนสนิท

มนูญผลเป็นคนกำพร้าพ่อ อยู่กับแม่และน้าและน้องชายอีกคนหนึ่ง เป็นคนมีน้ำใจและใฝ่ในคุณงามความดี มีจิตใจที่เยือกเย็น ชอบฟังเพลงสุนทราภรณ์ และเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมกลายเป็นแฟนเพลงสุนทราภรณ์ ถึงขั้นเป็นแฟนพันธุ์แท้ จนกระทั่งทุกวันนี้ ดังนั้นจึงเป็นกลุ่มคบหากับผมได้อย่างกลมกลืน และมีความรักสมัครสมานผูกพันดุจพี่น้อง

ศิริศักดิ์แม้เป็นคนภาคใต้ แต่มาเติบโตในกรุงเทพฯ จึงมีสภาพเป็นครอบครัวของคนกรุงเทพฯ แต่เนื่องจากพ่อแม่เป็นข้าราชการ รับราชการอยู่ต่างจังหวัด ศิริศักดิ์จึงมาเช่าบ้านอยู่ใกล้วัดระฆัง ดังนั้นนอกจากจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันแล้วยังเป็นเพื่อนร่วมถิ่น จึงมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นพิเศษอีกคนหนึ่ง

ศิริศักดิ์มีญาติชื่อวัจจนนท์อยู่แถวพรานนก วัจจนนท์มีพ่อเป็นจ่าศาล และเรียนอยู่ที่โรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์ เป็นแต่ว่าเรียนคนละห้อง คือเรียนห้อง ค. วัจจนนท์เป็นคนสุภาพเรียบร้อย และเป็นคนรักเพื่อน ดังนั้นแม้ต่างห้องเรียนพวกเราก็สามารถคบหากันอย่างสนิทสนม.

โปรดติดตามตอนที่ 36 “ค่าของคนอยู่ที่ความเชื่อถือได้ ตอน 1” ในวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2549
กำลังโหลดความคิดเห็น