ภัตตาคารเชียงการีลาเล็งแตกแบรนด์ร้านอาหารใหม่เพิ่ม เน้นลูกค้าเทคโฮมเปิดตามย่านชุมชน พร้อมศึกษาขายแฟรนไชส์ในอนาคต คาดปีหน้าเป็นรูปร่างมากขึ้น หลังจ้างทีมที่ปรึกษาข้างนอกเข้ามาช่วยศึกษาและวางระบบ ขณะที่ธุรกิจภัตตาคารขนาดใหญ่ไม่มีแผนลงทุนเพิ่มเหตุใช้เงินทุนมาก หาพื้นที่ลำบาก แต่ลุยรีโนเวทเป็นแนวโมเดิร์น
นางสาวเพ็ญนภา พจชมานะวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงการีลา จำกัด ผู้บริหารภัตตาคารเชียงการีลา เปิดเผยว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างการวางแผนที่จะขยายธุรกิจร้านอาหารใหม่อีก 1 แบรนด์ ซึ่งจะเป็นรูปแบบของร้านอาหารจีนแนวใหม่ที่เน้นการซื้อกลับบ้านหรือเทคโฮม และเปิดจุดขายเป็นร้านไม่ใหญ่ซึ่งจะมีที่นั่งรับประทานด้วยประมาณ 10-15 ที่นั่ง พื้นที่ประมาณ 120 ตาราง เมตรลงทุนเฉลี่ยสาขาละ 2.5-3 ล้านบาท เปิดตามย่านชุมชนทั่วไปที่เหมาะสม ไม่ได้เปิดในห้างสรรพสินค้า และในอนาคตมีแผนที่จะเปิดขายแฟรนไชส์ด้วย
สาเหตุที่หันมาลงทุนในรูปแบบนี้เนื่องจากว่า เป็นการลงทุนที่ต่ำและง่ายต่อการหาพื้นที่ทำเลที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในเวลานี้ซบเซาส่งผลต่อกำลังซื้อของคนก็ลดลงด้วย ซึ่งจะจำหน่ายอาหารจีนที่ราคาไม่แพง จับกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคทั่วไป
“บริษัทฯคาดว่าในปีหน้าคงจะเห็นอะไรที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เพราะต้องดูทิศทางเศรษฐกิจและจังหวะที่เหมาะสมด้วยก่อนที่จะลงทุนลงไป ตอนนี้เราก็เร่งศึกษากันอยู่ ตอนนี้เรามีการเอาท์ซอร์สจ้างที่ปรึกษาเข้ามาช่วยวางแผนศึกษาตลาดให้กับเราด้วยว่าจะดำเนินการอย่างไร ในการที่จะทำตลาดใหม่ๆกับแบรนด์ใหม่ในรูปแบบเทคโฮมนี้ ผนวกกับประสบการณ์ของทีมบริหารของเราเอง เพื่อที่จะได้ให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมกับการรุกต่อไป”
ขณะที่บริษัทฯยังไม่มีแผนการลงทุนเปิดภัตตาคารเชียงการีลาในรูปแบบขนาดใหญ่ เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงไม่ต่ำกว่า50ล้านบาทขึ้นไปไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ และการหาพื้นที่ทำเลที่มีขนาดใหญ่หาลำบาก
สำหรับธุรกิจร้านอาหารเดิมของกลุ่มเชียงการีลานี้ ปัจจุบันมีหลายรูปแบบกล่าวคือ 1.ภัตตาคารจีนเชียงการีลา ซึ่งมีที่นั่งมากกว่า 250 ที่นั่งขึ้นไป มี 5 สาขาคือ ตึกธนิยะ เยาวราช สีลม มิราม่า และเชียงการีลาหูฉลามแอนด์ซีฟู้ด ที่ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ซอย 17 2.ร้านอาหารแนวใหม่ ขนาดที่นั่งมากกว่า 80 ที่นั่ง มี 2 ประเภทคือ เชียงการีลาคิทเช่นขายอาหารจีน มีที่สีลมคอมเพล็กซ์กับช่องนนทรี และมิรากุร้านอาหาญี่ปุ่นที่ตึกธนิยะพลาซ่า
ในปีหน้าบริษัทฯมีแผนที่จะรีโนเวทในหลายสาขาเพื่อปรับภาพลักษณ์ให้มีความทันสมัยเป็นร้านอาหารจีนแนวโมเดิร์นมากขึ้น เช่น ร้านมิรากุ ตั้งงบประมาณ 4 ล้านบาท หลังจากที่ปีนี้จะเริ่มทยอยปรับเช่นกัน โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้ ภัตตาคารเชียงการีลาสาขาสีลมและเยาวราชจะรีโนเวทเสร็จหลังจากเริ่มปรับปรุงมาตั้งแต่เดือน กรกฎาคมที่ผ่านมาด้วยงบประมาณรวม 8 ล้านบาท เพื่อเป็นแนวใหม่สดใสกว่าเดิม
นางสาวเพ็ญนภา กล่าวด้วยว่า ในส่วนของเชียงการีลาคิทเช่นนั้น ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้ อาจจะเป็นเพราะว่า คนยังติดกับภาพลักษณ์เดิมของภัตตาคารเชียงการีลาและคิดว่าราคาอาหารอาจจะแพงจึงไม่กล้าเข้ามาทานในร้าน จึงทำให้ยอดขายไม่มากเท่าที่ควร ซึ่งตรงนี้บริษัทฯต้องหาทางแก้ไข และรวมทั้งทำตลาดมากขึ้น เพื่อเปิดทางให้กับกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆที่จะเข้ามาทานในร้านมากขึ้นด้วย โดยใช้งบประมาณประชาสัมพันธ์รวมทั้งเครือ 1 ล้านบาท
“การทำธุรกิจอาหารจีนนั้นมันยาก เพราะต้นทุนก็สูง ยิ่งตอนนี้ภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาส่งผลต่อต้นทุนเพิ่มมากกว่า 30 % แล้วแต่เราก็ไม่ได้ปรับราคาอาหารขึ้นแต่อย่างใด เพราะไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบกับลูกค้า ซึ่งทำให้เรามีลูกค้าที่เข้ามาในร้านเราประจำที่เป็นคนเดิมไม่ต่ำกว่า 150 รายต่อวันต่อสาขา พร้อมกับลูกค้าใหม่ๆที่เพิ่มขึ้นด้วย” นางสาวเพ็ญนภากล่าว
นางสาวเพ็ญนภา พจชมานะวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงการีลา จำกัด ผู้บริหารภัตตาคารเชียงการีลา เปิดเผยว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างการวางแผนที่จะขยายธุรกิจร้านอาหารใหม่อีก 1 แบรนด์ ซึ่งจะเป็นรูปแบบของร้านอาหารจีนแนวใหม่ที่เน้นการซื้อกลับบ้านหรือเทคโฮม และเปิดจุดขายเป็นร้านไม่ใหญ่ซึ่งจะมีที่นั่งรับประทานด้วยประมาณ 10-15 ที่นั่ง พื้นที่ประมาณ 120 ตาราง เมตรลงทุนเฉลี่ยสาขาละ 2.5-3 ล้านบาท เปิดตามย่านชุมชนทั่วไปที่เหมาะสม ไม่ได้เปิดในห้างสรรพสินค้า และในอนาคตมีแผนที่จะเปิดขายแฟรนไชส์ด้วย
สาเหตุที่หันมาลงทุนในรูปแบบนี้เนื่องจากว่า เป็นการลงทุนที่ต่ำและง่ายต่อการหาพื้นที่ทำเลที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในเวลานี้ซบเซาส่งผลต่อกำลังซื้อของคนก็ลดลงด้วย ซึ่งจะจำหน่ายอาหารจีนที่ราคาไม่แพง จับกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคทั่วไป
“บริษัทฯคาดว่าในปีหน้าคงจะเห็นอะไรที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เพราะต้องดูทิศทางเศรษฐกิจและจังหวะที่เหมาะสมด้วยก่อนที่จะลงทุนลงไป ตอนนี้เราก็เร่งศึกษากันอยู่ ตอนนี้เรามีการเอาท์ซอร์สจ้างที่ปรึกษาเข้ามาช่วยวางแผนศึกษาตลาดให้กับเราด้วยว่าจะดำเนินการอย่างไร ในการที่จะทำตลาดใหม่ๆกับแบรนด์ใหม่ในรูปแบบเทคโฮมนี้ ผนวกกับประสบการณ์ของทีมบริหารของเราเอง เพื่อที่จะได้ให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมกับการรุกต่อไป”
ขณะที่บริษัทฯยังไม่มีแผนการลงทุนเปิดภัตตาคารเชียงการีลาในรูปแบบขนาดใหญ่ เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงไม่ต่ำกว่า50ล้านบาทขึ้นไปไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ และการหาพื้นที่ทำเลที่มีขนาดใหญ่หาลำบาก
สำหรับธุรกิจร้านอาหารเดิมของกลุ่มเชียงการีลานี้ ปัจจุบันมีหลายรูปแบบกล่าวคือ 1.ภัตตาคารจีนเชียงการีลา ซึ่งมีที่นั่งมากกว่า 250 ที่นั่งขึ้นไป มี 5 สาขาคือ ตึกธนิยะ เยาวราช สีลม มิราม่า และเชียงการีลาหูฉลามแอนด์ซีฟู้ด ที่ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ซอย 17 2.ร้านอาหารแนวใหม่ ขนาดที่นั่งมากกว่า 80 ที่นั่ง มี 2 ประเภทคือ เชียงการีลาคิทเช่นขายอาหารจีน มีที่สีลมคอมเพล็กซ์กับช่องนนทรี และมิรากุร้านอาหาญี่ปุ่นที่ตึกธนิยะพลาซ่า
ในปีหน้าบริษัทฯมีแผนที่จะรีโนเวทในหลายสาขาเพื่อปรับภาพลักษณ์ให้มีความทันสมัยเป็นร้านอาหารจีนแนวโมเดิร์นมากขึ้น เช่น ร้านมิรากุ ตั้งงบประมาณ 4 ล้านบาท หลังจากที่ปีนี้จะเริ่มทยอยปรับเช่นกัน โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้ ภัตตาคารเชียงการีลาสาขาสีลมและเยาวราชจะรีโนเวทเสร็จหลังจากเริ่มปรับปรุงมาตั้งแต่เดือน กรกฎาคมที่ผ่านมาด้วยงบประมาณรวม 8 ล้านบาท เพื่อเป็นแนวใหม่สดใสกว่าเดิม
นางสาวเพ็ญนภา กล่าวด้วยว่า ในส่วนของเชียงการีลาคิทเช่นนั้น ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้ อาจจะเป็นเพราะว่า คนยังติดกับภาพลักษณ์เดิมของภัตตาคารเชียงการีลาและคิดว่าราคาอาหารอาจจะแพงจึงไม่กล้าเข้ามาทานในร้าน จึงทำให้ยอดขายไม่มากเท่าที่ควร ซึ่งตรงนี้บริษัทฯต้องหาทางแก้ไข และรวมทั้งทำตลาดมากขึ้น เพื่อเปิดทางให้กับกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆที่จะเข้ามาทานในร้านมากขึ้นด้วย โดยใช้งบประมาณประชาสัมพันธ์รวมทั้งเครือ 1 ล้านบาท
“การทำธุรกิจอาหารจีนนั้นมันยาก เพราะต้นทุนก็สูง ยิ่งตอนนี้ภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาส่งผลต่อต้นทุนเพิ่มมากกว่า 30 % แล้วแต่เราก็ไม่ได้ปรับราคาอาหารขึ้นแต่อย่างใด เพราะไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบกับลูกค้า ซึ่งทำให้เรามีลูกค้าที่เข้ามาในร้านเราประจำที่เป็นคนเดิมไม่ต่ำกว่า 150 รายต่อวันต่อสาขา พร้อมกับลูกค้าใหม่ๆที่เพิ่มขึ้นด้วย” นางสาวเพ็ญนภากล่าว