โอกิลวี่ ฯ ชี้เทรนด์งานสื่อสารและโฆษณายุคใหม่ต้องสามารถวัดผลได้ เพื่อช่วยลูกค้าและเอเยนซี่บรรลุวัตถุประสงค์ได้ดีขึ้น คาดสิ้นปียอดขายของโอกิลวี่ แอดเวอร์ไทซิ่งเป็นไปตามเป้าหรือเติบโตขึ้น10%
นายทิม บรอดเบนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายประสิทธิผลประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Regional Effectiveness Director) บริษัท โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ เอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า ปัจจุบันงานสื่อสารการตลาดและโฆษณายังไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องการวัดประสิทธิผลได้ไม่ว่าจะเป็นยอดรายได้ ,การจัดการตัวแบรนด์ และผลตอบรับจากลูกค้าได้ ฯลฯ ประกอบกับจากงานวิจัยจะเห็นได้ว่าเอเยนซี่ส่วนใหญ่ยังมีประสิทธิผลที่ต่ำ ทั้งเรื่องการพิทักษ์รักษาแบรนด์และการปกป้องผลประโยชน์ของลูกค้า
ดังนั้นบริษัทโอกิลวี่ฯจึงได้เล็งเห็นโอกาสและช่องว่างของงานสื่อสารและโฆษณาในปัจจุบันที่ยังขาดเรื่องนี้ จึงได้พยายามเน้นสร้างการวัดประสิทธิผลของการสื่อสารและโฆษณาตรงนี้ขึ้นให้เป็นวัฒนธรรมขององค์กรโดยผ่านเครื่องมือวัดผลของบริษัทฯ ซึ่งตรงนี้จะทำให้ลูกค้าหรือผู้โฆษณาทราบได้ว่าการใช้จ่ายงบโฆษณานั้นมีความคุ้มค่าหรือไม่ รวมถึงสามารถวัดความคืบหน้าในเชิงกลยุทธ์และวัตถุประสงค์ของธุรกิจได้ ส่วนเอเยนซี่เองก็สามารถตัดสินใจเลือกที่จะผลิตงานโฆษณาบนแนวคิดที่น่าจะได้ผลที่สุด และมีความสร้างสรรค์มากที่สุด
“ปัจจุบันลูกค้าที่ใช้บริการตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าระดับโกลบอล อาทิ ยูนิลีเวอร์,โมโตโรล่า และจีเอฟเค ส่วนลูกค้าในระดับโลคอลขณะนี้ยังไม่มีใช้บริการตรงนี้ แต่เชื่อว่าในอนาคตอาจจะมี ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับตลาดไทย ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์,ฮ่องกง และจีนถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะเป็นความได้เปรียบในการทำธุรกิจในอนาคต”
สำหรับผลการดำเนินงานภายในสิ้นปีนี้ของโอกิลวี่ แอดเวอร์ไทซิ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตราว 10% ซึ่งการเติบโตมาจากฐานลูกค้าเดิมและการขยายตัวทั้งจากลูกค้าใหม่ 5-6 ราย ส่วนการดำเนินงานในปีหน้าก็คาดหวังการขยายตัวอีก 10% จากปีนี้
นายทิม บรอดเบนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายประสิทธิผลประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Regional Effectiveness Director) บริษัท โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ เอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า ปัจจุบันงานสื่อสารการตลาดและโฆษณายังไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องการวัดประสิทธิผลได้ไม่ว่าจะเป็นยอดรายได้ ,การจัดการตัวแบรนด์ และผลตอบรับจากลูกค้าได้ ฯลฯ ประกอบกับจากงานวิจัยจะเห็นได้ว่าเอเยนซี่ส่วนใหญ่ยังมีประสิทธิผลที่ต่ำ ทั้งเรื่องการพิทักษ์รักษาแบรนด์และการปกป้องผลประโยชน์ของลูกค้า
ดังนั้นบริษัทโอกิลวี่ฯจึงได้เล็งเห็นโอกาสและช่องว่างของงานสื่อสารและโฆษณาในปัจจุบันที่ยังขาดเรื่องนี้ จึงได้พยายามเน้นสร้างการวัดประสิทธิผลของการสื่อสารและโฆษณาตรงนี้ขึ้นให้เป็นวัฒนธรรมขององค์กรโดยผ่านเครื่องมือวัดผลของบริษัทฯ ซึ่งตรงนี้จะทำให้ลูกค้าหรือผู้โฆษณาทราบได้ว่าการใช้จ่ายงบโฆษณานั้นมีความคุ้มค่าหรือไม่ รวมถึงสามารถวัดความคืบหน้าในเชิงกลยุทธ์และวัตถุประสงค์ของธุรกิจได้ ส่วนเอเยนซี่เองก็สามารถตัดสินใจเลือกที่จะผลิตงานโฆษณาบนแนวคิดที่น่าจะได้ผลที่สุด และมีความสร้างสรรค์มากที่สุด
“ปัจจุบันลูกค้าที่ใช้บริการตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าระดับโกลบอล อาทิ ยูนิลีเวอร์,โมโตโรล่า และจีเอฟเค ส่วนลูกค้าในระดับโลคอลขณะนี้ยังไม่มีใช้บริการตรงนี้ แต่เชื่อว่าในอนาคตอาจจะมี ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับตลาดไทย ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์,ฮ่องกง และจีนถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะเป็นความได้เปรียบในการทำธุรกิจในอนาคต”
สำหรับผลการดำเนินงานภายในสิ้นปีนี้ของโอกิลวี่ แอดเวอร์ไทซิ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตราว 10% ซึ่งการเติบโตมาจากฐานลูกค้าเดิมและการขยายตัวทั้งจากลูกค้าใหม่ 5-6 ราย ส่วนการดำเนินงานในปีหน้าก็คาดหวังการขยายตัวอีก 10% จากปีนี้