แม็กซ์ เวเบอร์ นักสังคมวิทยานามอุโฆษเชื้อสายเยอรมัน ได้กล่าวถึงตัวแปร 3 ตัวที่นำไปสู่ความแตกต่างของคนในสังคม คือ wealth, status and power ในแง่หนึ่งสิ่งที่มนุษย์จำนวนมากใฝ่หาในชีวิตก็คือการพยายามก่อร่างสร้างตัวเพื่อสร้างความร่ำรวย มีเงินทองอย่างเป็นกอบเป็นกำ มีสมบัติพัสถาน จนถึงขั้นเป็นเศรษฐี ในอีกส่วนหนึ่งมนุษย์ก็พยายามที่จะไต่เต้าให้มีฐานะทางสังคม เป็นที่รู้จักและมีคนนับหน้าถือตา ธำรงตนอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงของสังคม ในส่วนสุดท้ายคือการแสวงหาอำนาจในตำแหน่งในระบบราชการ หรือตำแหน่งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นสภานิติบัญญัติ หรือเป็นฝ่ายบริหาร บางคนก็พยายามหาอำนาจในวงการธุรกิจ บางคนอาจจะแสวงหาอำนาจในลักษณะที่ไม่ถูกกฎหมาย เช่น เป็นหัวหน้าอั้งยี่ หัวหน้าโจร หัวหน้ามาเฟีย แล้วแต่กรณี
เงิน ฐานะและอำนาจ ในตัวของมันเองไม่ใช่สิ่งผิดถ้าผู้ซึ่งมีเงิน มีฐานะ และมีอำนาจ มีหลักธรรมแห่งชีวิต มีศีลธรรมและจริยธรรม มีความเมตตาปรานี ใช้เงิน ใช้ฐานะทางสังคมและตำแหน่งอำนาจเพื่อประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือผู้อื่น และเพื่อเกียรติคุณแห่งชื่อเสียงและวงศ์ตระกูล ซึ่งก็มีคนประเภทดังกล่าวอยู่จำนวนไม่น้อย ตัวอย่างเช่น เมื่อเร็วๆ นี้มีเศรษฐีอเมริกันสองคนบริจาคเงินเพื่อการกุศลเป็นจำนวนมหาศาลในรูปของมูลนิธิ และในกรณีของคนที่มีฐานะทางสังคมซึ่งมักจะตามมาด้วยบารมีก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ใช้สถานะในฐานะเป็นชนชั้นสูงในสังคม ทำประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่นที่มีฐานะด้อยกว่า และตัวอย่างนี้ก็คงไม่ต้องมองไกล องค์พระประมุขและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ได้ประกอบพระราชกรณียกิจที่มีส่วนอย่างยิ่งในการช่วยเหลือผู้เสียเปรียบและผู้ยากไร้ในสังคม
ในส่วนของอำนาจนั้น ในระดับระหว่างประเทศก็มีประเทศมหาอำนาจที่ใช้ฐานะของประเทศที่อยู่ในระดับแนวหน้ารักษาไว้ซึ่งสันติภาพของโลก ผลักดันให้มีการเคารพสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งส่งเสริมระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย การใช้อำนาจทั้งอำนาจทางทหาร อำนาจทางการเมือง อำนาจทางเศรษฐกิจ เข้าไปทำให้เกิดความสงบสุขและเกิดสันติภาพนั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือสหรัฐอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่ามีอยู่หลายกรณีที่สหรัฐอเมริกาใช้อำนาจในลักษณะตรงกันข้ามกับที่กล่าวมาเบื้องต้น
เงิน ฐานะและอำนาจ เป็นสิ่งซึ่งจะต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเป็นดาบสองคมที่จะส่งผลทางบวกหรือทางลบได้ จึงต้องควบคุมสติให้ดี และต้องยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมและจริยธรรม และเข้าถึงสัจจะแห่งความเป็นอนิจจังแห่งสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก มิฉะนั้นอาจจะเป็นการทำร้ายบุคคลที่มีทั้งสามส่วน และอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อผู้อื่นได้ในขอบเขตที่กว้างขวาง
เงินเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต แต่ถ้านำไปสู่ความโลภและงกจนเกินขอบเขตก็อาจจะทำให้ผู้ซึ่งใฝ่หาเงินกระทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรม จริยธรรมและกฎหมาย เป็นต้นว่า ค้ายาเสพติด ผลิตยาปลอมขึ้นมาขาย พิมพ์ธนบัตรปลอม ฉ้อโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ฯลฯ ซึ่งแม้อาจจะนำมาสู่ความร่ำรวยให้กับบุคคลดังกล่าว แต่ก็จะสร้างความเดือดร้อนอย่างมหาศาลต่อผู้อื่น และที่สำคัญจะเป็นการทำลายจิตวิญญาณของบุคคลผู้นั้นจนไม่เหลือความเป็นมนุษย์ ที่เป็นสัตว์ประเสริฐอีกต่อไป เงินจึงเป็นทั้งสิ่งที่น่าใฝ่หา แต่ก็อาจจะเป็นอสรพิษที่น่าเกรงกลัว เมื่อไหร่ก็ตามที่สังคมกลายเป็นสังคมที่นับถือเงินตราเป็นหลัก มุ่งเน้นแต่การหาเงินโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่น วัดคุณค่าของมนุษย์ด้วยการมีเงินมีทอง ก็จะนำไปสู่วัตถุนิยมและเงินตรานิยม จะกลายเป็นสังคมที่มีแต่ความฟุ้งเฟ้อ มีแต่การบริโภคอย่างหยาบๆ ขาดรสนิยมและความละเอียดอ่อน และที่สำคัญที่สุดจะกลายเป็นสังคมที่ว่างเปล่า ขาดชีวิตชีวาและจิตวิญญาณ
คนที่มีสถานะสูงโดยได้มาจากการเกิด เช่น เกิดในตระกูลที่เป็นชนชั้นสูงในสังคม หรือเกิดมาในตระกูลที่มีบรรพบุรุษเป็นบุคคลมีชื่อเสียงเกียรติคุณเป็นที่ยอมรับในสังคม ก็จะได้ผลพลอยจากบุญกุศลที่ทำมา แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นภาระอันหนักอึ้ง เพราะถ้าไม่สามารถจะธำรงไว้ซึ่งสถานะทางสังคมดังกล่าวด้วยการศึกษาเล่าเรียนจนมีความรู้ความสามารถ โดยการมีพฤติกรรมอันเป็นที่ยอมรับ ยกย่องและสรรเสริญ ก็จะกลายเป็นผู้ทำลายสถานะของครอบครัวและตระกูล สถานะทางสังคมจึงอาจเป็นได้ทั้งส่วนที่เป็นข้อได้เปรียบและเป็นภาระทางใจในเวลาเดียวกัน
คนที่อยู่ในฐานะสูงกว่าผู้อื่น ถ้าวางตัวไม่ดีก็อาจจะนำไปสู่ภาพลักษณ์ที่เป็นลบได้ เป็นต้นว่า คนบางคนที่มีนิสัยถือเนื้อถือตัว หรือไว้เนื้อไว้ตัว มีลักษณะหยิ่งยโส มีสายตาและการพูดจาดูถูกดูแคลนผู้อื่น ยกตนข่มท่านเนื่องจากตนมีฐานะทางสังคมสูงกว่า ก็อาจจะถูกมองด้วยความเกลียดชังจากผู้อื่น ในบางครั้งการคบหาสมาคมเป็นเพื่อนสนิทอาจจะกลายเป็นอุปสรรคเพราะความแตกต่างของฐานะทางสังคม และยิ่งเป็นการแต่งงานร่วมครอบครัวเดียวกันก็อาจจะเป็นประเด็นที่ต้องนำมาคบคิด หรือมาพิจารณาก่อนการตัดสินใจอันเนื่องจากความกริ่งเกรงว่าจะเกิดความไม่ลงรอยของการมีชีวิตร่วมกันในอนาคต
ในเรื่องของอำนาจเป็นเรื่องที่เป็นดาบสองคมอย่างเห็นได้ชัด คนที่มีอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งอาจจะกระทบต่อคนเป็นจำนวนสิบๆ หรือร้อยๆ ล้านคน จะต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อมิให้ตกอยู่ใต้อำนาจของตำแหน่งอำนาจ เพราะอำนาจอาจจะเปลี่ยนบุคลิก วิธีคิดและวิธีการมองปัญหา พฤติกรรมและการตัดสินใจของผู้นั้น ซึ่งจะมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อตนเอง ครอบครัว ญาติมิตร และที่สำคัญที่สุดคือบุคคลที่อยู่ภายใต้การใช้อำนาจของตน
อำนาจเป็นสิ่งเย้ายวน มีความหอมหวน ขณะเดียวกันก็มีอานุภาพอย่างยิ่งในการที่ทำให้คนที่อ่อนแอลุแก่อำนาจ บ้าอำนาจ และหลงตัวเองได้ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ความยโสแห่งอำนาจ (arrogance of power) ซึ่งจะทำให้มีพฤติกรรมแปลกแยกจากผู้อื่น มีความเชื่อมั่นจนเกินเลย เอาแต่ใจตนเอง และมีแนวโน้มที่จะใช้อำนาจผิดๆ (abuse of power) ด้วยเหตุนี้ นักปราชญ์ราชบัณฑิตและคนโบราณจึงพยายามตักเตือนคนรุ่นหลังให้ระมัดระวังตัวเพื่อจะไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจเงิน มีความทะนงในฐานะทางสังคมของตน หลงอำนาจและบ้าอำนาจ
วิธีการที่จะไม่ให้เงิน สถานะทางสังคมและอำนาจ ส่งผลในทางลบนั้นก็ออกมาในรูปของคำตักเตือนและการสร้างระบบขึ้นมาถ่วงดุล เช่น ในส่วนของเงินนั้นก็มีคำเตือนที่ไม่ให้โลภและงกจนเกินเลย และให้มีการให้ระลึกถึงความมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการให้ รู้จักทำการกุศล รู้จักทำบุญทำทาน ช่วยเหลือผู้ยากไร้ โดยระบบสังคมก็พยายามสร้างดุลยภาพด้วยการเก็บภาษีเงินรายได้บุคคลในลักษณะก้าวหน้า เก็บภาษีทรัพย์สิน และภาษีมรดก (ภาษีสองประเภทหลังเมืองไทยยังไม่มี) การยกเว้นภาษีให้แก่บุคคลที่บริจาคเพื่อการกุศล ฯลฯ
ในแง่สถานะทางสังคมนั้นก็พยายามชี้ให้เห็นถึงความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง และความเป็นสัตว์โลกที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ขณะเดียวกันก็พยายามเน้นถึงความดีของบุคคล ความมีจิตใจงดงามมากกว่าการให้ความสำคัญกับฐานะทางสังคม ในส่วนนี้จะเห็นได้ว่า คำสอนในพุทธศาสนาได้พยายามชี้ให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ที่แตกต่างกันด้วยจิตใจมากกว่าฐานะทางสังคม และในรัฐธรรมนูญก็ได้ประกันความเสมอภาคในมาตรา 5 และมาตรา 30 ที่สำคัญ สังคมยังเปิดโอกาสให้มีการเข้าถึงการศึกษาเพื่อจะได้มีการขยับชั้นทางสังคมได้ เพื่อจะใช้หลักความสามารถ (achievement criteria) มากกว่าสถานะโดยกำเนิด (ascriptive criteria)
ในเรื่องของอำนาจก็มีนักปราชญ์ที่พยายามเตือนไม่ให้ผู้อยู่ในอำนาจกลายเป็นทาสของอำนาจ เช่น ลอร์ด แอคตัน กล่าวว่า “อำนาจมีแนวโน้มทำให้คนเสียคน อำนาจเด็ดขาดจะทำให้คนเสียคนเด็ดขาดยิ่งขึ้น” ขณะเดียวกันในส่วนของระบบ เช่น ระบบการเมืองแบบการปกครองประชาธิปไตย ก็มีการสร้างแบ่งแยกอำนาจและการถ่วงดุลอำนาจของอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ฯลฯ
นอกจากนั้นยังมีการเตือนให้ระมัดระวังไม่ให้มีการให้ตำแหน่งอำนาจและยกย่องผู้ที่จะได้อำนาจมากเกินไป เช่น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ได้ทรงเตือนไว้ใน เพลงยาวเรื่องตีเมืองพม่า ทรงกล่าวถึงสาเหตุของการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา อันเป็นผลมาเนื่องจากการหลงอำนาจของขุนนางที่มีอำนาจ ความว่า
“สุภาสิตท่านกล่าวเปนราวมาจะตั้งแต่งเสนาธิบดี
ไม่ควรอย่าให้อรรคฐานจะเสียการแผ่นดินกรุงศรี
เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี จึงเสียทีเสียวงษ์กระษัตรา”
ทั้งหมดนี้คือผลร้ายที่เกิดจากการแต่งตั้งผู้ไม่เหมาะสมไปดำรงตำแหน่งอำนาจจนนำไปสู่ความเสียหายต่อกรุงศรีอยุธยา
เงิน ฐานะทางสังคมและอำนาจ จึงเป็นได้ทั้งบวกและลบ มนุษย์ที่มีทั้งสามสิ่งจึงต้องระมัดระวัง คอยเตือนตัวเองมิให้ถูกครอบงำ ในทางศาสนาพุทธนั้นก็ได้มีความพยายามที่จะตักเตือนให้นึกถึงความไม่จีรังของสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด อันได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ โดยมีการชี้ให้เห็นว่า มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ในทางสังคมก็มีการพยายามเตือนสติที่ว่า ไม่ให้หลงอำนาจ ฐานะ และลืมตัว โดยคำกล่าวที่ว่า “คางคกขึ้นวอ” “กิ้งก่าได้ทอง” “ลืมตัวเหมือนวัวลืมตีน”
ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นเงิน ฐานะทางสังคมและอำนาจ ไม่มีความจีรังยั่งยืนทั้งสิ้น ทุกอย่างล้วนไม่จีรัง ภารกิจของผู้ที่มีเงิน ฐานะทางสังคมและอำนาจ จึงอยู่ที่การใช้สิ่งที่มีอยู่ขณะนั้นทำความดีโดยสร้างประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์และชาติบ้านเมืองเพื่อเป็นการสร้างสมบารมี แต่สิ่งที่น่าเสียดายยิ่งก็คือ คนส่วนใหญ่มักหลงใหลมัวเมาและหลงระเริงในเงิน ฐานะทางสังคมและอำนาจ โดยลืมไปว่าไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า คนเหล่านี้ขาดสิ่งสำคัญที่สุดคือ มรณานุสติ คือเกิดมาทุกคนต้องตาย
แต่เรื่องไม่หยุดเพียงเท่านั้น ความต้องการเงิน ต้องการการยกย่องสรรเสริญ และพยายามยกฐานะของตนให้เป็นที่ยอมรับ รวมทั้งพยายามไขว่คว้าหาอำนาจ อาจจะทำให้ผู้นั้นกระทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม จริยธรรม กฎหมาย สร้างความเสียหายให้กับสังคมและประเทศชาติ และลงท้ายด้วยการสร้างความหายนะกับตนเองและชื่อเสียงวงศ์ตระกูลชนิดที่ไม่สามารถจะแก้ไขเยียวยาได้ โดยสิ่งที่ทำทั้งหมดนั้นจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ และจะตราไว้ในแผ่นดินตราบนานเท่านาน.
เงิน ฐานะและอำนาจ ในตัวของมันเองไม่ใช่สิ่งผิดถ้าผู้ซึ่งมีเงิน มีฐานะ และมีอำนาจ มีหลักธรรมแห่งชีวิต มีศีลธรรมและจริยธรรม มีความเมตตาปรานี ใช้เงิน ใช้ฐานะทางสังคมและตำแหน่งอำนาจเพื่อประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือผู้อื่น และเพื่อเกียรติคุณแห่งชื่อเสียงและวงศ์ตระกูล ซึ่งก็มีคนประเภทดังกล่าวอยู่จำนวนไม่น้อย ตัวอย่างเช่น เมื่อเร็วๆ นี้มีเศรษฐีอเมริกันสองคนบริจาคเงินเพื่อการกุศลเป็นจำนวนมหาศาลในรูปของมูลนิธิ และในกรณีของคนที่มีฐานะทางสังคมซึ่งมักจะตามมาด้วยบารมีก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ใช้สถานะในฐานะเป็นชนชั้นสูงในสังคม ทำประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่นที่มีฐานะด้อยกว่า และตัวอย่างนี้ก็คงไม่ต้องมองไกล องค์พระประมุขและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ได้ประกอบพระราชกรณียกิจที่มีส่วนอย่างยิ่งในการช่วยเหลือผู้เสียเปรียบและผู้ยากไร้ในสังคม
ในส่วนของอำนาจนั้น ในระดับระหว่างประเทศก็มีประเทศมหาอำนาจที่ใช้ฐานะของประเทศที่อยู่ในระดับแนวหน้ารักษาไว้ซึ่งสันติภาพของโลก ผลักดันให้มีการเคารพสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งส่งเสริมระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย การใช้อำนาจทั้งอำนาจทางทหาร อำนาจทางการเมือง อำนาจทางเศรษฐกิจ เข้าไปทำให้เกิดความสงบสุขและเกิดสันติภาพนั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือสหรัฐอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่ามีอยู่หลายกรณีที่สหรัฐอเมริกาใช้อำนาจในลักษณะตรงกันข้ามกับที่กล่าวมาเบื้องต้น
เงิน ฐานะและอำนาจ เป็นสิ่งซึ่งจะต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเป็นดาบสองคมที่จะส่งผลทางบวกหรือทางลบได้ จึงต้องควบคุมสติให้ดี และต้องยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมและจริยธรรม และเข้าถึงสัจจะแห่งความเป็นอนิจจังแห่งสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก มิฉะนั้นอาจจะเป็นการทำร้ายบุคคลที่มีทั้งสามส่วน และอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อผู้อื่นได้ในขอบเขตที่กว้างขวาง
เงินเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต แต่ถ้านำไปสู่ความโลภและงกจนเกินขอบเขตก็อาจจะทำให้ผู้ซึ่งใฝ่หาเงินกระทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรม จริยธรรมและกฎหมาย เป็นต้นว่า ค้ายาเสพติด ผลิตยาปลอมขึ้นมาขาย พิมพ์ธนบัตรปลอม ฉ้อโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ฯลฯ ซึ่งแม้อาจจะนำมาสู่ความร่ำรวยให้กับบุคคลดังกล่าว แต่ก็จะสร้างความเดือดร้อนอย่างมหาศาลต่อผู้อื่น และที่สำคัญจะเป็นการทำลายจิตวิญญาณของบุคคลผู้นั้นจนไม่เหลือความเป็นมนุษย์ ที่เป็นสัตว์ประเสริฐอีกต่อไป เงินจึงเป็นทั้งสิ่งที่น่าใฝ่หา แต่ก็อาจจะเป็นอสรพิษที่น่าเกรงกลัว เมื่อไหร่ก็ตามที่สังคมกลายเป็นสังคมที่นับถือเงินตราเป็นหลัก มุ่งเน้นแต่การหาเงินโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่น วัดคุณค่าของมนุษย์ด้วยการมีเงินมีทอง ก็จะนำไปสู่วัตถุนิยมและเงินตรานิยม จะกลายเป็นสังคมที่มีแต่ความฟุ้งเฟ้อ มีแต่การบริโภคอย่างหยาบๆ ขาดรสนิยมและความละเอียดอ่อน และที่สำคัญที่สุดจะกลายเป็นสังคมที่ว่างเปล่า ขาดชีวิตชีวาและจิตวิญญาณ
คนที่มีสถานะสูงโดยได้มาจากการเกิด เช่น เกิดในตระกูลที่เป็นชนชั้นสูงในสังคม หรือเกิดมาในตระกูลที่มีบรรพบุรุษเป็นบุคคลมีชื่อเสียงเกียรติคุณเป็นที่ยอมรับในสังคม ก็จะได้ผลพลอยจากบุญกุศลที่ทำมา แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นภาระอันหนักอึ้ง เพราะถ้าไม่สามารถจะธำรงไว้ซึ่งสถานะทางสังคมดังกล่าวด้วยการศึกษาเล่าเรียนจนมีความรู้ความสามารถ โดยการมีพฤติกรรมอันเป็นที่ยอมรับ ยกย่องและสรรเสริญ ก็จะกลายเป็นผู้ทำลายสถานะของครอบครัวและตระกูล สถานะทางสังคมจึงอาจเป็นได้ทั้งส่วนที่เป็นข้อได้เปรียบและเป็นภาระทางใจในเวลาเดียวกัน
คนที่อยู่ในฐานะสูงกว่าผู้อื่น ถ้าวางตัวไม่ดีก็อาจจะนำไปสู่ภาพลักษณ์ที่เป็นลบได้ เป็นต้นว่า คนบางคนที่มีนิสัยถือเนื้อถือตัว หรือไว้เนื้อไว้ตัว มีลักษณะหยิ่งยโส มีสายตาและการพูดจาดูถูกดูแคลนผู้อื่น ยกตนข่มท่านเนื่องจากตนมีฐานะทางสังคมสูงกว่า ก็อาจจะถูกมองด้วยความเกลียดชังจากผู้อื่น ในบางครั้งการคบหาสมาคมเป็นเพื่อนสนิทอาจจะกลายเป็นอุปสรรคเพราะความแตกต่างของฐานะทางสังคม และยิ่งเป็นการแต่งงานร่วมครอบครัวเดียวกันก็อาจจะเป็นประเด็นที่ต้องนำมาคบคิด หรือมาพิจารณาก่อนการตัดสินใจอันเนื่องจากความกริ่งเกรงว่าจะเกิดความไม่ลงรอยของการมีชีวิตร่วมกันในอนาคต
ในเรื่องของอำนาจเป็นเรื่องที่เป็นดาบสองคมอย่างเห็นได้ชัด คนที่มีอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งอาจจะกระทบต่อคนเป็นจำนวนสิบๆ หรือร้อยๆ ล้านคน จะต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อมิให้ตกอยู่ใต้อำนาจของตำแหน่งอำนาจ เพราะอำนาจอาจจะเปลี่ยนบุคลิก วิธีคิดและวิธีการมองปัญหา พฤติกรรมและการตัดสินใจของผู้นั้น ซึ่งจะมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อตนเอง ครอบครัว ญาติมิตร และที่สำคัญที่สุดคือบุคคลที่อยู่ภายใต้การใช้อำนาจของตน
อำนาจเป็นสิ่งเย้ายวน มีความหอมหวน ขณะเดียวกันก็มีอานุภาพอย่างยิ่งในการที่ทำให้คนที่อ่อนแอลุแก่อำนาจ บ้าอำนาจ และหลงตัวเองได้ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ความยโสแห่งอำนาจ (arrogance of power) ซึ่งจะทำให้มีพฤติกรรมแปลกแยกจากผู้อื่น มีความเชื่อมั่นจนเกินเลย เอาแต่ใจตนเอง และมีแนวโน้มที่จะใช้อำนาจผิดๆ (abuse of power) ด้วยเหตุนี้ นักปราชญ์ราชบัณฑิตและคนโบราณจึงพยายามตักเตือนคนรุ่นหลังให้ระมัดระวังตัวเพื่อจะไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจเงิน มีความทะนงในฐานะทางสังคมของตน หลงอำนาจและบ้าอำนาจ
วิธีการที่จะไม่ให้เงิน สถานะทางสังคมและอำนาจ ส่งผลในทางลบนั้นก็ออกมาในรูปของคำตักเตือนและการสร้างระบบขึ้นมาถ่วงดุล เช่น ในส่วนของเงินนั้นก็มีคำเตือนที่ไม่ให้โลภและงกจนเกินเลย และให้มีการให้ระลึกถึงความมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการให้ รู้จักทำการกุศล รู้จักทำบุญทำทาน ช่วยเหลือผู้ยากไร้ โดยระบบสังคมก็พยายามสร้างดุลยภาพด้วยการเก็บภาษีเงินรายได้บุคคลในลักษณะก้าวหน้า เก็บภาษีทรัพย์สิน และภาษีมรดก (ภาษีสองประเภทหลังเมืองไทยยังไม่มี) การยกเว้นภาษีให้แก่บุคคลที่บริจาคเพื่อการกุศล ฯลฯ
ในแง่สถานะทางสังคมนั้นก็พยายามชี้ให้เห็นถึงความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง และความเป็นสัตว์โลกที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ขณะเดียวกันก็พยายามเน้นถึงความดีของบุคคล ความมีจิตใจงดงามมากกว่าการให้ความสำคัญกับฐานะทางสังคม ในส่วนนี้จะเห็นได้ว่า คำสอนในพุทธศาสนาได้พยายามชี้ให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ที่แตกต่างกันด้วยจิตใจมากกว่าฐานะทางสังคม และในรัฐธรรมนูญก็ได้ประกันความเสมอภาคในมาตรา 5 และมาตรา 30 ที่สำคัญ สังคมยังเปิดโอกาสให้มีการเข้าถึงการศึกษาเพื่อจะได้มีการขยับชั้นทางสังคมได้ เพื่อจะใช้หลักความสามารถ (achievement criteria) มากกว่าสถานะโดยกำเนิด (ascriptive criteria)
ในเรื่องของอำนาจก็มีนักปราชญ์ที่พยายามเตือนไม่ให้ผู้อยู่ในอำนาจกลายเป็นทาสของอำนาจ เช่น ลอร์ด แอคตัน กล่าวว่า “อำนาจมีแนวโน้มทำให้คนเสียคน อำนาจเด็ดขาดจะทำให้คนเสียคนเด็ดขาดยิ่งขึ้น” ขณะเดียวกันในส่วนของระบบ เช่น ระบบการเมืองแบบการปกครองประชาธิปไตย ก็มีการสร้างแบ่งแยกอำนาจและการถ่วงดุลอำนาจของอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ฯลฯ
นอกจากนั้นยังมีการเตือนให้ระมัดระวังไม่ให้มีการให้ตำแหน่งอำนาจและยกย่องผู้ที่จะได้อำนาจมากเกินไป เช่น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ได้ทรงเตือนไว้ใน เพลงยาวเรื่องตีเมืองพม่า ทรงกล่าวถึงสาเหตุของการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา อันเป็นผลมาเนื่องจากการหลงอำนาจของขุนนางที่มีอำนาจ ความว่า
“สุภาสิตท่านกล่าวเปนราวมาจะตั้งแต่งเสนาธิบดี
ไม่ควรอย่าให้อรรคฐานจะเสียการแผ่นดินกรุงศรี
เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี จึงเสียทีเสียวงษ์กระษัตรา”
ทั้งหมดนี้คือผลร้ายที่เกิดจากการแต่งตั้งผู้ไม่เหมาะสมไปดำรงตำแหน่งอำนาจจนนำไปสู่ความเสียหายต่อกรุงศรีอยุธยา
เงิน ฐานะทางสังคมและอำนาจ จึงเป็นได้ทั้งบวกและลบ มนุษย์ที่มีทั้งสามสิ่งจึงต้องระมัดระวัง คอยเตือนตัวเองมิให้ถูกครอบงำ ในทางศาสนาพุทธนั้นก็ได้มีความพยายามที่จะตักเตือนให้นึกถึงความไม่จีรังของสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด อันได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ โดยมีการชี้ให้เห็นว่า มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ในทางสังคมก็มีการพยายามเตือนสติที่ว่า ไม่ให้หลงอำนาจ ฐานะ และลืมตัว โดยคำกล่าวที่ว่า “คางคกขึ้นวอ” “กิ้งก่าได้ทอง” “ลืมตัวเหมือนวัวลืมตีน”
ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นเงิน ฐานะทางสังคมและอำนาจ ไม่มีความจีรังยั่งยืนทั้งสิ้น ทุกอย่างล้วนไม่จีรัง ภารกิจของผู้ที่มีเงิน ฐานะทางสังคมและอำนาจ จึงอยู่ที่การใช้สิ่งที่มีอยู่ขณะนั้นทำความดีโดยสร้างประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์และชาติบ้านเมืองเพื่อเป็นการสร้างสมบารมี แต่สิ่งที่น่าเสียดายยิ่งก็คือ คนส่วนใหญ่มักหลงใหลมัวเมาและหลงระเริงในเงิน ฐานะทางสังคมและอำนาจ โดยลืมไปว่าไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า คนเหล่านี้ขาดสิ่งสำคัญที่สุดคือ มรณานุสติ คือเกิดมาทุกคนต้องตาย
แต่เรื่องไม่หยุดเพียงเท่านั้น ความต้องการเงิน ต้องการการยกย่องสรรเสริญ และพยายามยกฐานะของตนให้เป็นที่ยอมรับ รวมทั้งพยายามไขว่คว้าหาอำนาจ อาจจะทำให้ผู้นั้นกระทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม จริยธรรม กฎหมาย สร้างความเสียหายให้กับสังคมและประเทศชาติ และลงท้ายด้วยการสร้างความหายนะกับตนเองและชื่อเสียงวงศ์ตระกูลชนิดที่ไม่สามารถจะแก้ไขเยียวยาได้ โดยสิ่งที่ทำทั้งหมดนั้นจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ และจะตราไว้ในแผ่นดินตราบนานเท่านาน.