คณะปฎิรูปฯ ยันไม่ปิดกันเสรีภาพสื่อ ต้องเสนอข่าวตามจริง และขอความร่วมมือสื่อโทรทัศน์ อย่านำภาพเหตุการณ์พฤษภาทมิฬออกเผยแพร่ หวั่นประชาชนสับสน พร้อมเปิดเว็บไซต์เผยแพร่ข้อมูล เผยเตรียมสับเปลี่ยนกำลังพลทั่วกรุงวันนี้ ประชาชนอย่าตกใจ และห้ามพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมใดๆ ขณะเดียวกันถนนทุกสายเข้าสู่ภาวปกติ แต่ฟทหารยังคุมเชิงตามจุดสำคัญโดยเฉพาะในทำเนียบฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. วานนี้ (21 ก.ย.) กรมกิจการพลเรือนทหาร กองบัญชาการกองทัพบก ได้ประชุมฝ่ายข่าวสื่อโทรทัศน์และวิทยุ ระดับผู้บริหารฝ่ายข่าว บรรณาธิการข่าว และผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านการข่าว โดยมีประเด็นหลักคือ การขอข้อเสนอแนะและแนวทางการนำเสนอข่าวสาร การปฏิรูปการปกครองของคณะปฏิรูปการปกครองฯ ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ เป็นหัวหน้าคณะ โดยมุ่งเน้นสร้างความเข้าใจกับประชาชน ไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก และป้องกันความสับสนที่อาจจะเกิดขึ้น และเพื่อส่งเสริมการปฏิรูปการปกครอง ให้บรรลุตามเป้าหมาย
พล.ท.พลางกูร กล้าหาญ โฆษกคณะปฎิรูปฯกล่าวภายหลังการประชุมว่า เป็นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโนบายของคณะปฎิรูปฯ ในด้านสื่อมวลชนซึ่งคณะปฎิรูปฯ ต้องการให้การนำเสนอข่าวสารเป็นไปในลักษณะที่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดยรับปากว่า จะไม่มีการเซ็นเซอร์ ขณะเดียวกันก็ขอความร่วมมือ ให้สื่อเสนอข่าวตามความเป็นจริง
“เราอยากให้เสนอข่าวอย่างเสรีให้ได้มากที่สุด คงไม่มีการเซ็นเซอร์อะไร แต่หากมีอะไรคลาดเคลื่อน ก็จะแจ้งให้ทราบ”
พล.ท.กลางกูร กล่าวว่า คณะปฎิรูปฯ ขอความร่วมมือให้สื่อโทรทัศน์ งดนำภาพข่าวในช่วงปี 2535 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ กลับมานำเสนอ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์คนละเหตุการณ์ และอาจนำไปสู่ความสับสน อีกทั้งยังทำให้เกิดความเข้าใจภาพพจน์ทหารในทางที่ผิด รวมทั้งภาพของทหารที่ปฏิบัติแล้วเกิดความไม่สบายใจกับประชาชน ก็ขอความ ร่วมมือไม่ให้เผยแพร่
ด้านพ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง ผู้ช่วยโฆษก คปค. กล่าวว่า คปค.ได้เปิดเว็บไซต์ www.ict.go.th เพื่อเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ และการดำเนินการของ คปค. รวมทั้งได้เปิดเบอร์โทรศัพท์สายด่วน โดยหากประชาชนพบว่า เจ้าหน้าที่ทหารใช้อำนาจ เกินขอบเขต สามารถโทรแจ้งได้ที่ 0-2297-8307 ตลอด 24 ชั่วโมง
เตรียมสับเปลี่ยนกำลังพลทั่วกรุงวันนี้
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวด้วยว่า คณะปฏิรูปฯจะทำการสับเปลี่ยนกำลังพลทั่วพื้นที่กรุงเทพฯในวันนี้ (22 ก.ย.) ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น. โดยกำลังพลจากกองทัพเรือ จะเข้าดูแลพื้นที่ในเขต ธนบุรี,โรงพยาบาลศิริราช และบริเวณใกล้เคียงทั้งหมด
ส่วนกำลังพลจากกองทัพอากาศ จะเข้าดูแลพื้นที่ในบริเวณเขตดอนเมือง และ บริเวณใกล้เคียง และกำลังพลจากกองทัพบกในส่วนอื่นที่เหลือ จะเข้าไปสับเปลี่ยนกำลัง ในเขตอื่นๆ ในกรุงเทพมหานคร
“เป็นการสับเปลี่ยนกำลังเพื่อให้กำลังพลเดิมไปพักผ่อน หลังจากดูแลความสงบ เรียบร้อยมาตลอดทั้ง 2 วัน จึงขอแจ้งให้ประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนกในการสับเปลี่ยน กำลังดังกล่าว”
ส.วิทยุและโทรทัศน์ฯร้องขอสิทธิเสนอข่าว
วันเดียวกันสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ทำจดหมายเปิดผนึก เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการรายงานข่าวทางสื่อวิทยุและโทรทัศน์ โดยระบุว่าการเข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดินของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยแสดงจุดยืนว่าเป็นการกระทำเพื่อสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยและคลี่คลายวิกฤติการณ์ทางการเมือง ถึงแม้จะไม่มีความรุนแรงจนถึงขั้นสูญเสียเลือดเนื้อ แต่การยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ก็ทำให้เกิดประเด็นที่หลายฝ่ายวิตกกังวลและห่วงใย โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองและรับรองสิทธิเสรีภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน
สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยและสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในฐานะองค์กรวิชาชีพ จึงมีข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้องต่อคณะปฏิรูปการปกครองฯ และเพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อสารมวลชนดังต่อไปนี้
1. ในระยะเร่งด่วน คณะปฏิรูปฯ ควรประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่าจะสนับสนุนและไม่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนทุกแขนง พร้อมทั้งให้เสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นและนำเสนอข่าวสารข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างตรงไปตรงมา ถูกต้องครบถ้วนและรอบด้าน ซึ่งการแสดงจุดยืนดังกล่าวจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนโดยรวมและได้รับการยอมรับในสายตาของนานาชาติที่กำลังจับตามองความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้
2.การร่างธรรมนูญการปกครองชั่วคราวเพื่อบังคับใช้ระหว่างที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรมีบทบัญญัติที่จะให้การคุ้มครองและรับรองเสรีภาพ ในการแสดงความเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน โดยให้มีเนื้อหาที่สอดคล้องกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 โดยเฉพาะในมาตรา 39 และ 41 พร้อมทั้งเร่งผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีสาระสำคัญครอบคลุมหลักการดังกล่าวด้วยเช่นกัน ตลอดจนเร่งผลักดันให้กระบวนการปฏิรูปสื่อวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์เกิดขึ้นโดยเร็ว
3.ระหว่างที่สถานการณ์ทางเมืองยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ขอให้คณะปฏิรูปฯ ได้ยึดมั่นหลักการสำคัญที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2540 ในมาตรา 40 ที่ระบุว่า “คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และวิทยุโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ” โดยไม่ควรปล่อยให้มีการฉวยโอกาสกระทำการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับสัญญาสัมปทานคลี่นความถี่วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ จนกว่าจะมีกลไกสร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ อย่างแท้จริง
4. ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนทุกคนตระหนักดีว่า จะต้องทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและส่วนรวมเป็นสำคัญ แต่ในสถานการณ์ที่อ่อนไหวมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สื่อทุกแขนง ต้องใช้วิจารณญาณอย่างสูงในการปฏิบัติงาน เพื่อจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ตลอดจนทำงานด้วยความรับผิดชอบและยึดมั่นหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพ โดยเคร่งครัด
ห้ามพรรคดำเนินกิจกรรมการเมือง
วันเดียวกัน คณะปฎิรูปฯ ได้ออกประกาศฉบับที่ 15 เรื่อง ห้ามพรรคการเมืองประชุม-ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยระบุว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ต้องสิ้นสุดลงตามประกาศคณะปฎิรูปฯ และมีประกาศคระปฎิรูปฯ ฉบับที่ 7 เรื่อง การห้ามชุมนุมทางการเมือง แต่เพื่อให้การดำเนินการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ภายหลังสถานการณ์เข้าสู่ปกติแล้ว จึงมีประกาศดังนี้
1.ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มีผลบังคับใช้ต่อไป เพื่อให้พรรคการเมืองยังคงสภาพอยู่ต่อไปได้
2.เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียนร้อย ห้ามมิให้พรรคการเมือง ที่มีอยู่แล้วดำเนินการประชุม หรือ ดำเนินการใด ๆ ในทางการเมือง และการดำเนินการจัดตั้ง หรือจดทะเบียนพรรคการเมืองให้ระงับไว้เป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ จนกว่าจะมีการประกาศเป็นอย่างอื่น
วันเดียวกัน คณะปฎิรูปฯ ออกประกาศคำสั่ง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ.2542 มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะประกาศเป็นอย่างอื่น
ถนนทุกสายเข้าสู่ภาวะปกติ
วันเดียวกันที่ทำเนียบรัฐบาล หลังคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีคำสั่งให้วันที่ 21 ก.ย. เป็นวันทำงานแล้วก็ตาม แต่บรรยากาศก็ยังเป็นไปอย่างเงียบเหงา ข้าราชการทยอยเข้ามาทำงานตั้งแต่ช่วงเช้า แต่จากการสอบถามพบว่าข้าราชการ บางส่วนยังไม่มาทำงานใน ขณะที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลสามารถเข้ามา ทำข่าวได้ตามปกติ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของการปฏิวัติที่อนุญาตเช่นนี้
สำหรับบรรยากาศการเดินทางทางถนนสายต่างๆ ในพื้นที่กทม.และปริมณฑล ก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติไม่มีการปิดเส้นทางการจราจร หรือมีการนำกำลังทหารพร้อมรถถังมาปิดถนนเหมือนเมื่อวันที่ 20 ก.ย. มีเพียงการจัดวางกำลังตามจุดต่างๆ ตลอดเส้นทาง สำหรับสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น ทำเนียบรัฐบาล ก็จะมีการจัดวางกำลังทหารเป็นพิเศษ พร้อมมียุทธโปกรณ์หนักและรถถัง มาตรึงกำลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 09.20 น. นายรองพล เจริญพันธ์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้ามาทำงานที่ทำเนียบฯแต่ใช้เวลาอยู่ไม่นานนักก็เดินทางออกไป และปฏิเสธที่จะตอบข้อซักถามที่ว่า ได้ติดต่อกับบรรดาอดีตรัฐมนตรีหรือไม่ ส่วนห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะห้องทำงาน ของนายเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ถูกคณะปฏิรูปฯ เรียกให้ไปรายงานตัวที่กองบัญชาการกองทัพบกในวันนี้ ก็ยังไม่มีการส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บของแต่อย่างใด
ทหารยังตรึงกำลังรอบทำเนียบฯ
สำหรับบรรยากาศโดยบริเวณรอบๆ ทำเนียบยังมีทหารจากกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี ยืนประจำการรักษาความปลอดภัยตามประตูต่างๆ และเปิดให้เจ้าหน้าที่ของทำเนียบฯ และรถเข้า-ออกได้เพียงประตูเดียวคือประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีการตรวจรถเข้า-ออกอย่างเข้มงวดเหมือนเดิม
ส่วนกำลังพลที่มาประจำการที่ทำเนียบฯ มีจำนวนลดน้อยลง แต่ก็ยังมีรถถัง 4 คันจอดอยู่บริเวณประตูทางเข้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เลียบคลองเปรมประชากร ซึ่งยังมีประชาชนให้ความสนใจและมาร่วมถ่ายรูปกับรถถังพร้อมมอบดอกไม้ให้กำลังใจทหาร รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งบอกว่า เมื่อทราบข่าวการปฏิวัติในช่วงแรก ก็รู้สึกวิตกกังวล แต่หลังจากได้มาดูสถานการณ์ด้วยตาตัวเองและเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความ สงบเรียบร้อยก็สบายใจ ทั้งยังเห็นด้วยว่าการปฏิวัติของไทยต่างจากประเทศอื่นด้วย
“พีระพันธ์”ชิงหนีนักข่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 13.00 น.สื่อมวลชนได้ไปรอสัมภาษณ์ พล.ต.ต.พีรพันธุ์ เปรมภูติ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีข่าวว่า ได้มีการเรียกประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เช่น ผอ.ประชาสัมพันธ์ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผอ.อสมท.และตัวแทนจากหน่วยงานอื่น ซึ่งเมื่อ พล.ต.ต.พีรพันธุ์ทราบว่ามีผู้สื่อข่าวมารอทำข่าวกันเป็นจำนวนมาก จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ไปบอกในที่ประชุมว่า ติดประชุมกะทันหัน โดยได้มอบให้นายจุลยุทธ หิรัณยะวิสิต รองปลัดสำนักนายกฯ ทำหน้าที่ประธานแทน
และเมื่อผู้สื่อข่าวได้เปลี่ยนเป้าหมายไปคอยที่หน้าห้องปลัดฯเพื่อที่จะขอสัมภาษณ์ก็ได้แจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า ปลัดสำนักนายกฯออกไปแล้ว ในขณะที่รถประจำตำแหน่งยังจอดในที่จอดรถประจำ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้พล.ต.ต.พีรพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า เพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ และขณะนี้ยังไม่มีนโยบายเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ขอดูคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองฯก่อน ส่วนการเรียกประชุมผู้บริหารไม่มีอะไร เป็นแค่การพูดคุยกับผู้บริหาร 2-3 คนเท่านั้น
คณะปฎิรูปฯจัดระเบียบสื่อที่บก.ทบ.
สำหรับบรรยากาศที่ กองบัญชาการกองทัพบก ก็ได้เปิดให้รถยนต์ของ ข้าราชการ รวมทั้งรถยนต์ของสื่อมวลชนสามารถผ่านเข้า-ออกได้ตามปกติ โดยมีการตรวจค้นอย่างเข้มงวดเพื่อรักษาความปลอดภัย ส่วนบริเวณรอบนอกของ กองบัญชาการกองทัพบกนั้น ก็มีสื่อมวลชนไทยและจากสำนักข่าวต่างประเทศมาเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
พันเอกเสมอภาค สง่าเมือง ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพบก ได้ชี้แจ้งกับสื่อมวลชน ถึงระเบียบปฏิบัติและกรอบการทำงานของสื่อมวลชน ตามคำสั่งของของคณะปฏิรูปการปกครองฯ ว่า ได้กำหนดให้เฉพาะสื่อมวลชนประจำสายทหารที่มีบัตรประจำตัวสื่อมวลชน ที่ออกโดยกองบัญชาการกองทัพบกเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาทำข่าวภายในกองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.)ได้ โดยจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัดคือ ให้อยู่ในสถานที่ที่กำหนด และจะออกไปทำข่าวได้เฉพาะเมื่อมีการแจ้งจากเจ้าหน้าที่ รวมถึงกรณีการแถลงข่าวจะต้องมีนายทหารนำไปยังห้องแถลงที่จัดไว้เท่านั้น เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการดูแลรรักษาความปลอดภัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. วานนี้ (21 ก.ย.) กรมกิจการพลเรือนทหาร กองบัญชาการกองทัพบก ได้ประชุมฝ่ายข่าวสื่อโทรทัศน์และวิทยุ ระดับผู้บริหารฝ่ายข่าว บรรณาธิการข่าว และผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านการข่าว โดยมีประเด็นหลักคือ การขอข้อเสนอแนะและแนวทางการนำเสนอข่าวสาร การปฏิรูปการปกครองของคณะปฏิรูปการปกครองฯ ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ เป็นหัวหน้าคณะ โดยมุ่งเน้นสร้างความเข้าใจกับประชาชน ไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก และป้องกันความสับสนที่อาจจะเกิดขึ้น และเพื่อส่งเสริมการปฏิรูปการปกครอง ให้บรรลุตามเป้าหมาย
พล.ท.พลางกูร กล้าหาญ โฆษกคณะปฎิรูปฯกล่าวภายหลังการประชุมว่า เป็นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโนบายของคณะปฎิรูปฯ ในด้านสื่อมวลชนซึ่งคณะปฎิรูปฯ ต้องการให้การนำเสนอข่าวสารเป็นไปในลักษณะที่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดยรับปากว่า จะไม่มีการเซ็นเซอร์ ขณะเดียวกันก็ขอความร่วมมือ ให้สื่อเสนอข่าวตามความเป็นจริง
“เราอยากให้เสนอข่าวอย่างเสรีให้ได้มากที่สุด คงไม่มีการเซ็นเซอร์อะไร แต่หากมีอะไรคลาดเคลื่อน ก็จะแจ้งให้ทราบ”
พล.ท.กลางกูร กล่าวว่า คณะปฎิรูปฯ ขอความร่วมมือให้สื่อโทรทัศน์ งดนำภาพข่าวในช่วงปี 2535 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ กลับมานำเสนอ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์คนละเหตุการณ์ และอาจนำไปสู่ความสับสน อีกทั้งยังทำให้เกิดความเข้าใจภาพพจน์ทหารในทางที่ผิด รวมทั้งภาพของทหารที่ปฏิบัติแล้วเกิดความไม่สบายใจกับประชาชน ก็ขอความ ร่วมมือไม่ให้เผยแพร่
ด้านพ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง ผู้ช่วยโฆษก คปค. กล่าวว่า คปค.ได้เปิดเว็บไซต์ www.ict.go.th เพื่อเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ และการดำเนินการของ คปค. รวมทั้งได้เปิดเบอร์โทรศัพท์สายด่วน โดยหากประชาชนพบว่า เจ้าหน้าที่ทหารใช้อำนาจ เกินขอบเขต สามารถโทรแจ้งได้ที่ 0-2297-8307 ตลอด 24 ชั่วโมง
เตรียมสับเปลี่ยนกำลังพลทั่วกรุงวันนี้
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวด้วยว่า คณะปฏิรูปฯจะทำการสับเปลี่ยนกำลังพลทั่วพื้นที่กรุงเทพฯในวันนี้ (22 ก.ย.) ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น. โดยกำลังพลจากกองทัพเรือ จะเข้าดูแลพื้นที่ในเขต ธนบุรี,โรงพยาบาลศิริราช และบริเวณใกล้เคียงทั้งหมด
ส่วนกำลังพลจากกองทัพอากาศ จะเข้าดูแลพื้นที่ในบริเวณเขตดอนเมือง และ บริเวณใกล้เคียง และกำลังพลจากกองทัพบกในส่วนอื่นที่เหลือ จะเข้าไปสับเปลี่ยนกำลัง ในเขตอื่นๆ ในกรุงเทพมหานคร
“เป็นการสับเปลี่ยนกำลังเพื่อให้กำลังพลเดิมไปพักผ่อน หลังจากดูแลความสงบ เรียบร้อยมาตลอดทั้ง 2 วัน จึงขอแจ้งให้ประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนกในการสับเปลี่ยน กำลังดังกล่าว”
ส.วิทยุและโทรทัศน์ฯร้องขอสิทธิเสนอข่าว
วันเดียวกันสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ทำจดหมายเปิดผนึก เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการรายงานข่าวทางสื่อวิทยุและโทรทัศน์ โดยระบุว่าการเข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดินของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยแสดงจุดยืนว่าเป็นการกระทำเพื่อสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยและคลี่คลายวิกฤติการณ์ทางการเมือง ถึงแม้จะไม่มีความรุนแรงจนถึงขั้นสูญเสียเลือดเนื้อ แต่การยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ก็ทำให้เกิดประเด็นที่หลายฝ่ายวิตกกังวลและห่วงใย โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองและรับรองสิทธิเสรีภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน
สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยและสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในฐานะองค์กรวิชาชีพ จึงมีข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้องต่อคณะปฏิรูปการปกครองฯ และเพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อสารมวลชนดังต่อไปนี้
1. ในระยะเร่งด่วน คณะปฏิรูปฯ ควรประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่าจะสนับสนุนและไม่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนทุกแขนง พร้อมทั้งให้เสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นและนำเสนอข่าวสารข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างตรงไปตรงมา ถูกต้องครบถ้วนและรอบด้าน ซึ่งการแสดงจุดยืนดังกล่าวจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนโดยรวมและได้รับการยอมรับในสายตาของนานาชาติที่กำลังจับตามองความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้
2.การร่างธรรมนูญการปกครองชั่วคราวเพื่อบังคับใช้ระหว่างที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรมีบทบัญญัติที่จะให้การคุ้มครองและรับรองเสรีภาพ ในการแสดงความเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน โดยให้มีเนื้อหาที่สอดคล้องกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 โดยเฉพาะในมาตรา 39 และ 41 พร้อมทั้งเร่งผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีสาระสำคัญครอบคลุมหลักการดังกล่าวด้วยเช่นกัน ตลอดจนเร่งผลักดันให้กระบวนการปฏิรูปสื่อวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์เกิดขึ้นโดยเร็ว
3.ระหว่างที่สถานการณ์ทางเมืองยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ขอให้คณะปฏิรูปฯ ได้ยึดมั่นหลักการสำคัญที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2540 ในมาตรา 40 ที่ระบุว่า “คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และวิทยุโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ” โดยไม่ควรปล่อยให้มีการฉวยโอกาสกระทำการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับสัญญาสัมปทานคลี่นความถี่วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ จนกว่าจะมีกลไกสร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ อย่างแท้จริง
4. ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนทุกคนตระหนักดีว่า จะต้องทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและส่วนรวมเป็นสำคัญ แต่ในสถานการณ์ที่อ่อนไหวมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สื่อทุกแขนง ต้องใช้วิจารณญาณอย่างสูงในการปฏิบัติงาน เพื่อจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ตลอดจนทำงานด้วยความรับผิดชอบและยึดมั่นหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพ โดยเคร่งครัด
ห้ามพรรคดำเนินกิจกรรมการเมือง
วันเดียวกัน คณะปฎิรูปฯ ได้ออกประกาศฉบับที่ 15 เรื่อง ห้ามพรรคการเมืองประชุม-ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยระบุว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ต้องสิ้นสุดลงตามประกาศคณะปฎิรูปฯ และมีประกาศคระปฎิรูปฯ ฉบับที่ 7 เรื่อง การห้ามชุมนุมทางการเมือง แต่เพื่อให้การดำเนินการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ภายหลังสถานการณ์เข้าสู่ปกติแล้ว จึงมีประกาศดังนี้
1.ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มีผลบังคับใช้ต่อไป เพื่อให้พรรคการเมืองยังคงสภาพอยู่ต่อไปได้
2.เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียนร้อย ห้ามมิให้พรรคการเมือง ที่มีอยู่แล้วดำเนินการประชุม หรือ ดำเนินการใด ๆ ในทางการเมือง และการดำเนินการจัดตั้ง หรือจดทะเบียนพรรคการเมืองให้ระงับไว้เป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ จนกว่าจะมีการประกาศเป็นอย่างอื่น
วันเดียวกัน คณะปฎิรูปฯ ออกประกาศคำสั่ง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ.2542 มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะประกาศเป็นอย่างอื่น
ถนนทุกสายเข้าสู่ภาวะปกติ
วันเดียวกันที่ทำเนียบรัฐบาล หลังคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีคำสั่งให้วันที่ 21 ก.ย. เป็นวันทำงานแล้วก็ตาม แต่บรรยากาศก็ยังเป็นไปอย่างเงียบเหงา ข้าราชการทยอยเข้ามาทำงานตั้งแต่ช่วงเช้า แต่จากการสอบถามพบว่าข้าราชการ บางส่วนยังไม่มาทำงานใน ขณะที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลสามารถเข้ามา ทำข่าวได้ตามปกติ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของการปฏิวัติที่อนุญาตเช่นนี้
สำหรับบรรยากาศการเดินทางทางถนนสายต่างๆ ในพื้นที่กทม.และปริมณฑล ก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติไม่มีการปิดเส้นทางการจราจร หรือมีการนำกำลังทหารพร้อมรถถังมาปิดถนนเหมือนเมื่อวันที่ 20 ก.ย. มีเพียงการจัดวางกำลังตามจุดต่างๆ ตลอดเส้นทาง สำหรับสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น ทำเนียบรัฐบาล ก็จะมีการจัดวางกำลังทหารเป็นพิเศษ พร้อมมียุทธโปกรณ์หนักและรถถัง มาตรึงกำลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 09.20 น. นายรองพล เจริญพันธ์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้ามาทำงานที่ทำเนียบฯแต่ใช้เวลาอยู่ไม่นานนักก็เดินทางออกไป และปฏิเสธที่จะตอบข้อซักถามที่ว่า ได้ติดต่อกับบรรดาอดีตรัฐมนตรีหรือไม่ ส่วนห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะห้องทำงาน ของนายเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ถูกคณะปฏิรูปฯ เรียกให้ไปรายงานตัวที่กองบัญชาการกองทัพบกในวันนี้ ก็ยังไม่มีการส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บของแต่อย่างใด
ทหารยังตรึงกำลังรอบทำเนียบฯ
สำหรับบรรยากาศโดยบริเวณรอบๆ ทำเนียบยังมีทหารจากกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี ยืนประจำการรักษาความปลอดภัยตามประตูต่างๆ และเปิดให้เจ้าหน้าที่ของทำเนียบฯ และรถเข้า-ออกได้เพียงประตูเดียวคือประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีการตรวจรถเข้า-ออกอย่างเข้มงวดเหมือนเดิม
ส่วนกำลังพลที่มาประจำการที่ทำเนียบฯ มีจำนวนลดน้อยลง แต่ก็ยังมีรถถัง 4 คันจอดอยู่บริเวณประตูทางเข้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เลียบคลองเปรมประชากร ซึ่งยังมีประชาชนให้ความสนใจและมาร่วมถ่ายรูปกับรถถังพร้อมมอบดอกไม้ให้กำลังใจทหาร รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งบอกว่า เมื่อทราบข่าวการปฏิวัติในช่วงแรก ก็รู้สึกวิตกกังวล แต่หลังจากได้มาดูสถานการณ์ด้วยตาตัวเองและเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความ สงบเรียบร้อยก็สบายใจ ทั้งยังเห็นด้วยว่าการปฏิวัติของไทยต่างจากประเทศอื่นด้วย
“พีระพันธ์”ชิงหนีนักข่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 13.00 น.สื่อมวลชนได้ไปรอสัมภาษณ์ พล.ต.ต.พีรพันธุ์ เปรมภูติ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีข่าวว่า ได้มีการเรียกประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เช่น ผอ.ประชาสัมพันธ์ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผอ.อสมท.และตัวแทนจากหน่วยงานอื่น ซึ่งเมื่อ พล.ต.ต.พีรพันธุ์ทราบว่ามีผู้สื่อข่าวมารอทำข่าวกันเป็นจำนวนมาก จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ไปบอกในที่ประชุมว่า ติดประชุมกะทันหัน โดยได้มอบให้นายจุลยุทธ หิรัณยะวิสิต รองปลัดสำนักนายกฯ ทำหน้าที่ประธานแทน
และเมื่อผู้สื่อข่าวได้เปลี่ยนเป้าหมายไปคอยที่หน้าห้องปลัดฯเพื่อที่จะขอสัมภาษณ์ก็ได้แจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า ปลัดสำนักนายกฯออกไปแล้ว ในขณะที่รถประจำตำแหน่งยังจอดในที่จอดรถประจำ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้พล.ต.ต.พีรพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า เพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ และขณะนี้ยังไม่มีนโยบายเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ขอดูคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองฯก่อน ส่วนการเรียกประชุมผู้บริหารไม่มีอะไร เป็นแค่การพูดคุยกับผู้บริหาร 2-3 คนเท่านั้น
คณะปฎิรูปฯจัดระเบียบสื่อที่บก.ทบ.
สำหรับบรรยากาศที่ กองบัญชาการกองทัพบก ก็ได้เปิดให้รถยนต์ของ ข้าราชการ รวมทั้งรถยนต์ของสื่อมวลชนสามารถผ่านเข้า-ออกได้ตามปกติ โดยมีการตรวจค้นอย่างเข้มงวดเพื่อรักษาความปลอดภัย ส่วนบริเวณรอบนอกของ กองบัญชาการกองทัพบกนั้น ก็มีสื่อมวลชนไทยและจากสำนักข่าวต่างประเทศมาเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
พันเอกเสมอภาค สง่าเมือง ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพบก ได้ชี้แจ้งกับสื่อมวลชน ถึงระเบียบปฏิบัติและกรอบการทำงานของสื่อมวลชน ตามคำสั่งของของคณะปฏิรูปการปกครองฯ ว่า ได้กำหนดให้เฉพาะสื่อมวลชนประจำสายทหารที่มีบัตรประจำตัวสื่อมวลชน ที่ออกโดยกองบัญชาการกองทัพบกเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาทำข่าวภายในกองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.)ได้ โดยจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัดคือ ให้อยู่ในสถานที่ที่กำหนด และจะออกไปทำข่าวได้เฉพาะเมื่อมีการแจ้งจากเจ้าหน้าที่ รวมถึงกรณีการแถลงข่าวจะต้องมีนายทหารนำไปยังห้องแถลงที่จัดไว้เท่านั้น เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการดูแลรรักษาความปลอดภัย