xs
xsm
sm
md
lg

เร่งถอดเขี้ยวเล็บระบอบทักษิณก่อนเกิดสงครามกลางเมือง!

เผยแพร่:   โดย: แสงสุริยา

บทนำของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและความคิดความเห็นของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้เตือนคนไทยทั้งประเทศให้ระมัดระวังว่าจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น และเมื่อถึงขณะนี้ก็ปรากฏว่าเหตุการณ์ที่เป็นไปใกล้จะเกิดสงครามกลางเมืองจริงๆ แล้ว

คนไทยทั้งประเทศคงไม่ต้องการสงครามกลางเมืองเป็นแน่ แต่จะกังวลอย่างเดียวโดยไม่ทำอะไรก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเท่ากับนั่งทำตาปริบๆ แล้วปล่อยให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในบ้านเมืองของเรา

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกันยับยั้งสงครามกลางเมือง และทำให้บ้านเมืองของเราร่มเย็นเป็นสุขเหมือนดังเดิม

ใครจะสังเกตบ้างหรือไม่ว่าการทำนโยบายของพรรคไทยรักไทยนั้นแปลกประหลาดกว่าใคร คือไม่ว่าเรื่องอะไรก็ชอบทำเป็นเรื่องสงครามไปหมด

จะแก้ไขปัญหายาเสพติดก็ตั้งเป็นนโยบายว่าสงครามปราบปรามยาเสพติด

จะแก้ไขปัญหาความยากจนก็ตั้งเป็นนโยบายว่าสงครามกับความยากจน

จะแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันก็ตั้งเป็นนโยบายว่าสงครามต่อต้านการคอร์รัปชัน


ซึ่งผิดปกติวิสัยที่คนไทยประพฤติปฏิบัติกัน เพราะทำอะไรก็ทำไป แต่ทำไมต้องทำเป็นเรื่องสงคราม เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าวิเคราะห์ว่ามีรากฐานทางความคิดมาจากไหน

เรามาช่วยวิเคราะห์กันดูว่าทำไมจึงคิดทำอะไรเป็นเรื่องสงครามไปหมด?

คิดไปคิดมา ทบทวนดูหน้าตาผู้คนที่เกี่ยวข้องกับการทำนโยบายของพรรคไทยรักไทยแล้วก็ต้องร้องอ๋อ เพราะคนเหล่านั้นเคยเป็นผู้ปฏิบัติงานของพรรคคอมมิวนิสต์มาก่อน

เมื่อครั้งนั้นพรรคคอมมิวนิสต์และคนเหล่านั้นร่วมกันปฏิบัติการต่อสู้กับรัฐบาลไทยเพื่อจะล้มล้างการปกครองประชาธิปไตยและล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์

เพื่อจะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศคอมมิวนิสต์

เวลานี้คนเหล่านั้นมาเป็นแกนนำของพรรคไทยรักไทย มีบทบาทในการบริหารจัดการ ในการออกความคิดความเห็นและจัดทำนโยบาย

ดังนั้น จึงน่าที่จะนำเอาระบบความคิดเก่าๆ มาใช้ต่อไปอีก จึงเป็นเหตุให้เรื่องราวต่างๆ ต้องทำกันเป็นสงคราม

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าหลักการทางทฤษฎีของพวกคอมมิวนิสต์นั้นถือว่า “สงครามคือการเมืองที่หลั่งเลือด” และ “การเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด” รวมทั้ง “เมื่อความขัดแย้งทางการเมืองไม่อาจแก้ไขได้โดยสันติแล้ว ก็จะกลายเป็นสงคราม”

ชัดเลย ใช่เลย ทบทวนดูก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าได้มีการนำแนวความคิดและหลักทฤษฎีนี้มาใช้อย่างเต็มที่

ดูจากการปฏิบัติในเรื่องดังต่อไปนี้ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่ามีการนำความคิดเรื่องนี้ของคอมมิวนิสต์มาใช้อย่างสมบูรณ์แบบ

เรื่องที่หนึ่ง
คือเรื่องปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเดิมมีปัญหาอยู่เพียงเล็กน้อย แต่เมื่อนำความคิดว่าเป็นสงครามมาใช้แล้ว ก็ต้องคิดทำลายฝ่ายตรงกันข้ามเพราะถือว่าเป็นศัตรู

จึงเป็นเหตุให้เกิดการอุ้มฆ่าชาวไทยมุสลิมในพื้นที่นั้นนับพันๆ คน จนเหตุการณ์ลุกลามบานปลายใกล้จะเสียดินแดนอยู่ในขณะนี้

คนพวกนี้ลืมคิดไปว่าสังคมมุสลิมนั้นเป็นญาติพี่น้องกันทั้งหมู่บ้าน เมื่อญาติพี่น้องคนใดถูกอุ้มฆ่า ญาติพี่น้องที่เหลือก็จะผูกแค้น จึงเกิดการแก้แค้นและเกิดการต่อสู้ลุกลามไปอย่างกว้างขวาง

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าปัญหาชายแดนภาคใต้ที่ใกล้จะเสียดินแดนอยู่ในขณะนี้เกิดขึ้นจากความคิดที่เห็นว่าแค่ปัญหาความไม่เข้าใจของคนในชาติก็คือสงคราม และใช้วิธีการในสงครามทำกับพี่น้องร่วมชาติของตนเอง

เรื่องที่สอง
คือเรื่องปราบปรามยาเสพติด ก็คิดว่าเป็นการทำสงครามและใช้วิธีการของสงครามคือการเข่นฆ่าสังหารประชาชนไทยร่วม 4,000 คน ซึ่งขณะนี้ผลการตรวจสอบเริ่มปรากฏผลแล้วว่าในจำนวนนี้มีถึง 1,600 คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเลย

จึงทำให้ระบอบทักษิณได้ศัตรูไม่น้อยกว่า 40,000 คนจากการเข่นฆ่าสังหารประชาชน เพราะคิดว่ากำลังทำสงครามกับการค้ายาเสพติด และได้ย่ำยีกระบวนการยุติธรรมจนหมดสิ้น

เรื่องที่สาม คือเรื่องการเมืองที่คิดว่าเป็นการทำสงครามและถือเอาพรรคอื่นๆ เป็นคู่ศึกสงคราม ถือเอาคนที่มีความเห็นไม่ตรงกันเป็นศัตรูที่ต้องทำสงครามล้างผลาญกัน

ดังนั้น วิธีการต่างๆ ที่จะใช้ในการทำสงครามจึงถูกนำมาใช้เต็มรูปแบบ

ระบอบทักษิณกำลังทำสงครามกับประชาชนชาวไทยอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง ไม่เลือกว่าหน้าอินทร์ หน้าพรหม หรือหน้าไหนๆ ก็ตาม

นี่คือการนำเอาวิธีคิดของคอมมิวนิสต์ที่ถือว่าการเมืองเป็นสงครามที่ไม่หลั่งเลือด และเมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วก็จะกลายเป็นสงครามและต้องหลั่งเลือด

เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้ประเทศไทยของเราที่เคยสงบสุขร่มเย็นเต็มไปด้วยความแตกแยก และพร้อมจะประหัตประหารกันเป็นสงครามกลางเมืองอยู่ในขณะนี้

เมื่อพิจารณาเห็นระบบความคิดที่ระบอบทักษิณใช้หลักทฤษฎีคอมมิวนิสต์คือการทำสงครามมาใช้ในการบริหารบ้านเมืองแล้ว ก็จะเห็นถึงอันตรายและความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เพราะสถานการณ์คับขันอย่างนี้ นายแพทย์ ประเวศ วะสี จึงได้ออกมาเตือนครั้งล่าสุดว่าเหตุการณ์ขณะนี้มาถึงขั้นที่ “ทักษิณต้องเสียสละ” หรือต้อง “เสียสละทักษิณ”

แต่เมื่อระบบความคิดคอมมิวนิสต์ฝังหัวแน่นหนาอย่างนี้ และมีลิ่วล้อบริวารคอมมิวนิสต์ควบคุมความคิดอยู่เช่นนี้ จึงไม่มีทางที่จะหวังว่าทักษิณจะเสียสละอย่างเด็ดขาด

เมื่อเป็นเช่นนี้อันตรายของสงครามกลางเมืองจึงสูงสุดในปัจจุบันนี้

แต่ทุกสิ่งก็หยุดยั้งได้ แก้ไขได้ ดังนั้นจึงต้องมาดูกันว่าระบอบทักษิณเตรียมทำสงครามกลางเมืองอย่างไร? เพื่อช่วยกันหาหนทางยับยั้งหรือแก้ไข

จากการติดตามการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ได้พบว่าระบอบทักษิณได้เตรียมทำสงครามกลางเมืองอย่างเต็มที่ ดังตัวอย่างต่อไปนี้คือ

หนึ่ง การจัดวางพวกพ้องรุ่นเดียวกันเข้าคุมกำลังในฝ่ายทหารและฝ่ายตำรวจ เผื่อว่าเมื่อความขัดแย้งถึงขั้นสูงสุดก็จะใช้กำลังทหาร ตำรวจ เข้าทำสงครามโดยตรง เป็นสงครามกลางเมืองรูปแบบสูงสุด

แต่ทว่ากองทัพไทยไม่ใช่สมบัติของระบอบทักษิณ หากเป็นของประชาชนและพระมหากษัตริย์ ดังนั้นจึงมีการถอนเขี้ยวเล็บและปรับสภาพใหม่เพื่อพิทักษ์ชาติและราชบัลลังก์ ดังที่เห็นอยู่ในขณะนี้

สอง
จัดตั้งกองกำลังเถื่อนกึ่งทางการ ได้แก่การจัดตั้งกองกำลังป่าไม้เป็นจำนวนคนร่วม 5,000 คน ซึ่งถือว่ามีกำลังเป็นระดับกองพลทีเดียว ติดอาวุธสงครามที่ยืมมาจากกองทัพบกในอดีต และฝึกฝนยุทธวิธีการใช้อาวุธสงคราม รวมทั้งการสลายมวลชนด้วย

มีการใช้กองกำลังนี้ในการอารักขา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และใช้กำลังนี้ในการข่มขู่คุกคามประชาชนในหลายพื้นที่

ขณะนี้กองทัพบกกำลังทวงอาวุธสงครามคืน และกำลังยื้อยุดกันอยู่

กองกำลังนี้ยังใช้ลูกจ้างแรงงานพม่า กะเหรี่ยง จำนวนมากอีกด้วย ซึ่งเป็นผลิตผลจากการคอร์รัปชันของระบอบทักษิณ เพราะถ้าจ้างแรงงานไทย นอกจากจะต้องจ่ายค่าจ้างเต็มอัตราแล้ว ยังมีปัญหาข่าวสารรั่วไหล และเมื่อเกิดเหตุแล้วก็หลบหนีได้ยาก แต่เมื่อจ้างแรงงานพม่า กะเหรี่ยง ก็จ่ายค่าจ้างเพียง 30-40% เท่านั้น กั๊กไว้เข้ากระเป๋าได้กว่าครึ่ง ทั้งหมดปัญหาข่าวสารรั่วไหลและหลบหนีได้ง่ายอีกด้วย

แต่กำลังต่างด้าวเหล่านี้มีจุดอ่อนเพราะพูดภาษาไทยไม่ชัด จะร้อง “ทักษิณ...สู้สู้” ก็ยังร้องไม่ชัด

แต่ที่เสียหายมากก็คือเกิดความรู้สึกเชิงลบต่อคนไทยทั้งประเทศว่าระบอบทักษิณขายชาติจริงๆ แล้ว จึงเอาคนพม่า คนกะเหรี่ยง มาขับไล่ทุบตีคนไทย

สาม
จัดตั้งกองกำลังเถื่อนจากพวกมาเฟีย มือปืน และอันธพาล ในทุกพื้นที่ โดยมีหัวโจกมาเฟียคนสำคัญเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้ ทำหน้าที่ต่อต้านทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณ ตลอดจนการข่มขู่คุกคามและกระทืบประชาชนด้วย

สี่ จัดตั้งกองกำลังประจำเขต โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งและนักการเมืองท้องถิ่นร่วมกันจัดตั้งคนเขตละ 3,000-4,000 คนเพื่อทำหน้าที่รณรงค์เลือกตั้ง ทำหน้าที่ปล่อยข่าวให้ร้ายฝ่ายตรงกันข้าม ทำหน้าที่ขัดขวางขับไล่พรรคการเมืองอื่นไม่ให้ปราศรัย รวมทั้งขับไล่พวกที่ต่อต้านระบอบทักษิณออกจากพื้นที่ และที่กำหนดหน้าที่ล่าสุดคือให้มีความพร้อมที่จะเข้ามากระทืบคนกรุงเทพฯ ทันทีที่เป่านกหวีด

ทั้งสี่กองกำลังนี้คือสิ่งที่ถูกเตรียมไว้เพื่อการทำสงครามกลางเมืองทุกรูปแบบ

ดังนั้น เมื่อมุ่งหวังจะยับยั้งสงครามกลางเมือง นอกจากจะต้องจัดการกับระบอบทักษิณตามหลักการที่ว่าจะปราบโจรต้องกำจัดหัวหน้าโจรแล้ว ยังต้องสลายกองกำลังเหล่านี้อีกด้วย

ขณะนี้ทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและข้าราชการที่จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กำลังหยุดยั้งและสลายกองกำลังสามกองแรกอยู่อย่างขะมักเขม้น

ทำให้ระบอบทักษิณโดดเดี่ยวลง และกำลังดิ้นรนเหมือนปลาดุกที่แถกอยู่บนเนินดิน หวังจะไปหาแหล่งน้ำใหม่เท่านั้น

ส่วนกองกำลังประจำเขตนั้นทำอะไรเองไม่ได้ ต้องอาศัยผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้สมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งเงินทุนจึงจะเคลื่อนย้ายกำลังได้ จึงเป็นหุ่นผีที่กำจัดได้โดยง่าย

เพราะเพียงแค่สกัดจุดผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือตัดแหล่งเงินเท่านั้น กำลังเขตละ 3,000-4,000 คน ก็ไม่สามารถเข้ามากระทืบคนกรุงเทพฯ หรือล้มล้างสถาบันใดๆ ได้.
กำลังโหลดความคิดเห็น