ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีมายาวนาน ไม่ใช่เพิ่งมามีในยุคนี้ แต่ที่ผู้คนเขาจี้ว่าเป็นความผิดพลาดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เต็มๆ ที่ทำให้เหตุการณ์รุนแรงและบานปลายนั้น ไม่ใช่เขาอคติ หรือจ้องหาสาเหตุที่จะด่า แต่มันมีเหตุผลรองรับชัดเจนมากมายหลายประการด้วยกัน
มาไล่เรียงกันโดยสรุปนะ
--> ปี 2544 - 2545 ท่านเห็นเป็นปัญหาอาชญากรรมธรรมดาจึงยุบ ศอ.บต., พตท. 43 ถอนทหารออกให้ตำรวจแทน การใช้วิธีการปราบอาชญากรรมทั่วไปของตำรวจ ที่มักกระทำการนอกรัฐธรรมนูญ เข้าไปแก้ไขปัญหาที่มีความละเอียดอ่อนในทุกมิติ คือต้นตอของปัญหาทั้งมวล
-->ปี 2546 ท่านเห็นเป็นโจรกระจอก
--> ปี 2546 ท่านรู้เห็นเป็นใจ หรือไม่ห้ามปราม นโยบาย "อุ้ม-ฆ่า" ใน 3 จังหวัด โดยเฉพาะในจังหวัดนราธิวาส
--> ปี 2546 ท่านยอมให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาจับฮัมบาลีในไทย
--> ปี 2546 ท่านส่งทหารไทยไปอิรัก
--> ปี 2547 ท่านปล่อยให้เกิดการ "อุ้ม-ฆ่า" สมชาย นีละไพจิตร
--> ปี 2547 - 2548 ท่านใช้น้ำลายเป็นน้ำมัน พูดจาระรานชาวบ้านที่เชื่อในปรัชญามุสลิม ระรานองค์การระหว่างประเทศ และล่าสุด ระรานเลขาธิการ OIC ไล่ให้เขากลับไปอ่านคัมภีร์อัลกุรอานใหม่
--> ปี 2547 ท่านลั่นวาจาว่าจะลงไปปักหลักทำงานอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่เป็นเดือนๆ แล้วท่านก็ตระบัดสัตย์ ไม่ไป หรือไปช้า และไปแต่ละครั้งก็ชั่วครู่ชั่วยาม ท่ามกลางกำลังอารักขาหลายพันนาย
--> ปี 2548 เดือนกันยายน ท่านไม่ไปงานศพ 2 นาวิกโยธิน ในขณะที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ท่านเลือกที่จะอยู่เปิดสนามบินสุวรรณภูมิ
--> ฯลฯ
การถอนทหารออกจากพื้นที่ 3 จังหวัด ทำให้เป็นเขตปลอดทหารเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ทำให้โจรก่อการร้ายมีเสรีในการฝึก ในการปลุกระดมชาวบ้าน และฝังแกนไว้ทุกหมู่บ้าน
การเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบในการรักษาความมั่นคงจากทหารไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด และตำรวจโดยไม่ให้ทหารเข้าไปยุ่งเกี่ยว ทำให้โจรก่อการร้ายยิ่งเข้มแข็งขึ้น
โดยภาพรวม ทหารยังอ่อนแอลงเพราะมีการนำเครือญาติที่อยู่นอกสายงานมาเป็นผู้นำเหล่าทัพ
ทหารมือปราบที่มีผลงานดีเด่นในการปราบโจร ถูกย้ายออกจากพื้นที่
สมรรถภาพด้านการข่าวของฝ่ายเราลดลง เพราะว่าไม่รู้ว่าจะโดยเจตคนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้มีการปล่อยให้มีการอุ้ม-ฆ่าคนในพื้นที่ที่เป็น "แหล่งข่าว" ของ พตท. 43 และ ศอบต. เดิม นอกจากนั้นการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) จากพลเรือนไปเป็นตำรวจ ทำให้ลดประสิทธิภาพในด้านการข่าวไป 1 ด้าน เพราะข่าวด้านลบของตำรวจที่ข่มเหงรังแกประชาชนโดยยัดข้อหา และโดยการวิสามัญฆาตกรรมต่อ "แหล่งข่าว" เดิม จะถูกปกปิด
กรณีนี้เห็นชัดเจนดังตัวอย่างที่มีผู้มาเล่าให้ผมฟัง
เมื่อนายตำรวจมาเป็น ผอ.สขช. ก็ได้ส่งสัญญาณให้ผู้บังคับการตำรวจคนหนึ่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทราบว่าเขาถูกรายงานจากเจ้าหน้าที่ สขช.ประจำจังหวัดนั้นถึงความชั่วร้าย รวมถึงการวิสามัญฆาตกรรมอดีตโจรก่อการร้ายที่ทางมาเลเซียส่งตัวมาให้ แทนที่จะดำเนินการสอบสวนนายตำรวจที่ถูกกล่าวหา
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2546 เวลาประมาณ 15.30 น. ผู้บังคับการคนนั้นได้ส่งลูกน้องเข้าไปยึดหลักฐานที่บ้านพักของเจ้าหน้าที่การข่าวที่รายงานตน พร้อมด้วยหมายศาล โดยอ้างต่อศาลว่าบุคคลที่อยู่บ้านนี้เป็นโจรก่อการร้าย และมีแนวโน้มว่าจะวิสามัญฆาตกรรมเจ้าหน้าที่การข่าว
โชคดีที่เจ้าหน้าที่คนนั้นไหวตัวทันจึงหลบหนีไปอยู่ที่ค่ายจุฬาภรณ์ ของหน่วยนาวิกโนธิน
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ เจ้าหน้าที่การข่าวของ สขช.ยุติงานทางด้านการข่าวที่เป็นจริงเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
การวิสามัญฆาตกรรมอดีตโจรก่อการร้ายซึ่งมาเลเซียส่งมาให้ ทำให้มาเลเซียไม่พอใจ และไม่ร่วมมือในการช่วยเหลือการแก้ปัญหาภาคใต้
ขวัญและกำลังใจของทหารลดลง เพราะมีการกล่าวหาว่าทหารปล้นปืนตัวเองแล้วนำไปขาย
การเปลี่ยนแปลงตัวข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดความสับสน การส่งผู้รับผิดชอบลงไปในพื้นที่หลายๆ คนทำให้ขาดเอกภาพทางความคิด และเอกภาพในการปฏิบัติ ข้าราชการทั้งการเมืองและข้าราชการประจำที่เริ่มทำงานได้ผลก็ถูกเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เริ่มต้นใหม่อยู่ตลอดเวลา
2 - 3 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนโครงสร้างและนโยบายในการปฏิบัติงาน เป็นรายวัน จนเกิดความสับสน
นอกจากนั้นยังเพิ่มความกดดันต่อประชาชนให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังโดยต่อเนื่อง เช่น การแบ่งพื้นที่เป็น 3 สี และบอกว่าพื้นที่สีแดงจะไม่ให้งบประมาณ การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการใช้คำพูดดูถูกเหยียดหยามประชาชนอยู่ตลอดเวลา
กดดันผู้ปฏิบัติงานให้เพิ่มความรุนแรงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในกรณีตากใบ!
จริงหรือไม่จริงไม่รู้ -- แต่ที่พี่น้องประชาชนในภาคใต้หลายคนเชื่อก็คือ...
มีชุดปฏิบัติการพิเศษรับคำสั่งโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี ลงไปปฏิบัติการอุ้มฆ่าผู้ที่ตำรวจเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย
เพราะมีหลักฐานอ่อน หากส่งฟ้องศาลก็จะพ้นข้อหา
การอุ้มฆ่าทนายสมชาย นีละไพจิตรหลังออกมาเปิดโปงวิธีการสอบสวนนอกรัฐธรรมนูญของตำรวจตอกย้ำความเชื่อนี้
เหมือนรัฐบาลและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เกรงว่าความเชื่อเช่นนี้ไม่จริง
นายตำรวจที่เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีทนายสมชาย นีละไพจิตร กลับมารับตำแหน่งเดิมในกองปราบอย่างรวดเร็ว ได้ออกปฏิบัติหน้าที่สำคัญ และได้รับรางวัลนายตำรวจดีเด่น
เหมือนกับเป็นการปูนบำเหน็จ!
นายกรัฐมนตรีผู้มีหน้าที่โดยตรงทำผิดพลาดเช่นนี้มาอย่างต่อเนื่อง ละทิ้งปัญหา ปล่อยให้เป็นพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ลำพังเหตุผลข้อนี้ข้อเดียวก็ร้ายแรงสุดจะยอมรับกันได้แล้ว
เหตุการณ์ครั้งล่าสุดสิ้นสุดลงไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ลงไปเยี่ยมประชาชนแทนพระองค์
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระแม่เจ้าของชาวไทย ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก ทั้งปี 2547 และปี 2548 พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานประทับที่ภาคใต้ปีละ 2 เดือน
ทรงมีพระราชเสาวนีย์ และพระราชหัตถเลขา เกี่ยวกับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อประชาชนไทยในรอบ 2 ปีมานี้รวมแล้ว 8 ครั้งใหญ่ๆ
พรุ่งนี้ - สวมใส่ "เสื้อเหลือง" คล้อง "ผ้าพันคอสีฟ้า" ไปพบกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเวลาห้าโมงเย็น
มาไล่เรียงกันโดยสรุปนะ
--> ปี 2544 - 2545 ท่านเห็นเป็นปัญหาอาชญากรรมธรรมดาจึงยุบ ศอ.บต., พตท. 43 ถอนทหารออกให้ตำรวจแทน การใช้วิธีการปราบอาชญากรรมทั่วไปของตำรวจ ที่มักกระทำการนอกรัฐธรรมนูญ เข้าไปแก้ไขปัญหาที่มีความละเอียดอ่อนในทุกมิติ คือต้นตอของปัญหาทั้งมวล
-->ปี 2546 ท่านเห็นเป็นโจรกระจอก
--> ปี 2546 ท่านรู้เห็นเป็นใจ หรือไม่ห้ามปราม นโยบาย "อุ้ม-ฆ่า" ใน 3 จังหวัด โดยเฉพาะในจังหวัดนราธิวาส
--> ปี 2546 ท่านยอมให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาจับฮัมบาลีในไทย
--> ปี 2546 ท่านส่งทหารไทยไปอิรัก
--> ปี 2547 ท่านปล่อยให้เกิดการ "อุ้ม-ฆ่า" สมชาย นีละไพจิตร
--> ปี 2547 - 2548 ท่านใช้น้ำลายเป็นน้ำมัน พูดจาระรานชาวบ้านที่เชื่อในปรัชญามุสลิม ระรานองค์การระหว่างประเทศ และล่าสุด ระรานเลขาธิการ OIC ไล่ให้เขากลับไปอ่านคัมภีร์อัลกุรอานใหม่
--> ปี 2547 ท่านลั่นวาจาว่าจะลงไปปักหลักทำงานอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่เป็นเดือนๆ แล้วท่านก็ตระบัดสัตย์ ไม่ไป หรือไปช้า และไปแต่ละครั้งก็ชั่วครู่ชั่วยาม ท่ามกลางกำลังอารักขาหลายพันนาย
--> ปี 2548 เดือนกันยายน ท่านไม่ไปงานศพ 2 นาวิกโยธิน ในขณะที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ท่านเลือกที่จะอยู่เปิดสนามบินสุวรรณภูมิ
--> ฯลฯ
การถอนทหารออกจากพื้นที่ 3 จังหวัด ทำให้เป็นเขตปลอดทหารเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ทำให้โจรก่อการร้ายมีเสรีในการฝึก ในการปลุกระดมชาวบ้าน และฝังแกนไว้ทุกหมู่บ้าน
การเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบในการรักษาความมั่นคงจากทหารไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด และตำรวจโดยไม่ให้ทหารเข้าไปยุ่งเกี่ยว ทำให้โจรก่อการร้ายยิ่งเข้มแข็งขึ้น
โดยภาพรวม ทหารยังอ่อนแอลงเพราะมีการนำเครือญาติที่อยู่นอกสายงานมาเป็นผู้นำเหล่าทัพ
ทหารมือปราบที่มีผลงานดีเด่นในการปราบโจร ถูกย้ายออกจากพื้นที่
สมรรถภาพด้านการข่าวของฝ่ายเราลดลง เพราะว่าไม่รู้ว่าจะโดยเจตคนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้มีการปล่อยให้มีการอุ้ม-ฆ่าคนในพื้นที่ที่เป็น "แหล่งข่าว" ของ พตท. 43 และ ศอบต. เดิม นอกจากนั้นการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) จากพลเรือนไปเป็นตำรวจ ทำให้ลดประสิทธิภาพในด้านการข่าวไป 1 ด้าน เพราะข่าวด้านลบของตำรวจที่ข่มเหงรังแกประชาชนโดยยัดข้อหา และโดยการวิสามัญฆาตกรรมต่อ "แหล่งข่าว" เดิม จะถูกปกปิด
กรณีนี้เห็นชัดเจนดังตัวอย่างที่มีผู้มาเล่าให้ผมฟัง
เมื่อนายตำรวจมาเป็น ผอ.สขช. ก็ได้ส่งสัญญาณให้ผู้บังคับการตำรวจคนหนึ่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทราบว่าเขาถูกรายงานจากเจ้าหน้าที่ สขช.ประจำจังหวัดนั้นถึงความชั่วร้าย รวมถึงการวิสามัญฆาตกรรมอดีตโจรก่อการร้ายที่ทางมาเลเซียส่งตัวมาให้ แทนที่จะดำเนินการสอบสวนนายตำรวจที่ถูกกล่าวหา
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2546 เวลาประมาณ 15.30 น. ผู้บังคับการคนนั้นได้ส่งลูกน้องเข้าไปยึดหลักฐานที่บ้านพักของเจ้าหน้าที่การข่าวที่รายงานตน พร้อมด้วยหมายศาล โดยอ้างต่อศาลว่าบุคคลที่อยู่บ้านนี้เป็นโจรก่อการร้าย และมีแนวโน้มว่าจะวิสามัญฆาตกรรมเจ้าหน้าที่การข่าว
โชคดีที่เจ้าหน้าที่คนนั้นไหวตัวทันจึงหลบหนีไปอยู่ที่ค่ายจุฬาภรณ์ ของหน่วยนาวิกโนธิน
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ เจ้าหน้าที่การข่าวของ สขช.ยุติงานทางด้านการข่าวที่เป็นจริงเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
การวิสามัญฆาตกรรมอดีตโจรก่อการร้ายซึ่งมาเลเซียส่งมาให้ ทำให้มาเลเซียไม่พอใจ และไม่ร่วมมือในการช่วยเหลือการแก้ปัญหาภาคใต้
ขวัญและกำลังใจของทหารลดลง เพราะมีการกล่าวหาว่าทหารปล้นปืนตัวเองแล้วนำไปขาย
การเปลี่ยนแปลงตัวข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดความสับสน การส่งผู้รับผิดชอบลงไปในพื้นที่หลายๆ คนทำให้ขาดเอกภาพทางความคิด และเอกภาพในการปฏิบัติ ข้าราชการทั้งการเมืองและข้าราชการประจำที่เริ่มทำงานได้ผลก็ถูกเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เริ่มต้นใหม่อยู่ตลอดเวลา
2 - 3 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนโครงสร้างและนโยบายในการปฏิบัติงาน เป็นรายวัน จนเกิดความสับสน
นอกจากนั้นยังเพิ่มความกดดันต่อประชาชนให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังโดยต่อเนื่อง เช่น การแบ่งพื้นที่เป็น 3 สี และบอกว่าพื้นที่สีแดงจะไม่ให้งบประมาณ การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการใช้คำพูดดูถูกเหยียดหยามประชาชนอยู่ตลอดเวลา
กดดันผู้ปฏิบัติงานให้เพิ่มความรุนแรงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในกรณีตากใบ!
จริงหรือไม่จริงไม่รู้ -- แต่ที่พี่น้องประชาชนในภาคใต้หลายคนเชื่อก็คือ...
มีชุดปฏิบัติการพิเศษรับคำสั่งโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี ลงไปปฏิบัติการอุ้มฆ่าผู้ที่ตำรวจเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย
เพราะมีหลักฐานอ่อน หากส่งฟ้องศาลก็จะพ้นข้อหา
การอุ้มฆ่าทนายสมชาย นีละไพจิตรหลังออกมาเปิดโปงวิธีการสอบสวนนอกรัฐธรรมนูญของตำรวจตอกย้ำความเชื่อนี้
เหมือนรัฐบาลและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เกรงว่าความเชื่อเช่นนี้ไม่จริง
นายตำรวจที่เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีทนายสมชาย นีละไพจิตร กลับมารับตำแหน่งเดิมในกองปราบอย่างรวดเร็ว ได้ออกปฏิบัติหน้าที่สำคัญ และได้รับรางวัลนายตำรวจดีเด่น
เหมือนกับเป็นการปูนบำเหน็จ!
นายกรัฐมนตรีผู้มีหน้าที่โดยตรงทำผิดพลาดเช่นนี้มาอย่างต่อเนื่อง ละทิ้งปัญหา ปล่อยให้เป็นพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ลำพังเหตุผลข้อนี้ข้อเดียวก็ร้ายแรงสุดจะยอมรับกันได้แล้ว
เหตุการณ์ครั้งล่าสุดสิ้นสุดลงไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ลงไปเยี่ยมประชาชนแทนพระองค์
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระแม่เจ้าของชาวไทย ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก ทั้งปี 2547 และปี 2548 พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานประทับที่ภาคใต้ปีละ 2 เดือน
ทรงมีพระราชเสาวนีย์ และพระราชหัตถเลขา เกี่ยวกับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อประชาชนไทยในรอบ 2 ปีมานี้รวมแล้ว 8 ครั้งใหญ่ๆ
พรุ่งนี้ - สวมใส่ "เสื้อเหลือง" คล้อง "ผ้าพันคอสีฟ้า" ไปพบกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเวลาห้าโมงเย็น