xs
xsm
sm
md
lg

รู้อดีต เข้าใจปัจจุบัน มุ่งสู่อนาคต (1)

เผยแพร่:   โดย: อมร อมรรัตนานนท์

คืนก่อน ประมาณ 19.00 น.เศษ ขณะนั่งกินข้าวกับพี่น้องผองเพื่อน ที่ร้านประจำแห่งหนึ่ง โทรศัพท์สายแรกเข้ามาเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง ที่ผมเคารพรัก ซึ่งเคยรับผิดชอบให้ที่พักพิง ในยามที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เสี่ยงตาย

ผู้เฒ่า ปกติจะไม่ติดต่อ หากไม่มีกิจที่จำเป็น

คำพูด ไม่กี่ประโยค “เกาะติดสถานการณ์ให้ดี กำลังจะมีการรัฐประหาร ดูแลตัวเองอย่าประมาท”

ขณะที่กำลังจะถามว่าฝ่ายไหน เป็นคนทำ สายก็หลุดไป

หลังจากนั้น ก็มีสายเข้ามา นับครั้งไม่ถ้วน มีทั้งโทร.มาถามข่าวการรัฐประหาร และโทร.มาแจ้งข่าวด้วยความห่วงใย

เพื่อนๆ ทุกคน ก็อยู่ในสภาพเดียวกัน

พนักงานที่ทำหน้าที่คอยบริการ ถูกขอร้องให้คอยอยู่ข้างนอก พวกเราจะดูแลกันเอง

บนสถานการณ์ และข้อมูล จากการตรวจสอบ ค่อนข้างสับสน

เราประเมินจากข้อมูลทุกสาย นำมาร้อยเรียง สรุปตรงกันว่า ขณะที่สถานการณ์การรัฐประหาร มีความพยามที่จะทำจากทั้งสองฝ่าย ขณะที่ดุลกำลังยังก้ำกึ่ง เวลาขณะนั้น ยังไม่มีฝ่ายไหนได้เปรียบ และฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายกุมชัยชนะเด็ดขาด

เราจึงตัดสินใจสลายวง และนัดหมายติดต่อกันภายหลัง โดยกำชับว่าทุกคนควรเปลี่ยนที่พัก

ไม่ใช่ขี้ขลาด ตาขาว แต่มันเป็นกฎกติกา ที่เราไม่ประมาท

ในขณะที่ยังกุมสภาพส่วนทั้งหมดได้ เราจะต้องไม่ให้เกิดความโน้มเอียงประเมินฝ่ายตรงข้ามต่ำเกินไป


ต่อปัญหาการประเมินสถานการณ์ เรามีบทเรียนที่ยิ่งใหญ่

มันเป็นบทเรียนที่แลกมาด้วยเลือด

ยังจำได้ไหม?

เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

ขณะที่นักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนที่รักชาติ รักประชาธิปไตย ลุกขึ้นมาปกป้องประชาธิปไตยของประชาชน

พวกเราใช้การชุมนุมกดดันให้รัฐบาลเสนีย์ ปราโมช จัดการอย่างเด็ดขาด กับทรราชที่แอบเข้ามาในประเทศ โดยอาศัยผ้าเหลืองห่อหุ้มซากที่เน่าเปื่อย น่าขยะแขยง เพียงเพื่อหวังจะมาฟื้นอำนาจเผด็จการ และทวงทรัพย์สมบัติที่โกงกินบ้านเมืองคืน

ด้วยความอ่อนแอปวกเปียกของรัฐบาลเสนีย์ พวกเราให้ฉายาว่า เป็นรัฐบาลมะเขือเผา

ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกับประชาชน

ฝ่ายขวาจัดจึงร่วมมือกับทรราชถนอม โหมกระแส โฆษณาชวนเชื่อ ปลุกปั่น ยุยง ใส่ร้าย ป้ายสี ฝ่ายประชาชน

หนึ่งในบรรดาเหล่าสมุนทรราช ที่มีหน้าที่ทาสี ทำดำให้เป็นขาว ทำขาวให้เป็นดำ คือ นายชมพู่ จมูกบาน ซึ่งกำลังหนีหัวซุกหัวซุน อยู่ในวันนี้

พวกเราประมาทเกินไปครับ

เราไม่เชื่อว่า ความรุนแรงจะเกิดขึ้นมากมายมหาศาลถึงปานนั้น

ภาพยังติดตา

คนไทยด้วยกัน เอาไม้แหลมตอกลงไปอกของนักศึกษา

คนไทยด้วยกัน จับเอานักศึกษาไปแขวนคอ

คนไทยด้วยกัน เอาศพที่ถูกยิง บางคนยังไม่ตายมากองรวมบนพื้นถนน แล้วเอายางรถยนต์ทับราดน้ำมันเผา

ฯลฯ


ไม่น่าเชื่อจริงๆครับ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว

บนใจกลางเมืองมหานคร ที่เป็นเมืองศูนย์กลางแห่งพุทธศาสนา

อีกทั้งยังอยู่ใกล้พระบรมมหาราชวัง ที่มีพระแก้วมรกตสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองประทับอยู่

ใครล่ะ จะเชื่อว่าคนไทยใจทมิฬหินชาติถึงปานนั้น

ถึงวันนี้ เราได้ข้อสรุปว่า การปลุกปั่นบนข้อมูลที่แต่งเติม เป็นเหตุให้คนขาดสติ บ้าคลั่ง จิตใจที่อ่อนโยนสามารถแปรเปลี่ยนเป็นจิตใจของสัตย์ป่าที่ดุร้าย โหดเหี้ยม

ฆ่า ได้ แม้นไม่รู้จัก ขอเพียงเชื่อว่าเป็นศัตรู


ในวันนั้น ยอมรับครับ เราประเมินฝ่ายตรงข้ามต่ำ

เราเห็นตรงกันว่า จะเกิดการปิดล้อม ยั่วยุ เพื่อสลายการชุมนุม สูงสุดคือการทำรัฐประหาร เพื่อทวงคืนอำนาจให้ทรราช

แต่เราไม่เคยคิดว่า จะมีอันธพาลที่บ้าเลือด มาทำร้ายพี่น้องเราขนาดนั้น

เราจึงไม่ได้สลายการชุมนุม

ด้านหนึ่งเราไม่อยากล้าหลังมวลชน เพราะขวัญกำใจของมวลชนฮึกเหิม และดียิ่ง


สิ่งที่เราตัดสินใจ เพื่อต่อต้านการรัฐประหาร ตอนนั้น คือ หากมีการสลายการชุมนุม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราจึงแบ่งผู้ปฏิบัติงานส่วนหนึ่งออกไปเตรียมก่อการชุมนุมที่ จุฬาลงกรณ์ฯ รามคำแหง และที่อื่นๆ ตามเงื่อนไขที่ทำได้

แต่เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ความเหี้ยมโหด ทารุณมันเกินความคาดหมาย และฝูงปีศาจที่ถูกปลุกมา ก็เพ่นพ่านเต็มมหานคร

การชุมนุมในที่ต่างๆ ที่เตรียมการไว้จึงไม่อาจจัดการชุมนุมได้

ความเสียหาย จึงเกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาล

มันคือความเจ็บปวด

มันคือบาดแผล

ยากที่จะเยียวยา

เพียงแค่คิดต่างถึงตายได้

มันเป็นบทเรียนราคาแพง ต้นทุนสูง

ที่สำคัญมันทำให้ขบวนการของฝ่ายประชาธิปไตย ต้องหยุดชะงัก ขาดช่วง และต้องใช้เวลาที่ทอดยาวออกไปอีกหลายปีในการก่อรูปสร้างใหม่


ในสถานการณ์สงคราม พึ่งระวังความโน้มเอียง 2 ด้าน

ด้านหนึ่ง อย่าพึ่งประเมินศัตรูต่ำ มันจะทำให้เราประมาท เย่อหยิ่ง ทะนงตน เห็นช้างเท่ามด

ด้านหนึ่ง อย่าประเมินศัตรูสูงเกินไป จะทำให้ขวัญกำลังใจเราตกต่ำ ท้อแท้ จนไม่อาจดำเนินกลยุทธ์ในสงครามได้

ทั้ง สองของความสุดขั้วคือเส้นทางไปสู่ความพ่ายแพ้ ความหายนะ

บทเรียนในอดีตจึงทำให้เราตื่นตัวอยู่เสมอ

คืนนั้นระหว่างเดินทาง ภาพเก่าๆ พรั่งพรู ผุดขึ้นในมโนสำนึก หลายภาพถูกนำมาร้อยเรียง

และได้ข้อสรุปว่า ประชาชนจะไม่เป็นเหยื่อใครอีก

ที่สำคัญประชาชนจะต้องเป็นฝ่ายกระทำ และกำหนดกติกาประชาธิปไตยด้วยตนเอง


เหตุการณ์วันที่ 19 เดือน 9 ปี 49

ทักษิณ ต้องพังครืนในพริบตา ก็ด้วยความโน้มเอียงสุดขั้ว

ทักษิณ พลาดอย่างไร ศุกร์หน้า จะเล่าให้ฟัง.....
กำลังโหลดความคิดเห็น