คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ได้รับรู้รายชื่อกันพอสมควร น่าจะเป็นความหวังว่าการขับเคลื่อนประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ประกาศว่า จะยึดหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” ตามแนวพระราชดำริ ในการบริหารประเทศ
ส่วน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้จะเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยืนยันแนวทางบริหารเศรษฐกิจ ในการแสดงปาฐกถาแก่บรรดานักลงทุน ซึ่งจัดโดยตลาดหลักฐานหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า
การลงทุนปีหน้าจะดีกว่าปีนี้ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะทำให้การเลือกตั้งมีความยุติธรรมและไม่ถูกครอบงำซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคทักษิณ
คุณชายอุ๋ย บอกว่า “บรรยากาศที่นักธุรกิจจะต้องเลือกข้างจะหมดไป เพราะผู้บริหารชุดนี้ไม่ธุรกิจใดๆ เลย เป็นรัฐบาลที่จะวางโครงสร้างให้ทุกคนทำธุรกิจด้วยตัวเองได้ และเมื่อไม่มีเรื่อง 2 มาตรฐานแล้ว ก็จะไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น”
สภาพเช่นนี้แหละใครที่ชอบพูดว่า “เป็นกลาง” ต้องสำเนียก เพราะต้องมี “มาตรฐานเดียว” คือไม่ลำเอียง หรือเข้าข้างผู้มีอำนาจหรือผู้ที่ให้ผลประโยชน์จนกลายเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่น
ด้วยเหตุนี้เองหลายวันที่ผ่านมาเมื่อมีการปล่อยข่าวหรือคาดเดา รายชื่อบุคคลที่เก็งกันว่าจะได้รับการทาบทามให้รับตำแหน่งรัฐมนตรี
บางรายชื่อที่เคยเกี่ยวข้องหรือรับใช้ “ระบอบทักษิณ” จึงถูกคัดค้านจากสังคม
หรือแม้แต่ผู้บริหารหน่วยงานหรือหน่วยราชการที่ได้รับตำแหน่งมาเพราะอำนาจการเมือง แล้วเป็นเหตุให้ต้องสนองรับใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ เช่น สถาบันตลาด หุ้้น กรมสรรพากร ก็ถูกกระแสสังคมจับตาว่าจะไปเพราะการเมืองด้วยการลาออกเองหรือมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร ดังเช่น ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่ง
เพราะการบริหารจัดการที่ดีตามหลัก “ธรรมาภิบาล” ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของผู้นำรัฐบาลใหม่ทั้งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีจะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างราบรื่น หากยังมีคนในระบอบทักษิณอยู่ในวงจรการบริหารยุคใหม่
การชำระล้างซากเดนระบอบทักษิณให้ออกจากระบบจึงเป็นความจำเป็น และอย่าอ้างเรื่อง “สมานฉันท์” มาปกปิดเชื้อร้ายให้ยังแทรกซึมอยู่
โดยความจริงแล้ว เนื้อแท้ของระบอบประชาธิปไตยได้ถูกทำลายไปจนเหลือแค่คำที่ใช้กล่าวอ้าง ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ก็็ถูกละเมิดจนเหลือแค่รูปแบบ
จึงจำเป็นต้อง “ปฏิรูปการเมืองใหม่” และสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับ “คุณธรรม” ในทุกระดับทุกวงการ
สัญญาณที่ดีได้เริ่มขึ้นแล้ว ขอเพียงได้คนที่มีจิตสำนึก และมีความมุ่่งมั่นทำจริงเพื่อสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตย พร้อมกับพลิกฟื้นสังคมคุณธรรมให้เกิดขึ้น
สังคมไทยในระดับล่างที่วนเวียนอยู่ในวงจรแห่งความยากจนและการเป็นหนี้ เนื่องจากการใช้จ่ายเงินเกินตัว หรือหารายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย จนต้องพึ่งแหล่งเงินกู้ แล้วยังซ้ำเติมด้วยการถูกมอมเมาด้วย “อบายมุข” และการส่งเสริมให้หวังลาภลอยจากการแทงหวย
เรื่องความคิดถูกผิดหรือหลักคุณธรรมจึงถูกมองข้าม เพราะกลไกของรัฐที่แล้วมา มิได้สื่อสารสร้างความรู้และปัญญาเชิงคุณธรรม
การนำเอาธุรกิจหวย 2 ตัว 3 ตัว ซึ่งผิดกฎหมายมาให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลดำเนินการ โดยอ้างว่าเพื่อเอาเงินกำไรจากโครงการมาช่วยเหลือสังคมผู้ด้อยโอกาส เช่น โครงการทุนการศึกษานับเป็นกลยุทธที่แยบยล
ใช้ความ “เหลี่ยมจัด” ที่เอากำไรจากหวยคนจนที่มิได้นำเข้าคลัง และไม่มีระบบตรวจสอบการใช้จ่ายเงินอย่างโปร่งใส
จึงเป็นการฉวยโอกาสจากโครงการช่วยคนขณะที่เอาไปใช้จ่ายเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองเครือข่ายรัฐบาล
มีข้อมูลจากคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภาเคยตรวจสอบโครงการหวยบนดินพบว่า ที่ทำมา 3 ปี มีรายได้เกือบแสนล้านบาท โดยมีกำไรนับหมื่นล้านบาท
เงินจำนวนนี้จึงกลายเป็นขุมทรัพย์ที่นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลทักษิณใช้ประโยชน์อย่างชนิดไม่มีระเบียบควบคุมที่ดี
น่าสนใจที่คุณจรัล ภักดีธนากุล รักษาการปลัดกระทรวงยุติธรรมจุดประเด็นให้มีการทบทวนโครงการหวยบนดิน ที่รับใช้ระบอบทักษิณ ก็ถ้าจะจัดการเจ้ามือหวยเถื่อน ถ้าเอาจริงน่าจะปราบได้มากกว่านี้ เพราะตำรวจท้องที่ย่อมรู้ว่า มีใครบ้างและยังเสนอให้แก้กฎหมายฟอกเงิน ให้ระบุเป็นความผิดที่ยึดทรัพย์ได้
ความจริงก่อนที่รัฐบาลทักษิณจะดำเนินการเรื่องนี้ ได้เคยถามความเห็นไปที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติชุดแรก ว่าธุรกิจที่ผิดกฎหมาย 3 ประเภท คือ บ่อนการพนัน หรือคาสิโน หวยเถื่อน และการพนันฟุตบอล หากจะให้ทำได้ถูกต้องตามกฎหมาย
หลังจากระดมความคิดและวิเคราะห์อย่างกว้างขวางแล้ว สภาที่ปรึกษาฯ ก็มีหนังสือตอบไปว่า ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีกฎหมายยอมรับ เพราะจะมีผลกระทบมากมาย ทั้งยังควรจัดงบประมาณรณรงค์ให้ประชาชนเห็นโทษและพิษภัยของการพนันทุกประเภท เพื่อให้สังคมตระหนักว่า เป็นสิ่งไม่ดีที่ควรหาวิธีลด ละ เลิก
แต่ดูเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีธงอยู่แล้วว่าจะทำ จึงได้เดินหน้าต่อไป แม้กระทั่งบ่อนคาสิโนก็เตรียมที่จะหาจังหวะให้ดำเนินการ
นอกจากไม่มีการรณรงค์ให้คนลด ละ เลิก แล้ว ยังกระตุ้นด้วยการสะสมเงินรางวัลแจ๊กพ็อตเป็นเงินหลายสิบล้านบาท ยั่วใจคนโลภ
อย่าปล่อยให้ดูดหวังเงินจากคนจนที่ถูกมอมเมาจนถึงกับใช้วิธีส่งเสริมการขายหวยเลย เพราะสวนทางกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ประกาศว่า จะยึดหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” ตามแนวพระราชดำริ ในการบริหารประเทศ
ส่วน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้จะเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยืนยันแนวทางบริหารเศรษฐกิจ ในการแสดงปาฐกถาแก่บรรดานักลงทุน ซึ่งจัดโดยตลาดหลักฐานหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า
การลงทุนปีหน้าจะดีกว่าปีนี้ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะทำให้การเลือกตั้งมีความยุติธรรมและไม่ถูกครอบงำซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคทักษิณ
คุณชายอุ๋ย บอกว่า “บรรยากาศที่นักธุรกิจจะต้องเลือกข้างจะหมดไป เพราะผู้บริหารชุดนี้ไม่ธุรกิจใดๆ เลย เป็นรัฐบาลที่จะวางโครงสร้างให้ทุกคนทำธุรกิจด้วยตัวเองได้ และเมื่อไม่มีเรื่อง 2 มาตรฐานแล้ว ก็จะไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น”
สภาพเช่นนี้แหละใครที่ชอบพูดว่า “เป็นกลาง” ต้องสำเนียก เพราะต้องมี “มาตรฐานเดียว” คือไม่ลำเอียง หรือเข้าข้างผู้มีอำนาจหรือผู้ที่ให้ผลประโยชน์จนกลายเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่น
ด้วยเหตุนี้เองหลายวันที่ผ่านมาเมื่อมีการปล่อยข่าวหรือคาดเดา รายชื่อบุคคลที่เก็งกันว่าจะได้รับการทาบทามให้รับตำแหน่งรัฐมนตรี
บางรายชื่อที่เคยเกี่ยวข้องหรือรับใช้ “ระบอบทักษิณ” จึงถูกคัดค้านจากสังคม
หรือแม้แต่ผู้บริหารหน่วยงานหรือหน่วยราชการที่ได้รับตำแหน่งมาเพราะอำนาจการเมือง แล้วเป็นเหตุให้ต้องสนองรับใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ เช่น สถาบันตลาด หุ้้น กรมสรรพากร ก็ถูกกระแสสังคมจับตาว่าจะไปเพราะการเมืองด้วยการลาออกเองหรือมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร ดังเช่น ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่ง
เพราะการบริหารจัดการที่ดีตามหลัก “ธรรมาภิบาล” ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของผู้นำรัฐบาลใหม่ทั้งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีจะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างราบรื่น หากยังมีคนในระบอบทักษิณอยู่ในวงจรการบริหารยุคใหม่
การชำระล้างซากเดนระบอบทักษิณให้ออกจากระบบจึงเป็นความจำเป็น และอย่าอ้างเรื่อง “สมานฉันท์” มาปกปิดเชื้อร้ายให้ยังแทรกซึมอยู่
โดยความจริงแล้ว เนื้อแท้ของระบอบประชาธิปไตยได้ถูกทำลายไปจนเหลือแค่คำที่ใช้กล่าวอ้าง ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ก็็ถูกละเมิดจนเหลือแค่รูปแบบ
จึงจำเป็นต้อง “ปฏิรูปการเมืองใหม่” และสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับ “คุณธรรม” ในทุกระดับทุกวงการ
สัญญาณที่ดีได้เริ่มขึ้นแล้ว ขอเพียงได้คนที่มีจิตสำนึก และมีความมุ่่งมั่นทำจริงเพื่อสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตย พร้อมกับพลิกฟื้นสังคมคุณธรรมให้เกิดขึ้น
สังคมไทยในระดับล่างที่วนเวียนอยู่ในวงจรแห่งความยากจนและการเป็นหนี้ เนื่องจากการใช้จ่ายเงินเกินตัว หรือหารายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย จนต้องพึ่งแหล่งเงินกู้ แล้วยังซ้ำเติมด้วยการถูกมอมเมาด้วย “อบายมุข” และการส่งเสริมให้หวังลาภลอยจากการแทงหวย
เรื่องความคิดถูกผิดหรือหลักคุณธรรมจึงถูกมองข้าม เพราะกลไกของรัฐที่แล้วมา มิได้สื่อสารสร้างความรู้และปัญญาเชิงคุณธรรม
การนำเอาธุรกิจหวย 2 ตัว 3 ตัว ซึ่งผิดกฎหมายมาให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลดำเนินการ โดยอ้างว่าเพื่อเอาเงินกำไรจากโครงการมาช่วยเหลือสังคมผู้ด้อยโอกาส เช่น โครงการทุนการศึกษานับเป็นกลยุทธที่แยบยล
ใช้ความ “เหลี่ยมจัด” ที่เอากำไรจากหวยคนจนที่มิได้นำเข้าคลัง และไม่มีระบบตรวจสอบการใช้จ่ายเงินอย่างโปร่งใส
จึงเป็นการฉวยโอกาสจากโครงการช่วยคนขณะที่เอาไปใช้จ่ายเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองเครือข่ายรัฐบาล
มีข้อมูลจากคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภาเคยตรวจสอบโครงการหวยบนดินพบว่า ที่ทำมา 3 ปี มีรายได้เกือบแสนล้านบาท โดยมีกำไรนับหมื่นล้านบาท
เงินจำนวนนี้จึงกลายเป็นขุมทรัพย์ที่นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลทักษิณใช้ประโยชน์อย่างชนิดไม่มีระเบียบควบคุมที่ดี
น่าสนใจที่คุณจรัล ภักดีธนากุล รักษาการปลัดกระทรวงยุติธรรมจุดประเด็นให้มีการทบทวนโครงการหวยบนดิน ที่รับใช้ระบอบทักษิณ ก็ถ้าจะจัดการเจ้ามือหวยเถื่อน ถ้าเอาจริงน่าจะปราบได้มากกว่านี้ เพราะตำรวจท้องที่ย่อมรู้ว่า มีใครบ้างและยังเสนอให้แก้กฎหมายฟอกเงิน ให้ระบุเป็นความผิดที่ยึดทรัพย์ได้
ความจริงก่อนที่รัฐบาลทักษิณจะดำเนินการเรื่องนี้ ได้เคยถามความเห็นไปที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติชุดแรก ว่าธุรกิจที่ผิดกฎหมาย 3 ประเภท คือ บ่อนการพนัน หรือคาสิโน หวยเถื่อน และการพนันฟุตบอล หากจะให้ทำได้ถูกต้องตามกฎหมาย
หลังจากระดมความคิดและวิเคราะห์อย่างกว้างขวางแล้ว สภาที่ปรึกษาฯ ก็มีหนังสือตอบไปว่า ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีกฎหมายยอมรับ เพราะจะมีผลกระทบมากมาย ทั้งยังควรจัดงบประมาณรณรงค์ให้ประชาชนเห็นโทษและพิษภัยของการพนันทุกประเภท เพื่อให้สังคมตระหนักว่า เป็นสิ่งไม่ดีที่ควรหาวิธีลด ละ เลิก
แต่ดูเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีธงอยู่แล้วว่าจะทำ จึงได้เดินหน้าต่อไป แม้กระทั่งบ่อนคาสิโนก็เตรียมที่จะหาจังหวะให้ดำเนินการ
นอกจากไม่มีการรณรงค์ให้คนลด ละ เลิก แล้ว ยังกระตุ้นด้วยการสะสมเงินรางวัลแจ๊กพ็อตเป็นเงินหลายสิบล้านบาท ยั่วใจคนโลภ
อย่าปล่อยให้ดูดหวังเงินจากคนจนที่ถูกมอมเมาจนถึงกับใช้วิธีส่งเสริมการขายหวยเลย เพราะสวนทางกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง