ทีบีที ทุ่ม 200ล้าน เนรมิตเมืองหนังสือแห่งใหม่ เพิ่มแหล่งชอป เอาใจคนรักอ่าน ผนึกพันธมิตรหนังสือสำนักพิมพ์กว่า 400 ราย หวังสร้างกระแส เจาะไลฟ์สไตล์ เชื่อมั่นเป็นสังคมแห่งการอ่าน ตั้งเป้ายอดจำหน่ายปีแรกดูดคนได้กว่า 1.3 ล้านต่อปี มียอดขายกว่า 2 ล้านเล่ม
นายชาญวิทย์ จารุสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการรายใหญ่ - การตลาด ดั๊บเบิ้ล เอ และที่ปรึกษาโครงการไทยแลนด์ บุ๊ค ทาวเวอร์ หรือ ทีบีที เปิดเผยถึง ความคืบหน้าโครงการทีบีที ที่ในขณะนี้ ได้เปิดให้บริการไว้สำหรับประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชมและเลือกซื้อหนังสือได้แล้ว แต่ทั้งนี้รูปแบบการให้บริการยังไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก ยังคงเหลือในบางส่วนที่ยังต้องปรับปรุงแก้ไขอีกบ้าง ซึ่งจากแผนการดำเนินงานคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในช่วงเดือนพฤจิกายนนี้
ที่ผ่านมาจากโครงการในการก่อตั้งตึก ทีบีที ที่เกิดขึ้นเกิดจากกลุ่มนักลงทุนที่ร่วมทุนหลายฝ่าย โดยรูปแบบการจัดตั้งรวมถึงการบริหารจัดการและการทำตลาด จะเป็นบริษัทดั๊บเบิล เอ ดูแล ทั้งนี้ในการลงทุนก่อสร้างนั้นได้ใช้งบงบประมาณจำนวนเงินกว่า 200 ล้านบาท ไว้สำหรับให้ทีบีที เป็นเมืองหนังสือแห่งแรกในประเทศที่ได้รวบรวมหนังสือจากสำนักพิมพ์ต่างๆ มากมาย
ทั้งนี้รูปแบบของตึก ทีบีที มีพื้นที่ทั้ง 9 ชั้น ซึ่งมีขนาดรวมกว่า 6,000 ตารางเมตร มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นทั้งรูปแบบและการดีไซน์ และการจัดพื้นที่ของหนังสือที่สอดคล้องกับความต้องการของนักอ่านทุกเพศทุกวัย โดยประกอบด้วยพื้นที่ทั้งหมด 9 ชั้น แบ่งออกเป็นโซนต่างๆได้อย่างชัดเจน เช่น ชั้น1 ท็อปฮิตโซน ชั้น2 ฟิลลิ่ง โซน ชั้น 3 ลีฟวิ่ง โซน 4.คิดส์ โซน ชั้น5 เบรน โซน ชั้น 6ไลฟ์ลี่ โซน ชั้น7-8 มัลติมีเดีย แอนด์ ฟู้ด โซนชั้น9 แอคทิวิตี้ โซน
"การจัดเป็นโซนต่างๆที่มีความชัดเจน มองว่าเป็นจุดเด่นและจุดแข็งของตึก ซึ่งจะมีความแตกต่างกับร้านหนังสือทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า ที่มีระบบจัดการที่หละหลวมอยู่"
ภายหลังจากที่บริษัทเองได้มีโครงการเปิดศูนย์"ทีบีที" ขึ้นปรากฎว่าได้รับความสนใจจากแหล่งรวมหนังสือจากสำนักพิมพ์กว่า 400แห่ง มีหนังสือหลากหลายประเภทมากกว่า 1 ล้านปก และเป็นที่ตั้งร้านค้าของสำนักพิมพ์ถึง 41 แห่ง ซึ่งนับว่ามากที่สุดในประเทศ และจากแผนในการเปิดศูนย์รวมหนังสือที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงแล้ว ต่อจากนี้บริษัทยังเปิดโอกาสให้กับนักเขียนและสำนักพิมพ์ใหม่ๆ ได้เข้ามาติดต่อและเป็นพันธมิตรใหม่ๆอีก
"ดั๊บเบิ้ล เอ ต้องการให้ ทีบีที เป็นสถานที่ในการสร้างสรรค์ให้สังคมไทยเกิดหน่ออ่อนของนักอ่านและช่วยเพิ่มโอกาสในการนำหนังสือออกสู่สายตาผู้อ่าน กล่าวคือ ในปัจจุบันยังมีหนังสือดีๆ อีกมากมายที่ยังไม่มีแสดงตัวเอง และยังไม่ได้รับโอกาสในการดิสเพลย์จากร้านขายหนังสือด้วยเหตุผลต่างๆ แต่ที่ ทีบีที เราเปิดโอกาสเต็มที่สำหรับหนังสือดีๆ และมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือจากค่ายใดก็ตาม" นายชาญวิทย์กล่าว
นอกจากนี้ทีบีทียังมีช่องทางในการกระตุ้นกลุ่มลูกค้าในช่วงแรก โดยการจัดโปรโมชั่นไว้สำหรับสมาชิกตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน - 31 ธันวาคม 2549 ซึ่งจะได้รับส่วนลด 5% เมื่อซื้อหนังสือทีบีที และรับส่วนลด10% เมื่อซื้อดั๊บเบิ้ลเอ
ทั้งนี้รูปแบบในการเปิดศูนย์ทีบีทีขึ้น นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมแหล่งความรู้จากแหล่งต่างให้มีความครบวงจรมากที่สุด เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับกลุ่มนักอ่าน รวมถึงผู้ที่มีความสนใจในแต่ละเรื่องนั้น ได้เข้ามาศึกษาหาความรู้ อีกทั้งภายในตึกนั้นไม่เพียงแต่มีบริการให้ความรู้เท่านั้น ยังมีบริการอื่นๆ อีกมากมาย เชื่อว่าการเปิด ไทยแลนด์ บุ๊ค ทาวเวอร์ หรือ ทีบีที ขึ้น จะสามารถสร้างกระแสความนิยมสำหรับกลุ่มคนที่มีความสนใจในการอ่านได้ และคาดว่าจะมีผู้คนที่เข้ามาใช้บริการไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านคนต่อปี และสามารถมียอดจำหน่ายในปีแรกประมาณ 2 ล้านเล่ม
นายชาญวิทย์ จารุสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการรายใหญ่ - การตลาด ดั๊บเบิ้ล เอ และที่ปรึกษาโครงการไทยแลนด์ บุ๊ค ทาวเวอร์ หรือ ทีบีที เปิดเผยถึง ความคืบหน้าโครงการทีบีที ที่ในขณะนี้ ได้เปิดให้บริการไว้สำหรับประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชมและเลือกซื้อหนังสือได้แล้ว แต่ทั้งนี้รูปแบบการให้บริการยังไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก ยังคงเหลือในบางส่วนที่ยังต้องปรับปรุงแก้ไขอีกบ้าง ซึ่งจากแผนการดำเนินงานคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในช่วงเดือนพฤจิกายนนี้
ที่ผ่านมาจากโครงการในการก่อตั้งตึก ทีบีที ที่เกิดขึ้นเกิดจากกลุ่มนักลงทุนที่ร่วมทุนหลายฝ่าย โดยรูปแบบการจัดตั้งรวมถึงการบริหารจัดการและการทำตลาด จะเป็นบริษัทดั๊บเบิล เอ ดูแล ทั้งนี้ในการลงทุนก่อสร้างนั้นได้ใช้งบงบประมาณจำนวนเงินกว่า 200 ล้านบาท ไว้สำหรับให้ทีบีที เป็นเมืองหนังสือแห่งแรกในประเทศที่ได้รวบรวมหนังสือจากสำนักพิมพ์ต่างๆ มากมาย
ทั้งนี้รูปแบบของตึก ทีบีที มีพื้นที่ทั้ง 9 ชั้น ซึ่งมีขนาดรวมกว่า 6,000 ตารางเมตร มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นทั้งรูปแบบและการดีไซน์ และการจัดพื้นที่ของหนังสือที่สอดคล้องกับความต้องการของนักอ่านทุกเพศทุกวัย โดยประกอบด้วยพื้นที่ทั้งหมด 9 ชั้น แบ่งออกเป็นโซนต่างๆได้อย่างชัดเจน เช่น ชั้น1 ท็อปฮิตโซน ชั้น2 ฟิลลิ่ง โซน ชั้น 3 ลีฟวิ่ง โซน 4.คิดส์ โซน ชั้น5 เบรน โซน ชั้น 6ไลฟ์ลี่ โซน ชั้น7-8 มัลติมีเดีย แอนด์ ฟู้ด โซนชั้น9 แอคทิวิตี้ โซน
"การจัดเป็นโซนต่างๆที่มีความชัดเจน มองว่าเป็นจุดเด่นและจุดแข็งของตึก ซึ่งจะมีความแตกต่างกับร้านหนังสือทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า ที่มีระบบจัดการที่หละหลวมอยู่"
ภายหลังจากที่บริษัทเองได้มีโครงการเปิดศูนย์"ทีบีที" ขึ้นปรากฎว่าได้รับความสนใจจากแหล่งรวมหนังสือจากสำนักพิมพ์กว่า 400แห่ง มีหนังสือหลากหลายประเภทมากกว่า 1 ล้านปก และเป็นที่ตั้งร้านค้าของสำนักพิมพ์ถึง 41 แห่ง ซึ่งนับว่ามากที่สุดในประเทศ และจากแผนในการเปิดศูนย์รวมหนังสือที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงแล้ว ต่อจากนี้บริษัทยังเปิดโอกาสให้กับนักเขียนและสำนักพิมพ์ใหม่ๆ ได้เข้ามาติดต่อและเป็นพันธมิตรใหม่ๆอีก
"ดั๊บเบิ้ล เอ ต้องการให้ ทีบีที เป็นสถานที่ในการสร้างสรรค์ให้สังคมไทยเกิดหน่ออ่อนของนักอ่านและช่วยเพิ่มโอกาสในการนำหนังสือออกสู่สายตาผู้อ่าน กล่าวคือ ในปัจจุบันยังมีหนังสือดีๆ อีกมากมายที่ยังไม่มีแสดงตัวเอง และยังไม่ได้รับโอกาสในการดิสเพลย์จากร้านขายหนังสือด้วยเหตุผลต่างๆ แต่ที่ ทีบีที เราเปิดโอกาสเต็มที่สำหรับหนังสือดีๆ และมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือจากค่ายใดก็ตาม" นายชาญวิทย์กล่าว
นอกจากนี้ทีบีทียังมีช่องทางในการกระตุ้นกลุ่มลูกค้าในช่วงแรก โดยการจัดโปรโมชั่นไว้สำหรับสมาชิกตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน - 31 ธันวาคม 2549 ซึ่งจะได้รับส่วนลด 5% เมื่อซื้อหนังสือทีบีที และรับส่วนลด10% เมื่อซื้อดั๊บเบิ้ลเอ
ทั้งนี้รูปแบบในการเปิดศูนย์ทีบีทีขึ้น นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมแหล่งความรู้จากแหล่งต่างให้มีความครบวงจรมากที่สุด เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับกลุ่มนักอ่าน รวมถึงผู้ที่มีความสนใจในแต่ละเรื่องนั้น ได้เข้ามาศึกษาหาความรู้ อีกทั้งภายในตึกนั้นไม่เพียงแต่มีบริการให้ความรู้เท่านั้น ยังมีบริการอื่นๆ อีกมากมาย เชื่อว่าการเปิด ไทยแลนด์ บุ๊ค ทาวเวอร์ หรือ ทีบีที ขึ้น จะสามารถสร้างกระแสความนิยมสำหรับกลุ่มคนที่มีความสนใจในการอ่านได้ และคาดว่าจะมีผู้คนที่เข้ามาใช้บริการไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านคนต่อปี และสามารถมียอดจำหน่ายในปีแรกประมาณ 2 ล้านเล่ม