xs
xsm
sm
md
lg

"หม่อมอุ๋ย"สนอง ศก.พอเพียง เน้นออม-กดเพดานขาดดุล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"ปรีดิยาธร"สนองนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงรัฐบาลใหม่ ลั่นต้องนำหลักพอเพียงมาผสมผสานกับเศรษฐกิจแบบเสรีสร้างสมดุล เน้นการออมเพื่อป้องกันไม่ให้จีดีพีการขยายตัวพุ่งเร็วเกินกำลัง ซึ่งอาจซ้ำรอยวิกฤตปี 2540 เผยงบประมาณปี 50 เริ่มใช้ ม.ค.หนุนเศรษฐกิจปี 50 ดีกว่าปี 49 เล็งกดเพดานตัวเลขขาดดุลไม่เกิน 2% ลงอีก ระบุเมกะโปรเจ็กรถไฟฟ้าจะเริ่มในโครงการต่อส่วนขยายเดิมที่มีอยู่แล้ว

วานนี้ (3 ต.ค.) คณะกรรมการเศรษฐกิจ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดสัมมนาเรื่อง "เศรษฐกิจไทยตกต่ำจริงหรือไม่ ธุรกิจไทยจะก้าวเดินอย่างไนในปี 2007" โดยมี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าที่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "ทิศทางเศรษฐกิจไทยในสภาวะปัจจุบัน" ว่า ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีในปัจจุบัน จำเป็นต้องใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงมาผสมผสาน หากไม่ใช้แนวทาง เศรษฐกิจพอเพียง การขยายตัวของเศรษฐกิจก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็วจนเกินกำลังและอาจทำให้เกิดวิกฤติได้เหมือนปี 2540 ที่เป็นตัวอย่างชัดเจนของการลงทุนเกินตัว โดยไม่ให้ความสำคัญกับความพอเพียง จนเงินออมที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ต้องอาศัยเงินทุนจากต่างชาติจำนวนมหาศาล เมื่อมีการดึงเม็ดเงินเหล่านั้นกลับก็ทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ดังนั้นต้องให้ความสำคัญกับเงินออม

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า เศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบเสรีการตลาด โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ 1.เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้แต่ต้องไม่เกินกำลัง ซึ่งจะไม่กระทบต่อเงินเฟ้อและไม่มีผลกระทบจากเงินทุนต่างชาติ 2.การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะต้องให้ความสำคัญกับการจัดการเสริมทรัพยากรของชาติให้เพียงพอและต่อเนื่อง ให้ทันต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ให้เกิดการขาดแคลน และ 3.การขยายตัวของเศรษฐกิจ จะต้องดูแลไม่ให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดุลยภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

“ระบบเสรีการตลาดเพียงอย่างเดียว โดยไม่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง จะไปไม่รอด เหตุการณ์ในอดีตได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วอย่างชัดเจน ดังนั้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจจึงต้องเป็นไปด้วยความพอเพียง บางคนคิดตามทฤษฎีตะวันตก และเห็นว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นตัวฉุดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่ไม่จริง ในทางตรงกันข้ามเศรษฐกิจพอเพียงเป็นตัวสร้างที่ทำให้เกิดความสมดุล ขยายตัวต่อเนื่องไปเรื่อย เป็นประโยชน์ต่อประเทศ” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว

ทั้งนี้ จะให้ความสำคัญกับการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันได้รับผลกระทบจากการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติลดลงทุกวันจนน่าเป็นห่วง ยกตัวอย่างเรื่องน้ำ หากไม่เสริมสร้างให้ทันกับการใช้ ก็อาจส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจหยุดชะงัก จึงจำเป็นต้องสร้างให้ทรัพยากรเพียงพอและรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ

"การขยายตัวของเศรษฐกิจ จะต้องมีความเหมาะสมกับทรัพยากรที่มีอยู่ หากมีไม่เพียงพอก็จะต้องเสริมสร้างหรือจัดสรรเพิ่มเติม เพราะจะนำไปสู่การขยายตัวของเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันเมื่อเศรษฐกิจขยายตัว คนเราก็มักลืมผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีผลสืบเนื่องถึงการท่องเที่ยวและคุณภาพชีวิตของประชาชน" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวและว่า ที่ผ่านมาไม่ได้ห่วงในเรื่องการลงทุนและการบริโภค เพราะภาคเอกชนยังเดินไปได้ดี

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า ขณะนี้ถือว่าเศรษฐกิจของไทยขยายตัวได้อย่างไม่มีปัญหา แต่หากมีการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ก็จะทำให้มีการถ่วงดุลเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยหลักการจะต้องดูแลให้มีการกระจายรายได้ที่เหมาะสม โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2550 เชื่อว่า จะสามารถขยายตัวได้ดีกว่าปีนี้ ที่อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.5 - 4.5 เนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพ ความชัดเจนด้านการเมืองภายในประเทศ รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่สามารถเบิกจ่ายได้ ภายในวันที่ 1 มกราคมนี้

"ต้องจำไว้ว่า อดีตเป็นบทเรียนมาแล้ว ตอนนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่ขยายตัวเกินกำลัง แต่ก็ต้องเริ่มเอาใจใส่ เช่น น้ำก็เริ่มขาดแคลน ตั้งแต่แผน 9 ทำให้เศรษฐกิจโตดีแล้ว แต่แผน 10 ต้องกลับมาดูเรื่องพวกนี้"

สำหรับปัจจัยที่ยังต้องระวัง คือการไหลเข้า-ออกของเงินทุนจากต่างประเทศ เพราะไม่สามารถดูแลให้ค่าเงินบาทอยู่นิ่งได้ระดับเดียวตลอดไปได้แต่ต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกับกระแสโลก ที่ขณะนี้แนวโน้มค่าเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับแรงกดดันจากสหรัฐที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างมหาศาล ซึ่งไทยก็ได้รับอิทธิพลตรงนี้เช่นกัน

*กดตัวเลขขาดดุลต่ำกว่า 2%ลงอีก

ด้านจุดอ่อนของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า เป็นเรื่องความล่าช้าของงบประมาณปี 2550 แต่ตอนนี้ปัญหาดังกล่าวน่าจะหมดไปแล้ว เพราะสามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่เดือน ม.ค.2550 ทั้งนี้ 4 หน่วยงานคือ แบงก์ชาติ กระทรวงการคลัง สำนักงานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ ที่ร่วมจัดทำงบประมาณายจ่ายประจำปี 2550 ได้สรุปตัวเลขวงเงินรายจ่ายและการขาดดุลงบประมาณแล้ว โดยคาดว่าข้อสรุปจะขาดดุลไม่เกิน 2% ของจีดีพี แต่ตนคิดว่าน่าจะขาดดุลน้อยกว่านั้นได้

ว่าที่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจยอมรับว่าว่า รัฐบาลจะผลักดันเมกะโปรเจ็กต์และโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนต่อไปตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้แล้ว แต่จะต้องศึกษาเพิ่มเติมว่าจะเริ่มโครงการรถไฟฟ้าสายใดก่อนหลังหรือยุติบางสายที่ออกนอกรอบ ทั้งนี้ จะยึดหลักความเชื่อมโยงกับสายที่มีอยู่แล้วก่อน ส่วนเงินกู้ยังคงขอความสนับสนุนจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(เจบิค)

"โครงการขนส่งมวลชน ขนส่งสินค้า และน้ำ เป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ เพราะสามารถช่วยประเทศชาติประหยัด และกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินได้ และเป็นการสร้างขวัญให้กับภาคธุรกิจได้"

นอกจากนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังปฏิเสธกระแสข่าวที่ไปทาบทามนายคำรบลักขิ์ สุรัสวดี อดีตรองปลัดกระทรวงคมนาคม ให้เข้ามารับตำแหน่งรมว.คมนาคม โดยกล่าวว่า การหารือกับนายคำรบลักขิ์เกี่ยวกับเมกะโปรเจ็กต์เป็นการขอความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เหมือนกับที่ผ่านมาก็ได้ขอความรู้ในลักษณะดังกล่าวกับหลายคน
กำลังโหลดความคิดเห็น