หลายคนคงจะงงชื่อเรื่องในหมายเหตุวันนี้ว่าหมายถึงอะไร? ความจริงมันคือเสียงร้องตะโกนของคนกลุ่มหนึ่งที่ไปขับไล่กลุ่มพันธมิตรและประชาชนชาวไทยที่ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2549
มันเป็นเสียงของแรงงานรับจ้างชาวพม่าและกะเหรี่ยงที่ลิ่วล้อระบอบทักษิณจ้างวานมาขับไล่ประชาชนไทยในผืนแผ่นดินไทย
ถึงมันจะซักซ้อมให้ร้องตะโกนว่า “ทักษิณ…สู้สู้ ๆๆๆ” อยู่ถึงครึ่งวัน แต่พอเอาเข้าจริงพวกมันก็ยังพูดไม่ชัด ร้องตะโกนได้แค่ “ทะสิน…จู้ จู๋ๆๆๆ” ซึ่งน่าสมเพชเวทนา
จนตำรวจเขาสงสัยและเข้าไปตรวจค้นจึงพบว่าเป็นแรงงานรับจ้างพม่าและกะเหรี่ยง
เราจึงขอฟ้องต่อพี่น้องร่วมชาติทั่วทั้งประเทศว่าระบอบทักษิณคงเห็นคนไทยเป็นข้าทาสของพม่าหรือกะเหรี่ยงไปแล้ว จึงบังอาจไปเอาคนต่างด้าวชาวต่างแดนมาขับไล่คนไทยในผืนแผ่นดินไทย ที่บรรพบุรุษไทยได้พลีชีพรักษาไว้ให้ลูกหลาน
คนไทยจำนวนมากคงได้ยินคำลือมาระยะหนึ่งแล้วว่า พระนั่งทางในของพม่ารวมทั้งหมอดูของพม่าที่มีชื่อหลายคนได้กล่าวว่านายทักษิณคือพระมหาอุปราชากลับชาติมาเกิด เพื่อมาล้างผลาญลูกหลานสมเด็จพระนเรศวรและประเทศไทย
เราก็ได้ยินคำลือนี้ แต่เราไม่เชื่อคำเล่าข่าวลือและเราก็เชื่อว่าพี่น้องชาวไทยคงไม่เชื่อคำเล่าลือที่มีลักษณะเหลวไหลเช่นนี้
แต่นานวันเข้าพี่น้องร่วมชาติของเราหลายคน โดยเฉพาะนายทหารหลายท่านได้บอกกล่าวเตือนเราให้ได้เอะใจว่ามันมีอะไรน่าคิดน่าวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้
เราได้หวนทวนตรวจสอบความจริงและปรากฏการณ์หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นก็รู้สึกเอะใจตามคำท้วงติงเหล่านั้น และเมื่อเอะใจแล้วก็ต้องนำมาบอกเล่าให้กับพี่น้องร่วมชาติของเรา
เราไม่ต้องการให้ใครเชื่อถือเรื่องนี้ แต่ต้องการเพียงให้ทุกคนตั้งข้อสังเกต และจับพิรุธให้ได้ว่าทำไมระบอบทักษิณจึงมีหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เราจะยกเรื่องราวเฉพาะที่เห็นว่าสำคัญ ๆ มาเรียงลำดับให้ได้คิดกัน
เรื่องที่หนึ่ง ใครจะสังเกตบ้างหรือไม่ว่าอัครมหาปุโรหิตที่มีโต๊ะทำงานสิงสถิตอยู่ในห้องหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเป็น 1 ใน 3 โต๊ะทำงานนั้น ทำไมต้องมีชื่อเหมือนนายพลพม่า?
เรื่องที่สอง ใครจะสังเกตบ้างหรือไม่ว่านายพลเอกจำนวน 3 คน คนหนึ่งเกษียณไปแล้ว คนหนึ่งกำลังจะเกษียณ และอีกคนหนึ่งกำลังจะได้รับการผลักดันให้มีตำแหน่งสำคัญสูงขึ้น มีหน้าตาเหมือนชาวพม่า
เราได้เอาภาพใบหน้าของนายพลเอก 3 คนนี้เปรียบเทียบกับใบหน้าของอดีตนายทหารพม่ายุคกรุงศรีอยุธยา ก็พบว่ามีเค้าหน้าละม้ายกับนายทหารระดับ “หวุ่นญี” หรือนายพลของพม่า ทั้ง 3 คนนี้คือคนที่วางฐานกำลังสายทหารให้กับระบอบทักษิณ
เรื่องที่สาม นายทักษิณจะให้ความสำคัญกับพม่าเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วว่านานาชาติรวมทั้งอาเชียนกำลังตั้งข้อรังเกียจและกดดันให้พม่าพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในประเทศ แต่นายทักษิณกลับคลุกคลีตีโมงและพินอบพิเทายิ่ง
เมื่อเดือนกว่ามานี้เพียงแค่ผู้นำพม่าให้เวลาพบเท่านั้น นายทักษิณก็เผ่นแผลวไปพม่าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและโดยไม่ผ่านกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศ
ทำราวกับว่าเป็นข้าแผ่นดินพม่าอย่างนั้นแหละ
เรื่องที่สี่ ในยุคสมัยของระบอบทักษิณเป็นยุคสมัยที่จ้วงจาบหยาบช้าล่วงเกินพระมหากษัตริย์มากที่สุด มีกระบวนการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนและอย่างแยบยลต่อเนื่อง เพื่อไปสู่เป้าหมายขั้นแรกที่ทำให้พระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์
จนถึงกับพิธีกรรายการสภาท่าพระอาทิตย์ของเราต้องตั้งข้อสังเกตว่าระบอบทักษิณกำลังทำกับสถาบันพระมหากษัตริย์แบบเดียวกับที่โจโฉกระทำกับพระเจ้าเหี้ยนเต้
เรื่องที่ห้า รัฐตำรวจของระบอบทักษิณได้ค้ำจุนและเกื้อกูลแรงงานรับจ้างพม่าอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แรงงานรับจ้างพม่าและกะเหรี่ยงในประเทศไทยขณะนี้จึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านคนแล้ว มีจำนวนมากพอที่จะยึดประเทศไทยได้อย่างสบาย
ทำกันอย่างออกนอกหน้าและไม่เกรงใจกองทัพไทยแม้แต่น้อย ดังตัวอย่างล่าสุดที่มีงานชุมนุมแรงงานพม่าหลายหมื่นคนในโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน จังหวัดนครปฐม เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้
ทำกันอย่างเอิกเกริกทั้งๆ ที่แรงงานจำนวนมากที่มาร่วมในวันนั้นผิดกฎหมาย ไฉนจึงกล้าเอาเรื่องผิดกฎหมายและกระทบต่อความมั่นคงของชาติขนาดนี้ไปทำกันที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน
เรื่องที่หก ระบอบทักษิณได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธที่มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้เป็นแกน มีลูกจ้างชั่วคราวชาวพม่าและกะเหรี่ยงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง มีกำลังคนที่สามารถระดมได้ทันทีถึง 3,000 คน และยังติดอาวุธสงครามโดยผิดกฎหมายอีกต่างหาก
ขณะนี้กองทัพบกได้เรียกอาวุธปืนดังกล่าวคืนจากกรมป่าไม้ เพื่อนำไปให้ทหารพรานใช้ปกป้องเอกราชอธิปไตยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ระบอบทักษิณก็กำลังอนุมัติให้ซื้ออาวุธสงครามชุดใหม่ติดให้กับกองกำลังเถื่อนนี้ต่อไป
เรื่องที่เจ็ด เมื่อครั้งที่เราจัดงานสัปดาห์สัญจรที่สวนลุมพินีเมื่อต้นปี ก็มีการเอากำลังป่าไม้ที่ส่วนหนึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวชาวกะเหรี่ยงและพม่าเข้ามาก่อความวุ่นวายถึงในใจกลางพระนครด้วย
เรื่องที่แปด ให้ช่วยกันตั้งข้อสังเกตว่านายทักษิณจะไม่ให้ความสนใจหรือพยายามไม่เข้าใกล้พระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และมักขยาดไม่กล้าเข้าใกล้พื้นที่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเคยทรงใช้มาก่อน
เราขอเตือนเพื่อนร่วมชาติทั้งประเทศได้ระลึกว่านับแต่กรุงรัตนโกสินทร์สถาปนาขึ้นแล้ว อริราชศัตรูโดยเฉพาะด้านพม่าและกะเหรี่ยงไม่เคยรุกคืบเหยียบเข้ามาถึงชานพระนครได้เลย
เพิ่งครั้งนี้ในยุคระบอบทักษิณนี่แหละที่สมคบกันให้แรงงานรับจ้างกะเหรี่ยง พม่า เข้ามารังแกคนไทยถึงใจกลางพระนคร
แต่ประวัติศาสตร์ก็ย่อมบ่งนัยยะสำคัญอยู่ว่าต่อให้เป็นพระมหาอุปราชากลับชาติมาเกิดก็จะต้องปราชัยต่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและลูกหลานของพระองค์ท่านเหมือนกับอดีตชาตินั่นเอง
ไม่เห็นหรือแค่ลิ่วล้อระบอบทักษิณเอาแรงงานพม่า กะเหรี่ยง เข้ามาในพื้นที่อันเป็นที่ตั้งค่ายสมเด็จพระนเรศวรที่ประจวบคีรีขันธ์เท่านั้น แรงงานพม่าและกะเหรี่ยงพวกนี้ก็แทบเป็นใบ้ พูดได้แค่ “ทะสิน…จู้ จู๋ๆๆๆ”
ก็ลองคิดพิจารณากันดูเพราะเรื่องนี้ปะติดปะต่อกันเข้าแล้วก็น่าคิดเหมือนกัน!
มันเป็นเสียงของแรงงานรับจ้างชาวพม่าและกะเหรี่ยงที่ลิ่วล้อระบอบทักษิณจ้างวานมาขับไล่ประชาชนไทยในผืนแผ่นดินไทย
ถึงมันจะซักซ้อมให้ร้องตะโกนว่า “ทักษิณ…สู้สู้ ๆๆๆ” อยู่ถึงครึ่งวัน แต่พอเอาเข้าจริงพวกมันก็ยังพูดไม่ชัด ร้องตะโกนได้แค่ “ทะสิน…จู้ จู๋ๆๆๆ” ซึ่งน่าสมเพชเวทนา
จนตำรวจเขาสงสัยและเข้าไปตรวจค้นจึงพบว่าเป็นแรงงานรับจ้างพม่าและกะเหรี่ยง
เราจึงขอฟ้องต่อพี่น้องร่วมชาติทั่วทั้งประเทศว่าระบอบทักษิณคงเห็นคนไทยเป็นข้าทาสของพม่าหรือกะเหรี่ยงไปแล้ว จึงบังอาจไปเอาคนต่างด้าวชาวต่างแดนมาขับไล่คนไทยในผืนแผ่นดินไทย ที่บรรพบุรุษไทยได้พลีชีพรักษาไว้ให้ลูกหลาน
คนไทยจำนวนมากคงได้ยินคำลือมาระยะหนึ่งแล้วว่า พระนั่งทางในของพม่ารวมทั้งหมอดูของพม่าที่มีชื่อหลายคนได้กล่าวว่านายทักษิณคือพระมหาอุปราชากลับชาติมาเกิด เพื่อมาล้างผลาญลูกหลานสมเด็จพระนเรศวรและประเทศไทย
เราก็ได้ยินคำลือนี้ แต่เราไม่เชื่อคำเล่าข่าวลือและเราก็เชื่อว่าพี่น้องชาวไทยคงไม่เชื่อคำเล่าลือที่มีลักษณะเหลวไหลเช่นนี้
แต่นานวันเข้าพี่น้องร่วมชาติของเราหลายคน โดยเฉพาะนายทหารหลายท่านได้บอกกล่าวเตือนเราให้ได้เอะใจว่ามันมีอะไรน่าคิดน่าวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้
เราได้หวนทวนตรวจสอบความจริงและปรากฏการณ์หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นก็รู้สึกเอะใจตามคำท้วงติงเหล่านั้น และเมื่อเอะใจแล้วก็ต้องนำมาบอกเล่าให้กับพี่น้องร่วมชาติของเรา
เราไม่ต้องการให้ใครเชื่อถือเรื่องนี้ แต่ต้องการเพียงให้ทุกคนตั้งข้อสังเกต และจับพิรุธให้ได้ว่าทำไมระบอบทักษิณจึงมีหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เราจะยกเรื่องราวเฉพาะที่เห็นว่าสำคัญ ๆ มาเรียงลำดับให้ได้คิดกัน
เรื่องที่หนึ่ง ใครจะสังเกตบ้างหรือไม่ว่าอัครมหาปุโรหิตที่มีโต๊ะทำงานสิงสถิตอยู่ในห้องหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเป็น 1 ใน 3 โต๊ะทำงานนั้น ทำไมต้องมีชื่อเหมือนนายพลพม่า?
เรื่องที่สอง ใครจะสังเกตบ้างหรือไม่ว่านายพลเอกจำนวน 3 คน คนหนึ่งเกษียณไปแล้ว คนหนึ่งกำลังจะเกษียณ และอีกคนหนึ่งกำลังจะได้รับการผลักดันให้มีตำแหน่งสำคัญสูงขึ้น มีหน้าตาเหมือนชาวพม่า
เราได้เอาภาพใบหน้าของนายพลเอก 3 คนนี้เปรียบเทียบกับใบหน้าของอดีตนายทหารพม่ายุคกรุงศรีอยุธยา ก็พบว่ามีเค้าหน้าละม้ายกับนายทหารระดับ “หวุ่นญี” หรือนายพลของพม่า ทั้ง 3 คนนี้คือคนที่วางฐานกำลังสายทหารให้กับระบอบทักษิณ
เรื่องที่สาม นายทักษิณจะให้ความสำคัญกับพม่าเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วว่านานาชาติรวมทั้งอาเชียนกำลังตั้งข้อรังเกียจและกดดันให้พม่าพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในประเทศ แต่นายทักษิณกลับคลุกคลีตีโมงและพินอบพิเทายิ่ง
เมื่อเดือนกว่ามานี้เพียงแค่ผู้นำพม่าให้เวลาพบเท่านั้น นายทักษิณก็เผ่นแผลวไปพม่าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและโดยไม่ผ่านกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศ
ทำราวกับว่าเป็นข้าแผ่นดินพม่าอย่างนั้นแหละ
เรื่องที่สี่ ในยุคสมัยของระบอบทักษิณเป็นยุคสมัยที่จ้วงจาบหยาบช้าล่วงเกินพระมหากษัตริย์มากที่สุด มีกระบวนการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนและอย่างแยบยลต่อเนื่อง เพื่อไปสู่เป้าหมายขั้นแรกที่ทำให้พระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์
จนถึงกับพิธีกรรายการสภาท่าพระอาทิตย์ของเราต้องตั้งข้อสังเกตว่าระบอบทักษิณกำลังทำกับสถาบันพระมหากษัตริย์แบบเดียวกับที่โจโฉกระทำกับพระเจ้าเหี้ยนเต้
เรื่องที่ห้า รัฐตำรวจของระบอบทักษิณได้ค้ำจุนและเกื้อกูลแรงงานรับจ้างพม่าอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แรงงานรับจ้างพม่าและกะเหรี่ยงในประเทศไทยขณะนี้จึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านคนแล้ว มีจำนวนมากพอที่จะยึดประเทศไทยได้อย่างสบาย
ทำกันอย่างออกนอกหน้าและไม่เกรงใจกองทัพไทยแม้แต่น้อย ดังตัวอย่างล่าสุดที่มีงานชุมนุมแรงงานพม่าหลายหมื่นคนในโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน จังหวัดนครปฐม เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้
ทำกันอย่างเอิกเกริกทั้งๆ ที่แรงงานจำนวนมากที่มาร่วมในวันนั้นผิดกฎหมาย ไฉนจึงกล้าเอาเรื่องผิดกฎหมายและกระทบต่อความมั่นคงของชาติขนาดนี้ไปทำกันที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน
เรื่องที่หก ระบอบทักษิณได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธที่มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้เป็นแกน มีลูกจ้างชั่วคราวชาวพม่าและกะเหรี่ยงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง มีกำลังคนที่สามารถระดมได้ทันทีถึง 3,000 คน และยังติดอาวุธสงครามโดยผิดกฎหมายอีกต่างหาก
ขณะนี้กองทัพบกได้เรียกอาวุธปืนดังกล่าวคืนจากกรมป่าไม้ เพื่อนำไปให้ทหารพรานใช้ปกป้องเอกราชอธิปไตยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ระบอบทักษิณก็กำลังอนุมัติให้ซื้ออาวุธสงครามชุดใหม่ติดให้กับกองกำลังเถื่อนนี้ต่อไป
เรื่องที่เจ็ด เมื่อครั้งที่เราจัดงานสัปดาห์สัญจรที่สวนลุมพินีเมื่อต้นปี ก็มีการเอากำลังป่าไม้ที่ส่วนหนึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวชาวกะเหรี่ยงและพม่าเข้ามาก่อความวุ่นวายถึงในใจกลางพระนครด้วย
เรื่องที่แปด ให้ช่วยกันตั้งข้อสังเกตว่านายทักษิณจะไม่ให้ความสนใจหรือพยายามไม่เข้าใกล้พระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และมักขยาดไม่กล้าเข้าใกล้พื้นที่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเคยทรงใช้มาก่อน
เราขอเตือนเพื่อนร่วมชาติทั้งประเทศได้ระลึกว่านับแต่กรุงรัตนโกสินทร์สถาปนาขึ้นแล้ว อริราชศัตรูโดยเฉพาะด้านพม่าและกะเหรี่ยงไม่เคยรุกคืบเหยียบเข้ามาถึงชานพระนครได้เลย
เพิ่งครั้งนี้ในยุคระบอบทักษิณนี่แหละที่สมคบกันให้แรงงานรับจ้างกะเหรี่ยง พม่า เข้ามารังแกคนไทยถึงใจกลางพระนคร
แต่ประวัติศาสตร์ก็ย่อมบ่งนัยยะสำคัญอยู่ว่าต่อให้เป็นพระมหาอุปราชากลับชาติมาเกิดก็จะต้องปราชัยต่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและลูกหลานของพระองค์ท่านเหมือนกับอดีตชาตินั่นเอง
ไม่เห็นหรือแค่ลิ่วล้อระบอบทักษิณเอาแรงงานพม่า กะเหรี่ยง เข้ามาในพื้นที่อันเป็นที่ตั้งค่ายสมเด็จพระนเรศวรที่ประจวบคีรีขันธ์เท่านั้น แรงงานพม่าและกะเหรี่ยงพวกนี้ก็แทบเป็นใบ้ พูดได้แค่ “ทะสิน…จู้ จู๋ๆๆๆ”
ก็ลองคิดพิจารณากันดูเพราะเรื่องนี้ปะติดปะต่อกันเข้าแล้วก็น่าคิดเหมือนกัน!