xs
xsm
sm
md
lg

ศก.พอเพียงกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่อง "เศรษฐกิจพอเพียง" มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แต่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อันเป็นพิมพ์เขียวในการพัฒนาประเทศไทยที่มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2504 กลับเพิ่งมีการบรรจุ "เศรษฐกิจพอเพียง" เข้าเป็นวาระแห่งชาติเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง

"ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ถูกบรรจุเข้าในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 (2545-2549) เป็นครั้งแรก โดยทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ ระบุว่าการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้นั้นจะทำควบคู่ไปกับกระบวนทรรศน์ของการพัฒนาแบบบูรณาการเป็นองค์รวมที่มี "คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา" อันเป็นต่อเนื่องจากแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8

อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 รัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ.ต.ท.ทักษิณได้ฉีกแผน 9 ทิ้งและละเลยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างสิ้นเชิง โดยที่เห็นได้ชัดก็คือ ความเพียรพยายามในการผลักดันให้รัฐไทยลงนามในสนธิสัญญาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างขาดการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้านจนในที่สุดนำมาสู่ความล่มสลายของภาคเกษตรของไทย ทั้งๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เคยทรงมีพระราดำรัสไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องการค้าเสรีว่าเป็นรูปแบบการค้าที่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ (พระราชดำรัสเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2543)

ดังนั้นในโอกาสที่ประเทศไทยมีผู้นำประเทศคนใหม่ คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้ที่ลั่นวาจาไว้ในวันเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 เมื่อ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาแล้วว่านโยบายเศรษฐกิจภายใต้การบริหารของตนนั้นจะเน้นเศรษฐกิจพอเพียงที่ในหลวงพระราชทานไว้ โดยจะไม่มุ่งเน้นเรื่องของจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) มากนั้น แต่จะดูในตัวที่วัดความผาสุกของพี่น้องประชาชนมากกว่า จึงนับช่วงเวลาอันเหมาะสมที่เราจะกลับไปทบทวนสาระสำคัญของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 อันเป็นแผนพัฒนาฯ ฉบับปัจจุบันอีกครั้งว่ามีการผสมผสาน "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ไว้มากน้อยเพียงใด

จากเอกสาร สรุปสาระสําคัญแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) ที่เผยแพร่โดย สภาพัฒน์ฯ ระบุอย่างชัดเจนไว้ในส่วนความนำว่า

"ในระยะของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550-2554) ประเทศไทยยังคงต้องเผชิ ญกับการเปลี่ยนแปลงที่ สําคัญในหลายบริบท ทั้งที่เป็นโอกาสและข้อจํากัดต่อการพัฒนาประเทศ จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมของคนและระบบให้มีภูมิคุ้มกัน พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยยังคงอัญเชิญ “ปรั ชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นแนวปฏิบั ติ ในการพัฒนาแบบบูรณาการเป็นองค์รวมที่มี “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” ต่อเนื่องจากแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 และแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 และให้ความสําคัญต่อการรวมพลังสังคมจากทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมดําเนินการในทุกขั้นตอนของแผนฯ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาสู่การปฏิบัติ รวมทั้งการติดตามตรวจสอบผลการดําเนินงานตามแผนอย่างต่อเนื่อง"

ขณะที่ในส่วนของวิสัยทัศน์ สภาพัฒน์ฯ ระบุว่าในแผน 10 ประเทศไทยจะมุ่งพัฒนาสู่ "สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน (Green and Happiness Society) คนไทยมีคุณธรรมนําความรอบรู้ รู้เท่าทันโลก ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง สังคมสันติสุข เศรษฐกิจมี คุณภาพ เสถียรภาพ และเป็นธรรม สิ่งแวดล้อมมีคุณภาพและทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน อยู่ภายใต้ระบบบริหารจัดการประเทศที่มีธรรมาภิบาล ดํารงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และอยู่ในประชาคมโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรี"

ทั้งนี้ในแผน 10 ที่ระบุถึงเป้าหมายทางด้านเศรษฐกิจไว้ว่าจะต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความสมดุลและยั่งยืน โดยให้สัดส่วนภาคเศรษฐกิจในประเทศต่อภาคการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75 ภายในปี 2554 ผลิตภาพการผลิตรวมเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3 ต่อปี อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 4 ต่อปี สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไม่เกินร้อยละ 50 ความยืดหยุ่นการใช้พลังงานเฉลี่ยไม่เกิน 1:1 ในระยะของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10

นอกจากนี้ยังมุ่งที่จะทำให้ สัดส่วนรายได้ของกลุ่มที่มีรายได้สูงร้อยละ 20 ระดับบนต่อรายได้ของกลุ่มที่มีรายได้น้อยร้อยละ 20 ระดับล่างไม่เกินร้อยละ 10 ภายในปี 2554 และสัดส่วนผลผลิตของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเป็นร้อยละ 40 ภายในปี 2554

เช่นเดียวกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ผ่านๆ มา วิสัยทัศน์และเป้าหมายทางเศรษฐกิจข้างต้นถูกตั้งไว้อย่างสวยหรู จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นความฝันที่ไกลเกินเอื้อม หากภาครัฐไม่รีบส่งเสริม และแปลงสภาพ "เศรษฐกิจพอเพียง" ให้กลายแปรเปลี่ยนจากการเป็นปรัชญาแนวคิดลงไปสู่ภาคปฏิบัติให้เร็วที่สุด ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เป้าหมายการลดช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนรวย-คนจน ที่มิอาจจะทำให้สำเร็จได้เลยหากเรายังดำเนินแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในแบบ "ทักษิโณมิกส์" อยู่
กำลังโหลดความคิดเห็น