xs
xsm
sm
md
lg

ชำแหละสศค.ยุคแม้วเสื่อม'อุ๋ย'ปลุกใจฮึดสู้ฟื้นศรัทธา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน : "หม่อมอุ๋ย"ชำแหละสศค.ระบุ 3-4 ปีที่ผ่านมาเป็นยุคเสื่อมศรัทธา ไม่มีความหนักแน่นพอจะเป็นเสาหลักของชาติด้านนโยบายการคลัง หลังถูกมองว่าเพิกเฉยไม่กล้าขัดนโยบายประชานิยมจนทำให้ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ พร้อมปลุกใจเร่งเรียกความเชื่อมั่นกลับ แนะสร้างความรู้จริง-รู้ทันนโยบายการคลังจึงจะออกมาตรการมาใช้ได้ถูกจุด และใจที่ยืนหยัดทำนโยบายที่ถูกต้องสำคัญที่สุด
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "นโยบายการคลังในอนาคต" เนื่องในวันครบรอบ 45 ปี สถาปนาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ว่า คงไม่จำเป็นต้องพูดถึงนโยบายการคลังในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร เพราะคิดว่าข้าราชการของ สศค. ต่างก็ทราบดีอยู่แล้ว เนื่องจากเรียนตำราเศรษฐกิจมาเล่มเดียวกัน แต่สิ่งที่ต้องการพูดถึงมากกว่า ก็คือบทบาทของข้าราชการ สศค. ในการเตรียมตัวดูแลนโยบายการคลังในอนาคต
“ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา สศค.สูญเสียความเป็นที่ยอมรับจากบุคคลภายนอกไปมาก อย่างเช่น ในเรื่องนโยบายประชานิยม ไม่เห็นมีใครในกระทรวงการคลังที่กล้าออกมาทัดทานเลยในสายตาของประชาชนถ้าปล่อยไปก็อาจจะเกิดเหตุการณ์คล้ายกับในลาตินอเมริกาแน่ๆ ผมว่าของอย่างนี้จะปล่อยไม่ได้ เพราะเราเป็นด่านสุดท้าย ถ้าเห็นว่าจะเสียหายมาก เราควรต้องยื่นหน้าเข้าไป" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
ทั้งนี้ มองว่า สศค. ซึ่งตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นผู้อำนวยการคนแรกนั้น ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นเสมือนเสาหลักในด้านนโยบายการคลัง ขณะที่เสาหลักอีกด้านหนึ่ง คือ นโยบายการเงินนั้น เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่สิ่งที่ต้องตั้งคำถามคือ ปัจจุบัน สศค. ยังเป็นเสาหลักได้หรือไม่ ซึ่งมองว่ายังเป็นอยู่ เพียงแต่ในสายตาคนข้างนอกที่มองเข้ามาไม่คิดว่า สศค. เป็นเสาหลักในด้านนโยบายการคลังแล้ว
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า สำหรับบทบาทของข้าราชการ สศค. ที่จะเป็นเสาหลักได้ต่อไปนั้น จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ 1.ต้องมีองค์ความรู้ในด้านนโยบายการคลังอย่างถ่องแท้จนสามารถเป็นที่พึ่งของประเทศชาติได้ โดยจะต้องรู้ถึงผลกระทบต่างๆ ต่อเศรษฐกิจโดยรวม ว่าจะมีผลต่อเสถียรภาพทางด้านเศรษฐกิจของประเทศอย่างไร 2.ต้องมีความเข้าใจสภาพแท้ๆ ของเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินไป ไม่ใช่อยู่แบบหอคอยงาช้าง แต่ต้องรู้รายละเอียดย่อยๆ ในแต่ละภาคส่วนด้วย เพราะไม่เช่นนั้น จะทำให้ไม่สามารถออกมาตรการต่างๆ มาใช้ดูแลเศรษฐกิจได้อย่างถูกต้อง
"เป็นเรื่องแปลกที่บางคนรู้ เข้าใจทฤษฎีอย่างดี แต่ไม่สามารถเอาความรู้มากำหนดออกเป็นมาตรการได้ โดยสิ่งเหล่านี้จะเกิดจากประสบการณ์ คือ ต้องทำบ่อยๆ ต้องอ่านเศรษฐกิจให้ออก เมื่อ 30 ปีก่อนคนข้างนอกจะยอมรับลักษณะการแสดงออกของคนสศค. เวลาไปพูดที่ไหน คนจะคิดว่า มีความรู้มากกว่าซึ่งถ้ามีองค์ความรู้แบบนี้ ไม่ว่าผู้บริหารหรือนักการเมืองคนไหนมา เขาก็จะยึดเราเป็นครู จะรู้สึกว่าเขาต้องพึ่งเราได้ จะเกิดการยอมรับ และใช้เรา แต่ถ้าเขาเข้ามาแล้ว บอกว่าที่เราทำง่ายมาก เขาก็จะไม่ยอมรับ" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
นอกจากองค์ความรู้ดังกล่าวแล้ว การที่จะทำให้คนหันมาศรัทธา สศค. อีก สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือใจ ที่ต้องยืนหยัดในนโยบายที่เหมาะสม หากเห็นว่า นโยบายใดทำแล้วเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาค ก็ต้องชี้แจงให้ผู้บริหาร หรือนักการเมืองเข้าใจ หรือเห็นผลกระทบได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะต้องมีทักษะ และศิลปะในการนำเสนอ รวมถึงต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้บริหารด้วย นอกจากนี้ ยังต้องมีใจที่กล้าทัดทานนโยบายที่จะทำให้เกิดผลเสีย ในเวลาที่นักการเมืองจะทำนโยบายที่ไม่ดีออกมา
"ผมเคยมาประชุมด้วย ก็เห็นว่ายังมีอยู่บ้าง แต่ก็มีบางเรื่องข้าราชการก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ซึ่งตรงนี้ ถ้าเขาใช้มาตรการการคลัง หรือมาตรการข้างเคียงการคลังแล้วมีผลเสีย หากเราไม่คัดค้านแล้วใครจะค้าน แต่ก็เห็นใจข้าราชการ เพราะมีภรรยา มีลูกต้องเลี้ยงดู แต่เราเป็นด่านสุดท้าย ก็ต้องฮึด ทำอย่างไรไม่ให้เขาโกรธ ก็ต้องใช้ศิลปะ เช่น การยิ้ม การไหว้ ไม่วางตัวเหนือผู้อื่น ทำได้ทั้งนั้น" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวอีกว่า ยกตัวอย่างกรณีการใช้จ่ายงบประมาณ ก็ต้องมีการวางกฎเกณฑ์ มีการติดตามดูแลให้เป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใส ต้องมีการทำวิจัยนโยบายแต่ละเรื่องว่า มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรงที่ต้องทำ ทั้งนี้ หากเห็นว่ามีการหมกเม็ด ก็ต้องทำหน้าที่เปิดเผยให้คนอื่นได้เห็น แต่ต้องทำอย่างนิ่มนวล
ขณะที่มาตรการที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ก็ต้องมีการติดตามผล มีการประเมินความเสี่ยงว่าจะเกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจอย่างไร โดยอาจจะทำออกมาเป็นลักษณะรวบรวมเป็นรายได้ก็ได้
"วันนี้ ในสายตาสาธารณชน เราถอยไปมาก ผมขอยกคำกล่าวของอาจารย์ป๋วยมาบอกให้ฟังทิ้งท้ายว่า คนเราถ้าไม่ทำงานโดยมัวแต่พะวงเก้าอี้แล้ว การทำงานนั้นก็จะประสบผลอย่างมาก" รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น