สำหรับคุณทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี คิดจะกลับมามีอำนาจทางการเมืองคงเดิม คงจะเป็นไม่ได้ ทั้งนี้คุณทักษิณ ประมาท ไม่เชื่อพระสงฆ์องค์เจ้าที่แนะนำด้วยธรรม และใจบริสุทธิ์ ทั้งนี้มีเหตุปัจจัยหลักๆ อยู่ 2 - 3 ประการ คือ
(1) คุณทักษิณ ไม่เชื่อว่าสภาพการณ์ที่แท้จริงประเทศไทยเป็นระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา แต่กลับเข้าใจว่า การเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย จึงทำให้เห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด ฯลฯ มาตลอด นี่เป็นอุทาหรณ์อย่างดีที่สุดให้กับผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ที่วาดฝันจะเป็นนายกรัฐมนตรี
(2) คุณทักษิณ ได้รับการหล่อหลอมตั้งแต่เล็กจนถึงปัจจุบันภายใต้ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา จึงมีลักษณะ "นกไม่รู้จักฟ้า ปลาไม่รู้จักน้ำ หนอนไม่รู้จักคูถที่ดูดกิน"
(3) คุณทักษิณ มีที่ปรึกษาส่วนใหญ่ เชื่อมั่น ศรัทธาในลัทธิมาร์กซ์ (Marxism) ลัทธิที่เชื่อว่าความขัดแย้ง (conflict) เป็นสัจธรรมสัมบูรณ์ (Absolute truth) พวกเขาได้แนะนำให้คุณทักษิณทำอะไรผิดๆ ให้มีความขัดแย้งมากขึ้นๆ โดยหวังจะให้มีการเปลี่ยนแปลงตามความเชื่อ พร้อมๆ กับผลักดันให้คุณทักษิณ มีความคิดมักใหญ่ใฝ่สูง
ทั้งๆ ความขัดแย้งเกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราวเมื่อมีความเห็นผิด (กิเลสครอบงำ) เป็นเพียงลักษณะหนึ่งในสังขาร เป็นเพียงปรากฏการณ์ เป็นลักษณะมายา จึงเป็นเพียงสัจธรรมสัมพันธ์ (Relative truth) เท่านั้น สรุปว่าพวกเขาคิดผิด เพราะนี่ไม่ใช่ประเทศในยุโรปหรือประเทศที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ พวกเขาลืมไปว่าไทยมีพระพุทธศาสนา และมีพระมหากษัตริย์ทรงคุณธรรม
ได้มีข้อเสนอใหม่มาเป็นลำดับ สำหรับทางออกที่ดีที่สุดของประเทศ สอดคล้องกับเอกลักษณ์ของประเทศไทยที่มั่นคงในอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และแก่นธรรมอันสูงสุด ได้ประยุกต์เป็น หลักการปกครอง (Principle of Government) เรียกว่าธรรมาธิปไตย 9
1. หลักธรรมาธิปไตย (The Principle of Dhamm?dhipateya) (Supremacy of the Dharma)
สภาวธรรมาธิปไตยพบได้ด้วยการอธิษฐานจิตอุทิศตนเพื่อมนุษยชาติตามแบบอย่างพระศาสดา และการปฏิบัติพระกรรมฐานวิปัสสนาญาณ รู้แจ้ง สิ้นอุปาทาน ย่อมอิสระจากสังขารทั้งปวง
พระพุทธเจ้าตรัสให้ภิกษุทั้งหลายฟังเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองให้เป็นธรรม โดยให้ถือธรรมาธิปไตย และให้ภิกษุนำไปสอนเผยแผ่สืบต่อไม่ให้ขาดสาย (ที.ปา. 11/35) ความย่อว่า ธรรมาธิปไตย (1) จงอาศัยธรรมเท่านั้น (2) สักการะธรรม (3) ทำความเคารพธรรม (4) นับถือธรรม (5) บูชาธรรม (6) ยำเกรงธรรม (7) มีธรรมเป็นธงชัย (8) มีธรรมเป็นยอด (9) มีธรรมเป็นใหญ่... (ธรรมาธิปไตย เป็นเอกภาพของสรรพสิ่ง)
2. หลักพระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ (The Principle of the King as the head of State or the King as the head of the Kingdom of Thailand) ประเทศไทยทุกยุคทุกสมัยแต่โบราณกาลมา มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่ว่าสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเมือง และทางสังคมของประเทศไทยจะเป็นไปในทางทิศใด พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐคู่กับปวงชนชาติไทยเสมอมา และได้พัฒนาขึ้นเป็นอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการสร้างสรรค์สู่หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันยิ่งใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระราชสมภารเจ้า พระผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ทรงปฏิบัติธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ และทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นเอกภาพหรือศูนย์รวมของชนในชาติ
3. หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (The principle of the Popular Sovereignty) ในการปกครองแบบสมัยใหม่ และรัฐสมัยใหม่ที่เรียกว่ารัฐชาติ (Nation state) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงสถาปนาความเป็นรัฐชาติไทยขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ (พ.ศ. 2434) เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่น ความมั่นคงให้เกิดเอกภาพขึ้นแก่ประเทศ อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองของประเทศหรือรัฐ แบ่งออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่
(1) อำนาจอธิปไตยด้านชาติ คืออำนาจในการปกครองประเทศของตนอย่างอิสระ ไม่ถูกครอบงำจากต่างประเทศ เป็นอำนาจที่สัมพันธ์อย่างอิสระระหว่างรัฐหรือประเทศต่างๆ
(2) อำนาจอธิปไตยของปวงชน อำนาจอธิปไตยด้านชาติจะเข็มแข็งหรือไม่เพียงไรขึ้นอยู่กับอำนาจอธิปไตยของปวงชน อำนาจอธิปไตยของปวงชนเข้มแข็ง อำนาจอธิปไตยด้านชาติก็จะเข็มแข็งด้วยอย่างเป็นเหตุเป็นผล เพื่อให้ประเทศชาติเข้มแข็ง ไม่ถูกแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจได้โดยง่าย และนานาประเทศต้องเกรงขาม ในความเป็นเอกภาพของประชาชนในชาติ
ประเทศไทย ผู้ไม่จบปริญญาตรี ไม่มีอำนาจอธิปไตย ทุกวันนี้อำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อยเพียงหยิบมือเดียว จึงทำให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติอ่อนแอ ถูกแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจ และประเทศไทยจะเต็มไปด้วยนักการเมืองฉ้อฉล ขี้โกง เต็มบ้านเต็มเมือง
ความสัมพันธ์ระหว่างประมุขแห่งรัฐกับอำนาจอธิปไตยของปวงชน ย่อมเป็นไปในทิศทางเดียวกันเป็นหนึ่งเดียวกัน คือเป็นลักษณะทั่วไป (Comprehensiveness) คือครอบคลุมองค์รวมทั้งประเทศ และมีความเด็ดขาด (Absoluteness) มีความถาวร (Permanence) แบ่งแยกมิได้ (Indivisibility) และมีลักษณะทั่วไป (General power) คือครอบคลุมอำนาจอื่นที่ต่ำกว่าอำนาจอธิปไตยทั้งหมด เช่น อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ อันเป็นอำนาจลักษณะเฉพาะที่แตกต่างหลากหลาย และเป็นอำนาจชั่วคราวตามวาระ เป็นต้น
ประมุขแห่งรัฐมีความชอบธรรม ในการใช้อำนาจอธิปไตยเพื่อแก้ไขเหตุวิกฤตสำคัญๆ ของชาติ ซึ่งองค์กรอำนาจอื่นไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น อำนาจในการยุติการจลาจลทางการเมือง อำนาจในการยุติสงครามกลางเมืองหรือสงครามระหว่างประเทศ และการใช้อำนาจในการแก้ไขเหตุวิกฤตแห่งชาติ ทั้งนี้โดยองค์ประมุขแห่งรัฐทรงใช้อำนาจในลักษณะเป็นธรรมสูงสุด หรือธรรมาธิปไตย โดยคำนึงถึงความมั่นคงแห่งชาติเป็นสิ่งสูงสุด
เอกภาพของอำนาจอธิปไตยของปวงชนตามลักษณะพิเศษของประเทศไทย ได้รวมศูนย์อยู่ที่พระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ (แห่งราชอาณาจักร) นั่นเอง
4. หลักเสรีภาพของบุคคล (The Principle of Freedom of person) เป็นมิติหนึ่งของกฎธรรมชาติ หมายถึงเสรีภาพบริบูรณ์ของบุคคล คือเสรีภาพทางความคิด เสรีภาพทางการเมืองและเสรีภาพส่วนบุคคลเอกชน เป็นเสรีภาพที่บุคคล นิติบุคคล และรัฐ ไม่ควรละเมิดเสรีภาพของประชาชน (ทุกวันนี้ผู้ไม่จบปริญญาตรีค่อนประเทศไม่มีเสรีภาพทางการเมือง ก็ยังจะอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย)
5. หลักความเสมอภาค (The Principle of Equality) เป็นมิติหนึ่งของกฎธรรมชาติ หมายถึง (1) ความเสมอภาคทางการเมือง คือ ความเสมอภาคในการแสดงพฤติกรรม ต่อสังคมในการอุทิศตนเพื่อประเทศชาติ อันเป็นกิจกรรมกุศลสาธารณะ (2) ความเสมอภาคทางกฎหมาย (3) ความเสมอภาคทางโอกาส (ทุกวันนี้ผู้ไม่จบปริญญาตรีไม่มีความเสมอภาคทั้ง 3 ด้านดังกล่าว และตกเป็นประชาชนชั้นสอง ดุจคนต่างด้าว ก็ยังจะบิดเบือนว่าเป็นประชาธิปไตยอยู่อีกหรือ)
6. หลักภราดรภาพ (The Principle of Fraternity) เป็นมิติหนึ่งของกฎธรรมชาติ คือการถือว่ามวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งผองเป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้อยที ถ้อยอาศัย บนรากฐานของความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และการให้โอกาส ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะทางอาชีพ วุฒิการศึกษา ศาสนา ความเชื่อต่างๆ (ทุกวันนี้สังคมไทยขาดความเป็นภราดรภาพเพราะระบอบการเมืองเผด็จการ แต่พวกเขาไม่ยอมรับความจริง)
7. หลักเอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม (The Principle of Unity) เป็นมิติหนึ่งของกฎธรรมชาติ การถือหลักเอกภาพของความหลากหลาย (Unity of diversity) ความเป็นเอกภาพคือความสามัคคีธรรมและความสันติสุขของคนในชาติ บนความแตกต่างทางวุฒิการศึกษา อาชีพ ศาสนา ลัทธิฯ ลัทธิการเมือง ความเชื่อ ค่านิยม จะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมได้นั้น ก็ต่อเมื่อประเทศนั้นมีหลักการปกครองที่เป็นธรรม ถือธรรมเป็นใหญ่ คือ ธรรมาธิปไตย 9 เท่านั้น
8. หลักดุลยภาพ (The Principle of Balance) เป็นอีกมิติหนึ่งของกฎธรรมชาติ บนความสัมพันธ์ทั้งองค์รวมหรือทั้งระบบในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด การตั้งอยู่ ทรงอยู่ ดำรงอยู่อย่างดุลยภาพได้นั้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างด้านเอกภาพมีลักษณะแผ่กระจายกับด้านความแตกต่างหลากหลาย มีลักษณะรวมศูนย์ จึงมีลักษณะพระธรรมจักร พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นความถูกต้อง หรือสัมมาทิฏฐิ (Right view) เกิดขึ้นได้จากการตั้งปณิธานปรารถนาอย่างแรงกล้า แน่วแน่ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลมนุษยชาติ จะเป็นพลังผลักดันให้เกิดความเพียรในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา (Insight Meditation) กระทั่งรู้แจ้งสภาวธรรมตามเป็นจริง อันพิสูจน์ได้ซึ่งดำรงอยู่แล้วในมนุษยชาติทุกคน จึงไม่บังคับให้เชื่อ
(9) หลักนิติธรรม (The Principle of Rule of law) หลักกฎหมายหรือหลักนิติธรรมอันเป็นหลัก เป็นกฎเกณฑ์แห่งความยุติธรรม ในอดีตยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์นับแต่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงถือหลักทศพิธราชธรรมมาประยุกต์ใช้ปกครองบ้านเมืองสืบต่อกันเรื่อยมาโดยพระมหากษัตริย์
ปัจจุบันจะมีหลักการ รูปแบบและวิธีการปกครองบ้านเมืองสมัยใหม่ จำเป็นอย่างยิ่งยวดในความเป็นธรรมของปวงชนในทุกมิติ และหลักนิติธรรมนี้กำหนดขึ้นจากหลักคำสอนพระพุทธเจ้าและกฎธรรมชาติ โดยได้คล้องกับลักษณะพิเศษของประเทศไทย คือ ชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ คือ หลักธรรมาธิปไตย 9 ดังกล่าวนี้
ทั้งนี้ ทั้งหลักนิติธรรมและหลักการปกครองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงเป็นหลักที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงตามกฎธรรมชาติ สามารถนำไปใช้ทั้งบุคคลและองค์กรนั้นๆ จะเกิดความมั่นคงเจริญก้าวหน้าแบบยั่งยืน
ในการแก้เหตุวิกฤตชาติง่ายนิดเดียว โดยพระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 คือการสถาปนาหลักความมั่นคงแห่งชาติอย่างยั่งยืน
ลำดับต่อมา ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติต่างๆ คำสั่ง ประกาศ กฎกระทรวง ฯลฯ ให้สอดคล้องไม่ขัดต่อหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 และการจัดความสัมพันธ์ภายในชาติในทุกมิติให้ถูกต้องเป็นธรรม เพียงเท่านี้ ประเทศไทยก็จะผ่านพ้นจากเหตุแห่งความชั่วร้ายของประเทศลงโดยพลัน เริ่มนับหนึ่งสู่ความศิวิไลซ์อย่างยิ่งใหญ่ สู่อารยธรรมใหม่ ก้าวไกลกว่าประเทศอื่นใดในโลก
(1) คุณทักษิณ ไม่เชื่อว่าสภาพการณ์ที่แท้จริงประเทศไทยเป็นระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา แต่กลับเข้าใจว่า การเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย จึงทำให้เห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด ฯลฯ มาตลอด นี่เป็นอุทาหรณ์อย่างดีที่สุดให้กับผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ที่วาดฝันจะเป็นนายกรัฐมนตรี
(2) คุณทักษิณ ได้รับการหล่อหลอมตั้งแต่เล็กจนถึงปัจจุบันภายใต้ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา จึงมีลักษณะ "นกไม่รู้จักฟ้า ปลาไม่รู้จักน้ำ หนอนไม่รู้จักคูถที่ดูดกิน"
(3) คุณทักษิณ มีที่ปรึกษาส่วนใหญ่ เชื่อมั่น ศรัทธาในลัทธิมาร์กซ์ (Marxism) ลัทธิที่เชื่อว่าความขัดแย้ง (conflict) เป็นสัจธรรมสัมบูรณ์ (Absolute truth) พวกเขาได้แนะนำให้คุณทักษิณทำอะไรผิดๆ ให้มีความขัดแย้งมากขึ้นๆ โดยหวังจะให้มีการเปลี่ยนแปลงตามความเชื่อ พร้อมๆ กับผลักดันให้คุณทักษิณ มีความคิดมักใหญ่ใฝ่สูง
ทั้งๆ ความขัดแย้งเกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราวเมื่อมีความเห็นผิด (กิเลสครอบงำ) เป็นเพียงลักษณะหนึ่งในสังขาร เป็นเพียงปรากฏการณ์ เป็นลักษณะมายา จึงเป็นเพียงสัจธรรมสัมพันธ์ (Relative truth) เท่านั้น สรุปว่าพวกเขาคิดผิด เพราะนี่ไม่ใช่ประเทศในยุโรปหรือประเทศที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ พวกเขาลืมไปว่าไทยมีพระพุทธศาสนา และมีพระมหากษัตริย์ทรงคุณธรรม
ได้มีข้อเสนอใหม่มาเป็นลำดับ สำหรับทางออกที่ดีที่สุดของประเทศ สอดคล้องกับเอกลักษณ์ของประเทศไทยที่มั่นคงในอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และแก่นธรรมอันสูงสุด ได้ประยุกต์เป็น หลักการปกครอง (Principle of Government) เรียกว่าธรรมาธิปไตย 9
1. หลักธรรมาธิปไตย (The Principle of Dhamm?dhipateya) (Supremacy of the Dharma)
สภาวธรรมาธิปไตยพบได้ด้วยการอธิษฐานจิตอุทิศตนเพื่อมนุษยชาติตามแบบอย่างพระศาสดา และการปฏิบัติพระกรรมฐานวิปัสสนาญาณ รู้แจ้ง สิ้นอุปาทาน ย่อมอิสระจากสังขารทั้งปวง
พระพุทธเจ้าตรัสให้ภิกษุทั้งหลายฟังเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองให้เป็นธรรม โดยให้ถือธรรมาธิปไตย และให้ภิกษุนำไปสอนเผยแผ่สืบต่อไม่ให้ขาดสาย (ที.ปา. 11/35) ความย่อว่า ธรรมาธิปไตย (1) จงอาศัยธรรมเท่านั้น (2) สักการะธรรม (3) ทำความเคารพธรรม (4) นับถือธรรม (5) บูชาธรรม (6) ยำเกรงธรรม (7) มีธรรมเป็นธงชัย (8) มีธรรมเป็นยอด (9) มีธรรมเป็นใหญ่... (ธรรมาธิปไตย เป็นเอกภาพของสรรพสิ่ง)
2. หลักพระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ (The Principle of the King as the head of State or the King as the head of the Kingdom of Thailand) ประเทศไทยทุกยุคทุกสมัยแต่โบราณกาลมา มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่ว่าสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเมือง และทางสังคมของประเทศไทยจะเป็นไปในทางทิศใด พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐคู่กับปวงชนชาติไทยเสมอมา และได้พัฒนาขึ้นเป็นอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการสร้างสรรค์สู่หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันยิ่งใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระราชสมภารเจ้า พระผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ทรงปฏิบัติธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ และทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นเอกภาพหรือศูนย์รวมของชนในชาติ
3. หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (The principle of the Popular Sovereignty) ในการปกครองแบบสมัยใหม่ และรัฐสมัยใหม่ที่เรียกว่ารัฐชาติ (Nation state) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงสถาปนาความเป็นรัฐชาติไทยขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ (พ.ศ. 2434) เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่น ความมั่นคงให้เกิดเอกภาพขึ้นแก่ประเทศ อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองของประเทศหรือรัฐ แบ่งออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่
(1) อำนาจอธิปไตยด้านชาติ คืออำนาจในการปกครองประเทศของตนอย่างอิสระ ไม่ถูกครอบงำจากต่างประเทศ เป็นอำนาจที่สัมพันธ์อย่างอิสระระหว่างรัฐหรือประเทศต่างๆ
(2) อำนาจอธิปไตยของปวงชน อำนาจอธิปไตยด้านชาติจะเข็มแข็งหรือไม่เพียงไรขึ้นอยู่กับอำนาจอธิปไตยของปวงชน อำนาจอธิปไตยของปวงชนเข้มแข็ง อำนาจอธิปไตยด้านชาติก็จะเข็มแข็งด้วยอย่างเป็นเหตุเป็นผล เพื่อให้ประเทศชาติเข้มแข็ง ไม่ถูกแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจได้โดยง่าย และนานาประเทศต้องเกรงขาม ในความเป็นเอกภาพของประชาชนในชาติ
ประเทศไทย ผู้ไม่จบปริญญาตรี ไม่มีอำนาจอธิปไตย ทุกวันนี้อำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อยเพียงหยิบมือเดียว จึงทำให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติอ่อนแอ ถูกแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจ และประเทศไทยจะเต็มไปด้วยนักการเมืองฉ้อฉล ขี้โกง เต็มบ้านเต็มเมือง
ความสัมพันธ์ระหว่างประมุขแห่งรัฐกับอำนาจอธิปไตยของปวงชน ย่อมเป็นไปในทิศทางเดียวกันเป็นหนึ่งเดียวกัน คือเป็นลักษณะทั่วไป (Comprehensiveness) คือครอบคลุมองค์รวมทั้งประเทศ และมีความเด็ดขาด (Absoluteness) มีความถาวร (Permanence) แบ่งแยกมิได้ (Indivisibility) และมีลักษณะทั่วไป (General power) คือครอบคลุมอำนาจอื่นที่ต่ำกว่าอำนาจอธิปไตยทั้งหมด เช่น อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ อันเป็นอำนาจลักษณะเฉพาะที่แตกต่างหลากหลาย และเป็นอำนาจชั่วคราวตามวาระ เป็นต้น
ประมุขแห่งรัฐมีความชอบธรรม ในการใช้อำนาจอธิปไตยเพื่อแก้ไขเหตุวิกฤตสำคัญๆ ของชาติ ซึ่งองค์กรอำนาจอื่นไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น อำนาจในการยุติการจลาจลทางการเมือง อำนาจในการยุติสงครามกลางเมืองหรือสงครามระหว่างประเทศ และการใช้อำนาจในการแก้ไขเหตุวิกฤตแห่งชาติ ทั้งนี้โดยองค์ประมุขแห่งรัฐทรงใช้อำนาจในลักษณะเป็นธรรมสูงสุด หรือธรรมาธิปไตย โดยคำนึงถึงความมั่นคงแห่งชาติเป็นสิ่งสูงสุด
เอกภาพของอำนาจอธิปไตยของปวงชนตามลักษณะพิเศษของประเทศไทย ได้รวมศูนย์อยู่ที่พระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ (แห่งราชอาณาจักร) นั่นเอง
4. หลักเสรีภาพของบุคคล (The Principle of Freedom of person) เป็นมิติหนึ่งของกฎธรรมชาติ หมายถึงเสรีภาพบริบูรณ์ของบุคคล คือเสรีภาพทางความคิด เสรีภาพทางการเมืองและเสรีภาพส่วนบุคคลเอกชน เป็นเสรีภาพที่บุคคล นิติบุคคล และรัฐ ไม่ควรละเมิดเสรีภาพของประชาชน (ทุกวันนี้ผู้ไม่จบปริญญาตรีค่อนประเทศไม่มีเสรีภาพทางการเมือง ก็ยังจะอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย)
5. หลักความเสมอภาค (The Principle of Equality) เป็นมิติหนึ่งของกฎธรรมชาติ หมายถึง (1) ความเสมอภาคทางการเมือง คือ ความเสมอภาคในการแสดงพฤติกรรม ต่อสังคมในการอุทิศตนเพื่อประเทศชาติ อันเป็นกิจกรรมกุศลสาธารณะ (2) ความเสมอภาคทางกฎหมาย (3) ความเสมอภาคทางโอกาส (ทุกวันนี้ผู้ไม่จบปริญญาตรีไม่มีความเสมอภาคทั้ง 3 ด้านดังกล่าว และตกเป็นประชาชนชั้นสอง ดุจคนต่างด้าว ก็ยังจะบิดเบือนว่าเป็นประชาธิปไตยอยู่อีกหรือ)
6. หลักภราดรภาพ (The Principle of Fraternity) เป็นมิติหนึ่งของกฎธรรมชาติ คือการถือว่ามวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งผองเป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้อยที ถ้อยอาศัย บนรากฐานของความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และการให้โอกาส ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะทางอาชีพ วุฒิการศึกษา ศาสนา ความเชื่อต่างๆ (ทุกวันนี้สังคมไทยขาดความเป็นภราดรภาพเพราะระบอบการเมืองเผด็จการ แต่พวกเขาไม่ยอมรับความจริง)
7. หลักเอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม (The Principle of Unity) เป็นมิติหนึ่งของกฎธรรมชาติ การถือหลักเอกภาพของความหลากหลาย (Unity of diversity) ความเป็นเอกภาพคือความสามัคคีธรรมและความสันติสุขของคนในชาติ บนความแตกต่างทางวุฒิการศึกษา อาชีพ ศาสนา ลัทธิฯ ลัทธิการเมือง ความเชื่อ ค่านิยม จะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมได้นั้น ก็ต่อเมื่อประเทศนั้นมีหลักการปกครองที่เป็นธรรม ถือธรรมเป็นใหญ่ คือ ธรรมาธิปไตย 9 เท่านั้น
8. หลักดุลยภาพ (The Principle of Balance) เป็นอีกมิติหนึ่งของกฎธรรมชาติ บนความสัมพันธ์ทั้งองค์รวมหรือทั้งระบบในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด การตั้งอยู่ ทรงอยู่ ดำรงอยู่อย่างดุลยภาพได้นั้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างด้านเอกภาพมีลักษณะแผ่กระจายกับด้านความแตกต่างหลากหลาย มีลักษณะรวมศูนย์ จึงมีลักษณะพระธรรมจักร พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นความถูกต้อง หรือสัมมาทิฏฐิ (Right view) เกิดขึ้นได้จากการตั้งปณิธานปรารถนาอย่างแรงกล้า แน่วแน่ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลมนุษยชาติ จะเป็นพลังผลักดันให้เกิดความเพียรในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา (Insight Meditation) กระทั่งรู้แจ้งสภาวธรรมตามเป็นจริง อันพิสูจน์ได้ซึ่งดำรงอยู่แล้วในมนุษยชาติทุกคน จึงไม่บังคับให้เชื่อ
(9) หลักนิติธรรม (The Principle of Rule of law) หลักกฎหมายหรือหลักนิติธรรมอันเป็นหลัก เป็นกฎเกณฑ์แห่งความยุติธรรม ในอดีตยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์นับแต่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงถือหลักทศพิธราชธรรมมาประยุกต์ใช้ปกครองบ้านเมืองสืบต่อกันเรื่อยมาโดยพระมหากษัตริย์
ปัจจุบันจะมีหลักการ รูปแบบและวิธีการปกครองบ้านเมืองสมัยใหม่ จำเป็นอย่างยิ่งยวดในความเป็นธรรมของปวงชนในทุกมิติ และหลักนิติธรรมนี้กำหนดขึ้นจากหลักคำสอนพระพุทธเจ้าและกฎธรรมชาติ โดยได้คล้องกับลักษณะพิเศษของประเทศไทย คือ ชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ คือ หลักธรรมาธิปไตย 9 ดังกล่าวนี้
ทั้งนี้ ทั้งหลักนิติธรรมและหลักการปกครองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงเป็นหลักที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงตามกฎธรรมชาติ สามารถนำไปใช้ทั้งบุคคลและองค์กรนั้นๆ จะเกิดความมั่นคงเจริญก้าวหน้าแบบยั่งยืน
ในการแก้เหตุวิกฤตชาติง่ายนิดเดียว โดยพระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 คือการสถาปนาหลักความมั่นคงแห่งชาติอย่างยั่งยืน
ลำดับต่อมา ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติต่างๆ คำสั่ง ประกาศ กฎกระทรวง ฯลฯ ให้สอดคล้องไม่ขัดต่อหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 และการจัดความสัมพันธ์ภายในชาติในทุกมิติให้ถูกต้องเป็นธรรม เพียงเท่านี้ ประเทศไทยก็จะผ่านพ้นจากเหตุแห่งความชั่วร้ายของประเทศลงโดยพลัน เริ่มนับหนึ่งสู่ความศิวิไลซ์อย่างยิ่งใหญ่ สู่อารยธรรมใหม่ ก้าวไกลกว่าประเทศอื่นใดในโลก