xs
xsm
sm
md
lg

หลังวันที่ 19 กันยายน 2549

เผยแพร่:   โดย: วรศักดิ์ มหัทธโนบล

จนถึงเดี๋ยวนี้ผมยังงงๆ กับการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อยู่ไม่หาย เพราะตั้งแต่เกิดมาจนล่วงเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ผมยังไม่เคยพบกับการรัฐประหารแบบนี้มาก่อน

ถ้าไม่นับรัฐประหารปี 2500 หรือ 2501 ที่ผมยังแบเบาะอยู่แล้ว ผมมารับรู้เรื่องการรัฐประหารเอาจริงๆ ก็ตอนที่เรียนมัธยมฯ ตอนนั้นเป็นการรัฐประหารปี 2514 ที่ จอมพลถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจตัวเอง (ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทำแมวอะไร)

ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าปฏิวัติรัฐประหารหมายถึงอะไร รู้แต่เพียงว่ามีการเอารถถงรถถังมาจอดกันเต็ม และมีทหารถืออาวุธพร้อม คล้ายกับบ้านเมืองกำลังจะมีศึก

ความรู้สึกในเวลานั้นก็คือตื่นเต้น แต่ด้วยเหตุที่การยึดอำนาจในสมัยนั้นดูจริงจังขึงขังจนน่าเกรงขาม ผมจึงไม่เห็นจะมีใครเอาน้ำเอาข้าวไปให้ทหาร และที่กินไม่ได้อย่างดอกกุหลาบนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่มีหรอกครับเวลานั้น

ขืนใครเอาไปให้ก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับบ้านนอนหรือไม่

พอเริ่มโตเป็นหนุ่มเต็มตัวก็เจอกับรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 คราวนี้เจอแบบจังๆ และแบบรู้เรื่องรู้ราวแล้ว คือรู้ว่ารัฐประหารเป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องเลวร้าย เป็นเรื่องทำลายชาติบ้านเมือง เป็นเรื่องที่ผู้มีจิตใจประชาธิปไตยพึงลุกขึ้นมาต่อต้าน ฯลฯ ที่ล้วนแล้วแต่ไม่ดีทั้งนั้น

จากนั้นมา ผมจึงมีความรู้สึกเป็นลบกับการรัฐประหารเรื่อยมา อย่างรัฐประหารปี 2524 ที่กลายเป็นกบฏเมษาฮาวาย หรือรัฐประหารปี 2528 ที่กลายเป็นกบฏนัดแล้วไม่มานั้น ผมก็ไม่ชอบ ถึงแม้จะดูด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องก็ตาม (เพราะผมก็ไม่ชอบรัฐบาลในตอนนั้นเหมือนกัน)

จนกระทั่งมาถึงรัฐประหาร 2534 นั่นแหละ ที่ผมรู้สึกเป็นปฏิปักษ์สุดๆ เพราะว่าตอนนั้นการเมืองแบบประชาธิปไตยเพิ่งจะเริ่มก้าวไปไม่กี่ปีเท่านั้น และแม้จะมีการคอร์รัปชันก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเลวร้ายเมื่อเปรียบเทียบกับการคอร์รัปชันของระบอบทักษิณ สรุปได้ว่าเหตุผลไม่หนักแน่นเพียงพอ ซ้ำร้ายกลุ่มอำนาจใหม่ที่เรียกตัวเองว่า “รสช.” กลับทำตัวเป็นผู้ร้ายเสียเองหลังจากเวลาผ่านไปประมาณปีเศษ จนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535 ขึ้นมา

หลังจากนั้น ผมก็ไม่เคยคิดอีกเลยว่าจะมีรัฐประหารในเมืองไทยอีก ทั้งที่เวลาที่ผมพูดคุยกับเพื่อนฝูงนั้น ผมมักจะบอกอยู่เสมอว่า รัฐประหารยังไม่ใช่เรื่องล้าสมัยสำหรับการเมืองไทยและสำหรับคนบางคน

แต่จนแล้วจนรอด มันก็เกิดขึ้นจนได้ในวันที่ 19 กันยา

หลังจากวันนั้นเรื่อยมาจนถึงวันที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ (11 ตุลาคม 2549) ผมพบว่า รัฐประหารครั้งนี้มีอะไรที่แตกต่างไปจากที่ผ่านๆ มาหลายเรื่องด้วยกัน ที่สำคัญๆ ก็เช่น.....

ผมไม่เคยพบเห็นการรัฐประหารที่ไหนที่จะมีผู้คนทุกเพศทุกวัยออกมาต้อนรับมากมายขนาดนี้ ผู้คนเหล่านี้นำเอาอาหารและน้ำดื่ม ตลอดจนดอกไม้มาให้แก่ทหารที่ยืนตรึงกำลังอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ

มีคอลัมนิสต์บางคนตั้งข้อสังเกตว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา เพราะทุกครั้งที่มีการรัฐประหารก็มักจะมีผู้คนออกมาต้อนรับเช่นกัน และยังว่าต่อว่า จากนั้นคนกลุ่มเดียวกันนี้ก็จะออกมาต่อต้านกลุ่มทหารที่ทำรัฐประหาร

บอกตรงๆ ว่า ผมไม่เห็นด้วยกับข้อสังเกตดังกล่าว เหตุผลของผมก็คือ เป็นความจริงที่สมัยก่อนก็มีปรากฏการณ์เช่นนี้ แต่ถ้าคิดดูให้ดีแล้ว คนที่เอาดอกไม้ไปให้กำลังใจกับผู้ก่อการรัฐประหารนั้น หากไม่เป็นลิ่วล้อผู้รักเผด็จการแล้ว ก็จะเป็นกลุ่มจัดตั้งที่ตั้งกันมาเองโดยใครก็ไม่รู้ (รู้แต่ว่าคุ้นๆ หน้ากันทั้งนั้น)

แต่กับการรัฐประหารครั้งนี้ผมมองยังไงก็มองไม่ออก ว่าคนที่ออกมาให้กำลังใจกับทหารนั้นถูกว่าจ้างหรือถูกจัดตั้งมา และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็นับว่า “เนียน” มาก

นอกจากนี้ ผมก็ไม่เคยพบเห็นการรัฐประหารที่ไหนเหมือนกัน ที่จะมีผู้ออกมาประท้วงกันอย่างออกหน้าออกตามากขนาดนี้ ผู้ประท้วงเหล่านี้มีทั้งที่แสดงออกโดยปัจเจกและโดยในนามขององค์กร

ข้อที่น่าสังเกตของผู้ประท้วงเหล่านี้ก็คือว่า บางคนเคยประท้วงระบอบทักษิณมาเมื่อก่อนหน้านี้ กลุ่มนี้ถือว่าพอเชื่อได้ว่าประท้วงด้วยความจริงใจ แต่กับบางกลุ่มแล้วผมไม่เคยเห็นหน้าเลยตลอดเวลาค่อนปีที่มีการประท้วงระบอบทักษิณ แต่พอเกิดรัฐประหารปั๊บก็ออกมาปุ๊บ กลุ่มหลังนี้ผมว่าแหม่งๆ ยังไงชอบกลอยู่

แต่ทั้งหมดนี้ผมไม่เห็นว่า คณะรัฐประหารจะจัดการอย่างเด็ดขาดอย่างในอดีตแม้แต่กรณีเดียว

จะมีก็แต่กรณีที่ผมเห็นว่าไม่เกี่ยวกับการประท้วงโดยตรงก็คือ การสั่งปิดเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กรณีนี้เป็นกรณีเดียวที่ทำให้ผมต้องขอประท้วงการรัฐประหารไปกับเขาด้วย แต่ตอนนี้เหตุการณ์เป็นยังไงหรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร ผมไม่รู้ รู้อย่างเดียวคือ การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดอย่างยิ่ง

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องสุดท้ายที่ผมไม่เคยเห็นจากการรัฐประหารก่อนหน้านี้เลยนั่นคือ ท่าทีของนักการเมือง

ถ้าเป็นสมัยก่อน นักการเมืองมักจะปิดปากตัวเองเพื่อความปลอดภัยของตนเสียโดยส่วนใหญ่ ที่จะแสดงความเห็นต่อต้านหรือลุกขึ้นมาประท้วงตรงๆ หรือแม้แต่เชลียร์กันอย่างสุดๆ นั้นมีน้อยมาก

แต่กับรัฐประหารครั้งนี้กลับตรงข้าม ผมเห็นนักการเมืองฝ่ายค้านที่ต่อต้านระบอบทักษิณมีท่าทีที่ถ้าไม่กลางๆ ก็จะติดข้างจะสนับสนุนอยู่กรายๆ ผมเข้าใจว่านี่เป็นธรรมดาของนักการเมือง (ประชาธิปไตยถึงไม่เจริญไงครับ) ลำพังฝ่ายค้านนี่ยังพอเข้าใจได้นะครับ เพราะยังไงๆ เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าพวกเขาชิงชังรังเกียจระบอบทักษิณอย่างไรบ้าง แต่ที่ดูแล้วรู้สึกทุเรศก็คือ ท่าทีของ คุณทักษิณ ชินวัตร ที่ส่งสัญญาณมาถึงลูกพรรคของตน ว่าขอให้ความร่วมมือและเชื่อฟังคณะรัฐประหาร ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ปากก็บอกว่าจะปกป้องระบอบประชาธิปไตย (ที่จอมปลอม) ให้ถึงที่สุด

ผมคิดว่าถ้า คุณทักษิณ แน่จริงก็ต้องวิ่งเต้นต่อต้านการรัฐประหารให้ถึงที่สุด จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นหรือจะไปอ้อนวอนผู้นำสหรัฐฯ ที่ตนรักประดุจบิดาบังเกิดเกล้ายังไงก็ทำไป แต่นี่กลับมาบอกให้ลูกพรรคยอมเสียเฉยๆ ยังงั้นแหละ

ผมรู้น่ะครับว่า นั่นเป็นชั้นเชิงของ คุณทักษิณ ที่ คุณทักษิณ ยึดมั่นมาตลอดว่า จะไม่สู้กับสงครามที่ตนรู้ว่าตนจะแพ้ และตอนนี้ คุณทักษิณ ก็รู้แล้วว่าตนแพ้ จึงออกอาการ “หงอ” ให้เห็น ทั้งที่จริงแล้วในใจลึกๆ นั้น คุณทักษิณ ไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ และผมเชื่อว่าถ้ามีโอกาส คุณทักษิณ จะต้องเอาคืนแน่ๆ

โดยสรุปก็คือ คุณทักษิณ เป็นคนที่เชื่อไม่ได้จริงๆ

ตอนนี้ผมจึงได้แต่หวังว่า คุณทักษิณ จะได้ปฏิบัติตามสัญญาที่เคยให้กับ คุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษาคู่บุญของตนที่ว่า ถ้ายุติบทบาททางการเมืองเมื่อไร ตนจะเดินทางไปศึกษาแหล่งอารยธรรมของโลก ที่ผมหวังเช่นนี้ก็เพราะว่า ถ้า คุณทักษิณ ได้ศึกษาจริงแล้ว บางทีอาจจะยกระดับความเป็นอารยชนของตนได้บ้างไม่มากก็น้อย ถึงตอนนั้นถ้ากลับมาเล่นการเมืองอีก ก็คงไม่มีพฤติกรรมอย่างที่แล้วๆ มา

โดยสรุปแล้ว อะไรที่ผมไม่เคยเห็นจากการรัฐประหารเมื่อก่อนหน้านี้จากเท่าที่ยกมานั้น ฟังดูแล้วก็คล้ายกับผมกำลังสนับสนุนการรัฐประหารยังไงยังงั้น จริงๆ แล้วไม่ใช่เช่นนั้น เพราะในใจลึกๆ แล้วผมเองก็ยังเกรงอยู่ว่า ที่คณะรัฐประหารปล่อยให้ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นเพราะกำลังล่อเสือออกจากถ้ำหรืออย่างไร

อย่าลืมนะครับว่า เรื่องนี้เคยมีบทเรียนมาแล้ว นั่นคือ รัฐประหารปี 2500 ที่พอยึดอำนาจเสร็จ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ปล่อยให้ผู้คนมีเสรีภาพกันอย่างเต็มที่ไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายซ้าย แต่พอถึงเดือนตุลาคมปีถัดมา ท่านจอมพลของเราก็ยึดอำนาจกลับไปอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็กวาดคนที่แสดงสิทธิเสรีภาพจนราบเรียบ

โชคดีที่ตอนนั้นผมยังแบเบาะอยู่ แต่ตอนนี้สิผมแก่แล้ว ขออย่าได้เป็นเช่นนั้นเลย...
กำลังโหลดความคิดเห็น