xs
xsm
sm
md
lg

VICIOUS CYCLE วงจรอุบาทว์...“บิ๊กจิ๋ว” เลิกพูดคำนี้แล้วตั้งแต่ 19 ก.ย.

เผยแพร่:   โดย: สปาย หมายเลขหก

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้พูดถึงคำว่า VICIOUS CYCLE นี้เป็นครั้งแรกในการบรรยายเรื่อง “ระบอบการเมืองของประเทศไทย” ต่อนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2530 ที่ถือว่าการบรรยายครั้งนี้ ซึ่งเรียกว่า บรรยาย 30-3-30 เป็นคำบรรยายที่มีความหมายต่อหลายสิ่ง โดยเฉพาะทำให้เห็นทิศทางความต้องการที่ “บิ๊กจิ๋ว” ต้องการให้เป็นเช่นนี้...พล.อ.ชวลิต เป็นผู้บัญชาการทหารบก อยู่ในขณะนั้น

ซึ่งในขณะนั้น พล.อ.ชวลิต กำลังขยายผล คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 60/23 ในการเอาชนะคอมมิวนิสต์ โดยการขยายผลเข้าสู่ยุทธศาสตร์ขั้นสุดท้าย คือการรุกไล่ด้วยการเมือง ในการลาออกจากทหารก่อนเกษียณอายุมาตั้งพรรคการเมือง คือพรรคความหวังใหม่

คำบรรยาย 30-3-30 นั้น กล่าวในตอนที่เกี่ยวกับ VICIOUS CYCLE หรือวงจรอุบาทว์ว่า

“เวลานี้ 8 ปีแล้ว ทหารให้โอกาสนักการเมือง 8 ปีแล้ว ไม่ได้ไปแตะต้อง ไม่ได้ทำอะไรเลย ใครจะทำอะไรก็แล้วแต่ เราแก้ไขให้ ใครจะปฏิวัติ เราสถาปนาอำนาจกลับคืนมาให้รัฐบาลตลอดเวลา 8 ปีแล้ว ทำให้นักการเมืองไม่ดีสักที เพราะฉะนั้น ทหารทำเสียเองจะดีไหม นี่ทหารคิด ทางพลเรือนก็บอกว่า ทหารทำให้วงจรอุบาทว์หรือ VICIOUS CYCLE เกิดขึ้นตลอดเวลา เกิดขึ้น มีรัฐธรรมนูญๆ มีการเลือกตั้งๆ เสร็จแล้วก็ฉีกรัฐธรรมนูญเลือกตั้งใหม่ ทหารก็เข้ามาอีก”

ก่อนหน้าที่จะมากล่าวถึงคำนี้ พล.อ.ชวลิต ได้กล่าวว่า

“ประเด็นที่สามอีก คือการแก้ปัญหาด้วยการเมืองของเรานั้น ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จอยู่ทุกวันนี้ หลีกเลี่ยงไม่พ้น จะต้องใช้อำนาจ ไม่มีทางที่ท่านจะแก้ไขโดยไม่ใช้อำนาจ อำนาจเป็นสิ่งที่จำเป็น ในการแก้ไข” และว่า “นักการเมืองคิดไปอย่าง นักวิชาการคิดไปอย่าง ทหารคิดไปอย่าง ข้าราชการต่างๆ คิดไปอย่าง แล้วส่วนมากก็มักจะมองกันว่า อีกฝ่ายเป็นฝ่ายทำลายประชาธิปไตย ฉันเป็นฝ่ายรักษาประชาธิปไตย ทหารก็มองว่า นักการเมืองยุ่งเหลือเกิน”

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้กล่าวเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2530 แต่หากให้อ่านในวันนี้ คือ วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2549 โดยไม่บอกว่า พูดไว้เมื่อใด ก็จะเห็นว่า การเมืองมิได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย

“ในขณะนี้ ระบบการเมืองเป็นระบบที่มีอันตรายอย่างที่สุด เราดูที่ไหน เราดูสภาซึ่งเป็นหัวใจ ดุที่รัฐบาล ดูที่พรรคการเมืองซึ่งเป็นโครงสร้างซึ่งสำคัญ เราดูนักการเมืองที่เป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญ เราดูที่กลุ่ม PRESSURE GROUP กลุ่ม INTEREST GROUP หรือกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ที่เป็นหลักสำคัญแล้ว น่าห่วงใยทั้งสิ้น เพราะอย่างไรก็แล้วแต่ ทุกคนคงจะเห็นพ้องว่า น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง...”

เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เรียกร้องอย่างขันแข็ง ถึงรัฐบาลที่มีอำนาจการบริหารเข้มแข็งที่เรียกว่า STRONG EXCUTIVE

“รัฐบาลนั้นคือใครก็ได้ที่มาเป็นรัฐบาล กำลังเผชิญปัญหาอยู่มากมายนั้น เพราะว่าขาดอำนาจบริหารที่เข้มแข็งที่เรียกว่า STRONG EXCUTIVE ควรทำให้มันเป็น STRONG EXCUTIVE วิธีที่จะทำให้เกิด STRONG EXCUTIVE ก็เป็นอย่างที่ผมพูด คงจะจำได้ว่าที่ผมพูดอยู่ 2 แนวทาง พูดง่ายๆ ว่าผ่านพรรคการเมืองกับผ่านการปฏิวัตินั่นเอง”

ด้วยการที่เป็นทหารก็มีความรู้สึกที่พูดหรือคิดอย่างทหารได้อย่างชัดเจน และในฐานะของผู้ที่เตรียมเข้าสนามการเมือง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ดูเหมือนว่าต้องการจะเห็นรัฐบาลที่มีอำนาจการบริหารที่เข้มแข็งอยู่ในมือ ต้องการเห็นการเมืองไม่มีกลุ่มผลประโยชน์ ไม่ต้องการจะเห็นการปฏิวัติโดยทหารอีก เพราะมันเป็นวงจรอุบาทว์ เริ่มต้นทอดยาวพัฒนาไปเป็นแนวทางไม่ได้สักที และจากนั้นเมื่อได้เข้ามาวงการเมืองด้วยการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก็ลาออกหลังจากอยู่ได้ไม่นาน และตั้งพรรคความหวังใหม่ขึ้น, พล.อ.ชวลิต ได้ตั้งเป้าของการเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจการบริหารที่เข้มแข็ง STRONG EXCUTIVE และต่อต้านหรือไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติของทหาร แม้กระทั่งในเวลาต่อมา ที่ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เพื่อนร่วมชีวิตทำการปฏิวัติโดยคณะ รสช.ก็ยังไม่พอใจ แต่เพราะเป็นเพื่อนซึ่งตัดกันไม่ได้ ก็วางตัวเฉยเสีย จนกระทั่งมีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจาก รสช.สู่รัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร นั่นแหละ จึงได้แสดงการต่อต้านออกมาอย่างเป็นระบบ

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วง 2539-2540 เป็นช่วงเวลาเหมือนกับการมาฟักไข่ตายโคม เป็นช่วงของการสั่งสมความผิดพลาดของเศรษฐกิจฟองสบู่ มาถึงจุดฟองสบู่แตกพอดี ความคิดที่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่เข้มแข็ง ก็ไม่มีโอกาสได้ทำ หรือเริ่มต้นด้วยซ้ำ การตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อมีการเคลื่อนไหวแสดงความไม่พอใจกับปัญหาการเงินและเศรษฐกิจ เป็นตัวอย่างหนึ่งของการบริหารประเทศด้วยความไม่ดื้อดึง ไม่ยึดติดอำนาจและไม่ยึดคนไทยเป็นตัวประกัน

ความคิดของการมีรัฐบาลที่มีอำนาจของการบริหารที่เข้มแข็งในรูปแบบของ พล.อ.ชวลิต นั้น ยึดความมั่นคงของชาติเป็นแกนหลัก คือต้องเข้มแข็งอยู่ด้วยความมั่นคงของสังคมชาติ จะโดยผู้รับการถ่ายทอดมีภูมิปัญญาน้อย หรือเป็นการฉลาดกว่า “บิ๊กจิ๋ว” ด้วยการเอาตัวมาเป็นบันไดต่อตัว โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยมาแต่แรก การเข้าร่วมกับพรรคไทยรักไทยแบบร่วมชายคา แต่ไม่รื้อฝาห้องในช่วงแรก และต่อมาก็ยุบพรรคความหวังใหม่เข้ารวมกับไทยรักไทยแล้ว การกลืนทีละพรรคนั้นกลืนได้ทั้งส่วนหัวตลอดหาง แต่กลืน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ไม่ได้ เพราะใหญ่เกินไป แต่ก็อาศัยความเป็นผู้ใหญ่ในหมู่ทหารของ พล.อ.ชวลิต เป็นเกราะไว้ แล้วสถาปนาอำนาจของ “ระบอบทักษิณ” ขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง ทั้งทางการทหารและการเมือง โดยแสร้งว่า นี่แหละคืออำนาจการบริหารที่เข้มแข็ง STRONG EXCUTIVE อย่างที่พล.อ.ชวลิต อยากจะเห็นและอยากจะเป็น แต่ไม่มีโอกาสทำได้ โดยอำนาจการบริหารที่เข้มแข็งนี้ ตามหลักของ พล.อ.ชวลิต คือ เป็นอำนาจที่เข้มแข็งด้วยความบริสุทธิ์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และต้องเข้มแข็งโดยไม่มีกลุ่มผลประโยชน์ PRESSURE GROUP หรือกลุ่ม INTEREST GROUP เข้ามาขย้ำเหยื่ออยู่ในความเข้มแข็งนั้น โดยระบอบทักษิณ เห็นว่า แม้จะมีกลุ่มผลประโยชน์เข้ามาในความเข้มแข็ง ก็ไม่ต้องกลัวการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะมีวัคซีนที่แรงพอในการสยบพิษของทหาร โดยระบบของตนจะหยุดวงจรอุบาทว์อย่างที่ พล.อ.ชวลิต ไม่ชอบได้ ด้วยการไม่ให้วงจรอุบาทว์เป็นวงกลม แต่สร้างกรอบอุบาทว์ขึ้นมาใหม่ที่ใหญ่กว่า และน่าเกรงขามกว่า อยู่ภายใต้กรอบสี่เหลี่ยมเหมือนใบหน้าของเขา แทนวงจรอุบาทว์ที่เป็นวงกลม

การสร้างอำนาจการบริหารที่เข้มแข็งในกรอบหน้าเหลี่ยมของระบอบทักษิณ ทำความผิดหวังและเจ็บปวดให้กับ พล.อ.ชวลิตมาก, การเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เหยียบไหล่หรือเหยียบร่างของใครต่อใครมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายเสนาะ เทียนทอง เป็นการเมืองที่มีความเข้มแข็งในอำนาจการบริหารได้อย่างเต็มที่แล้ว จะมีพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือไม่ก็ไม่ทำให้อ่อนแอลง

ไม่ต้องกลัววงจรอุบาทว์ เพราะว่ากรอบสี่เหลี่ยมของระบบนี้มีความอุบาทว์กว่า

ไม่ต้องกลัวทหาร เพราะทหารแสดงอาการกลัวเกรงต่อเขา

ไม่ต้องเกรงใจทหาร เพราะทหารต่างหากเล่าที่ต้องเกรงใจและเอาใจเขา

ยิ่งนานวันไปในอำนาจการบริหารที่เข้มแข็งนั้น จาก STRONG EXCUTIVE เขาได้เขยิบมาเป็นผู้นำที่เข้มแข็งเป็น STRONG LEADER และสนุกสนานอยู่กับอำนาจนั้น และต้องการมันอีก แบบกวาดดินกินฟ้า

เมื่อพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ขอรักษา “ถนนสีขาว” ในชีวิตของตนที่มาตามถนนสายนี้ หากเดินต่อไปกับเขาคนนั้น ก็จะเป็นถนนอุบาทว์ ซึ่งมีแผนจะทอดไกลไปกว่าที่คาดกัน

พล.อ.ชวลิต ออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว จึงเห็นอะไรต่ออะไรได้ชัดเจนขึ้น และมีเวลาจะพิจารณาข้อมูลกับข่าวกรองที่ได้รับอย่างพินิจ และหยิบมาเป็นข้อพิจารณาได้หลายข้อ

“...ผมอยากจะพูดว่า ตระกูลผมมาจากรัชกาลที่ 3 สองสามวันนี้ ผมจะต้องไปสร้างอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 3 ผมเป็นราชนิกูลในรัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 5 น้องท่านสมเด็จเจ้าพระยาภานุรังษีนั้น ลุงผมนะครับ ไม่มีใครมีรูป ผมมีทั้งข้าวของอะไรต่างๆ แต่ผมไม่เคยพูดว่า ตระกูลผมดีกว่าพวกตระกูลทั้งหลายแหล่นั้นมากมาย...”

พล.อ.ชวลิต เคยประกาศดังนั้นถึงบรรพชนและความเป็น “ยงใจยุทธ”

พล.อ.ชวลิต ยังมีความรู้สึกเป็นพิเศษต่อตระกูลทางสายมารดา ที่มาจากตระกูลขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่สืบได้ถึงสมัย สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ครั้งสมัยอยุธยา คือสายตระกูลของ “เจ้าพระยาเพ็ชรพิไชย” ที่สืบทอดกันมาในราชทินนามเดียวกัน จนถึงรัชกาลที่ 6 เช่นตระกูลเศวตเศรนี เกตุทัต กัลยาณมิตร ศกุนะสิงห์ที่มาจาก “ท่านนก ท่านสิงห์ ท่านขาว ท่านเกตุ” ที่มาจากเจ้าพระยาเพ็ชรพิไชย ซึ่งตระกูลที่แยกกันมาเป็นทหารอยู่มากมาย เช่น พล.อ.สนั่น พล.อ.อัมพร พล.อ.อาชวินท์ เศวตเศรนี, พล.อ.ชัยศึก เกตุทัต พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร โดยรู้ว่าเป็นพี่น้องกัน แม้ว่าจะใช้คนละนามสกุล โดยการปฏิรูปการปกครองฯ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้น พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นผู้มีบทบาทอย่างสูง

ย้อนไปไกลกว่านั้น ผู้ที่อยู่ในเถือกเถานี้ยังรู้กันในกลุ่มตระกูลขุนนางเก่าว่า

“เฉก อาหมัด” หรือ ท่าน “ซี๊ค อาหมัด” ขุนนางเชื้อสายเปอร์เซีย (อิหร่าน) ซึ่งกุโบร์ (ที่ฝังศพ) ของท่านยังอยู่ที่อยุธยา นั่นคือต้นตระกูลโดยแท้ ลูกหลานที่แยกสายออกมาที่ยังคงเป็นมุสลิมก็มีตระกูล “บุญยรัตกลิน” คือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และที่ได้เปลี่ยนศาสนามานับถือพระพุทธศาสนา ก็มีตระกูล “บุนนาค” รวมทั้ง “จุฬารัตน” และเป็นที่ฮือฮากันมากในครั้งหนึ่ง คือท่านผู้ที่ถือว่าต้นตระกูลหลักแรก คือท่านเฉก อาหมัด หรือ ซี๊ค อาหมัด ที่ลูกหลานมาเป็นพุทธศาสนิกชนได้รับการสถาปนาเป็น “สมเด็จพระสังฆราช” คือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปลอด) วัดเบญจมบพิตร โดยสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้ ทรงอยู่ในสายตระกูลศกุนะสิงห์ และโดยนัยนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก็มองตาแล้วรู้ใจกัน เพราะต่างก็สืบสายเกี่ยวพันมาจากท่านซี๊ค อาหมัด ซึ่งอยู่ในกุโบร์ที่อยุธยาด้วยกัน

ด้วยความหวังที่จะให้มีรัฐบาลที่มีอำนาจการบริหารเข้มแข็ง STRONG EXCUTIVE ได้ลงทุนทางการเมืองให้ด้วยการยุบพรรคความหวังใหม่ร่วมกับไทยรักไทย ทุนส่วนนี้ถือว่ามีค่ามากเพราะพรรคความหวังใหม่เคยยิ่งใหญ่ระดับเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ชวลิต เทกระเป๋าให้หมดเพื่อต้องการเห็นรัฐบาลที่มีความมั่นคงเช่นนั้น แล้วยังเป็นผู้เฝ้าดูมิให้เกิด VICIOUS CYCLE จากทหาร แต่เมื่อ STRONG EXCUTIVE ได้กลายเป็นอำนาจส่วนบุคคล STRONG LEADER อันผิดเป้าหมายไป, เมื่อกงล้อของ VICIOUS CYCLE เริ่มเคลื่อนไหวและหมุนใหม่ “บิ๊กจิ๋ว” ก็ไม่ได้ขัดขวาง ซ้ำยังมีคำพูดออกมาอีกหลายๆ คำที่เห็นว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง STRONG ของระบอบทักษิณนั้น เพราะนอกจากจะไม่ถูกทางเพราะเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยกลุ่มผลประโยชน์ ยิ่งปล่อยให้เข้มแข็งต่อไปก็เป็นอันตรายต่อแผ่นดิน และยังมีความไม่ถูกต้องที่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะถูกบิดเบือนไป

กรอบสี่เหลี่ยมของ VICIOUS ของระบอบทักษิณนั้น เป็นอันตรายร้ายแรงกว่ากงล้อหรือ CYCLE ที่มันจำเป็นจะต้องหมุนกลับมาสู่การปฏิวัติของคณะทหาร เพราะถึงอย่างไร กงล้อนี้ก็เป็นประชาธิปไตยแบบที่คนไทยต้องการ และเป็น VICIOUS เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ต่างกับกรอบสี่เหลี่ยมของ VICICUS ของระบอบทักษิณ ที่มันจะยาวไกลสู่ปลายทางที่เป็นประชาธิปไตยอีกแบบหนึ่ง ดังนั้น, ผู้ที่เคยไม่เห็นด้วยกับ VICIOUS CYCLE ต้องเป็นผู้ที่หนุนหรือออกแรงหมุนกงล้อนั้นด้วยซ้ำ เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้น.
กำลังโหลดความคิดเห็น