เปิดประเด็นร้อนสะท้านวงการศึกษา มูลนิธิเพื่อนหญิงเผยกลางวงเสวนา ยกร่าง กม.ส่งเสริมเสมอภาคทางเพศ องค์กรสตรี พบอาจารย์ต่างชาติสถาบันดัง ตั้งชมรมลีลาศหลอกข่มขืนผู้หญิง ร่อนอีเมล์เตือนระวังภัย
วานนี้(6 ส.ค.) ที่ รร.เจ้าพระยาปาร์ค สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดเสวนาวิพากษ์ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมโอกาสและความเท่าเทียมทางเพศ ครั้งที่ 2 มีภาครัฐ ภาคเอกชน นักกฎหมาย นักวิชาการ องค์กรสตรีเข้าร่วม โดย นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตเลขาธิการประธานศาลฎีกา กล่าวว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวมีทั้งหมด 9 หมวด 50 มาตรา 1 บทเฉพาะกาล หมวดสำคัญที่สุดคือ หมวด 2 เป็นการกำหนดการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมเพราะเหตุแห่งเพศ โดยเฉพาะพฤติกรรมคุกคามทางเพศในที่ทำงาน การละเมิดทางเพศทุกกรณี และ หมวด 6 การตรวจสอบการเลือกปฏิบัติ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้มีความจำเป็นเนื่องจากจะมีกลไก กระบวนการยุติธรรมในการเยียวยาผู้เสียหาย มีคณะกรรมการวินิจฉัยการละเมิดการส่งเสริมโอกาสและความเท่าเทียมทางเพศ มีการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการได้รับความเสียหายทางกาย จิตใจ การสูญเสียเชิงพาณิชย์ และมีบทลงโทษทั้งจำคุกและปรับผู้กระทำผิด
ด้านนางกิ่งแก้ว อินหว่าง รองผอ.สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวว่า กฎหมายนี้จะช่วยปกป้องคุ้มครองทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เพศที่สาม ผู้ถูกละเมิดทางเพศ ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ขณะนี้มีกลุ่มคนจำนวนมากที่ถูกกระทำแต่ไม่มีช่องทางกฎหมายหรือนายจ้าง องค์กร ไม่ดำเนินการช่วยเหลือรับผิดชอบ เช่น การละเมิดทางเพศแอร์โฮสเตสบริษัทการบินไทยฯ นายจ้างละเมิดทางเพศลูกจ้าง การเลิกจ้างหญิงตั้งครรภ์ในสถานประกอบการ เป็นต้น ที่ผ่านมาปัญหาเพิ่มมากขึ้นแต่ถูกเพิกเฉยไม่มีมาตรการดูแล กฎหมายฉบับนี้จะให้อำนาจในการเชิญผู้ละเมิดมาไต่สวน และวินิจฉัยเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งจะช่วยสร้างความเสมอภาคทางเพศให้เกิดขึ้น
ขณะที่น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า ปัญหาละเมิดทางเพศผู้หญิงและเด็กเพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่ละปีมีการร้องมายังมูลนิธิเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 100 ราย แต่มีการดำเนินคดีจริงเพียง 1 ใน 5 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการถูกข่มขืนกระทำชำเรา รุมโทรม ทั้งเหยื่อและผู้กระทำมีอาชีพการงานดี มีหน้าตาในวงสังคม พบทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม
ล่าสุดเป็นอาจารย์ต่างชาติที่สอนในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งหนึ่ง จะใช้วิธีการตั้งชมรมลีลาศสอนเต้นรำ และหลอกล่อทำให้ผู้หญิงที่สนใจ หลงใหลแล้วชวนไปสอนเต้นรำที่หอพักในสถาบันการศึกษา แต่กลับพาไปข่มขืน ซึ่งขณะนี้มีการส่งอีเมล์เตือนพฤติกรรมของอาจารย์คนนี้แล้ว แต่กลับถูกฟ้องหมิ่นประมาทเรื่องอยู่ในชั้นศาล
"พฤติกรรมของอาจารย์ชาวต่างชาติรายนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงต้นปีนี้ แต่ไม่สามารถดำเนินคดีได้เนื่องจากขาดอายุความ ซึ่งเหยื่อที่เข้ามาปรึกษาทางมูลนิธิฯ ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี บางรายถูกตามรังควาน หากไม่ยินยอมมีเพศสัมพันธ์ครั้งต่อๆ ไป ผู้หญิงบางคนมีลูกมีสามีแล้ว ก็ขู่จะส่งอีเมล์ไปถึงสามีทำให้เกิดความแตกแยกในครอบครัว บางคนทนไม่ได้ก็หนีไปอยู่ต่างประเทศ"
น.ส.สุเพ็ญศรี กล่าวต่อว่า ขณะนี้อาจารย์ชาวต่างชาติดังกล่าวก็ยังคงเปิดการสอนเต้นรำหลายแห่ง ภายนอกเขาจะสุภาพเรียบร้อย ให้เกียรติผู้หญิง รอจนผู้หญิงตายใจก็จู่โจมข่มขืน มีเหยื่อทั้งสาวชาวไทยและต่างชาติ ขณะนี้กำลังสืบหาผู้หญิงรายอื่นๆ ที่ถูกหลอกภายในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อดำเนินคดีกับอาจารย์รายนี้ พร้อมกับแจ้งเตือนผู้หญิงให้ระมัดระวังตัวเพื่อที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อ อีก
สำหรับการดำเนินการเอาผิดอาจารย์รายนี้ได้มีการรวบรวมข้อมูลปัญหาที่เกิดขึ้นแจ้งไปยังผู้บริหารสถาบันการศึกษาพิจารณา ซึ่งปัญหาขณะนี้นอกจากจะหมดอายุความแล้ว บุคคลผู้นี้ยังอาศัยอยู่ในสถาบันที่มีชื่อเสียงหน้าที่การงานได้รับความน่าเชื่อถือในวงสังคม
วานนี้(6 ส.ค.) ที่ รร.เจ้าพระยาปาร์ค สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดเสวนาวิพากษ์ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมโอกาสและความเท่าเทียมทางเพศ ครั้งที่ 2 มีภาครัฐ ภาคเอกชน นักกฎหมาย นักวิชาการ องค์กรสตรีเข้าร่วม โดย นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตเลขาธิการประธานศาลฎีกา กล่าวว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวมีทั้งหมด 9 หมวด 50 มาตรา 1 บทเฉพาะกาล หมวดสำคัญที่สุดคือ หมวด 2 เป็นการกำหนดการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมเพราะเหตุแห่งเพศ โดยเฉพาะพฤติกรรมคุกคามทางเพศในที่ทำงาน การละเมิดทางเพศทุกกรณี และ หมวด 6 การตรวจสอบการเลือกปฏิบัติ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้มีความจำเป็นเนื่องจากจะมีกลไก กระบวนการยุติธรรมในการเยียวยาผู้เสียหาย มีคณะกรรมการวินิจฉัยการละเมิดการส่งเสริมโอกาสและความเท่าเทียมทางเพศ มีการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการได้รับความเสียหายทางกาย จิตใจ การสูญเสียเชิงพาณิชย์ และมีบทลงโทษทั้งจำคุกและปรับผู้กระทำผิด
ด้านนางกิ่งแก้ว อินหว่าง รองผอ.สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวว่า กฎหมายนี้จะช่วยปกป้องคุ้มครองทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เพศที่สาม ผู้ถูกละเมิดทางเพศ ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ขณะนี้มีกลุ่มคนจำนวนมากที่ถูกกระทำแต่ไม่มีช่องทางกฎหมายหรือนายจ้าง องค์กร ไม่ดำเนินการช่วยเหลือรับผิดชอบ เช่น การละเมิดทางเพศแอร์โฮสเตสบริษัทการบินไทยฯ นายจ้างละเมิดทางเพศลูกจ้าง การเลิกจ้างหญิงตั้งครรภ์ในสถานประกอบการ เป็นต้น ที่ผ่านมาปัญหาเพิ่มมากขึ้นแต่ถูกเพิกเฉยไม่มีมาตรการดูแล กฎหมายฉบับนี้จะให้อำนาจในการเชิญผู้ละเมิดมาไต่สวน และวินิจฉัยเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งจะช่วยสร้างความเสมอภาคทางเพศให้เกิดขึ้น
ขณะที่น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า ปัญหาละเมิดทางเพศผู้หญิงและเด็กเพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่ละปีมีการร้องมายังมูลนิธิเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 100 ราย แต่มีการดำเนินคดีจริงเพียง 1 ใน 5 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการถูกข่มขืนกระทำชำเรา รุมโทรม ทั้งเหยื่อและผู้กระทำมีอาชีพการงานดี มีหน้าตาในวงสังคม พบทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม
ล่าสุดเป็นอาจารย์ต่างชาติที่สอนในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งหนึ่ง จะใช้วิธีการตั้งชมรมลีลาศสอนเต้นรำ และหลอกล่อทำให้ผู้หญิงที่สนใจ หลงใหลแล้วชวนไปสอนเต้นรำที่หอพักในสถาบันการศึกษา แต่กลับพาไปข่มขืน ซึ่งขณะนี้มีการส่งอีเมล์เตือนพฤติกรรมของอาจารย์คนนี้แล้ว แต่กลับถูกฟ้องหมิ่นประมาทเรื่องอยู่ในชั้นศาล
"พฤติกรรมของอาจารย์ชาวต่างชาติรายนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงต้นปีนี้ แต่ไม่สามารถดำเนินคดีได้เนื่องจากขาดอายุความ ซึ่งเหยื่อที่เข้ามาปรึกษาทางมูลนิธิฯ ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี บางรายถูกตามรังควาน หากไม่ยินยอมมีเพศสัมพันธ์ครั้งต่อๆ ไป ผู้หญิงบางคนมีลูกมีสามีแล้ว ก็ขู่จะส่งอีเมล์ไปถึงสามีทำให้เกิดความแตกแยกในครอบครัว บางคนทนไม่ได้ก็หนีไปอยู่ต่างประเทศ"
น.ส.สุเพ็ญศรี กล่าวต่อว่า ขณะนี้อาจารย์ชาวต่างชาติดังกล่าวก็ยังคงเปิดการสอนเต้นรำหลายแห่ง ภายนอกเขาจะสุภาพเรียบร้อย ให้เกียรติผู้หญิง รอจนผู้หญิงตายใจก็จู่โจมข่มขืน มีเหยื่อทั้งสาวชาวไทยและต่างชาติ ขณะนี้กำลังสืบหาผู้หญิงรายอื่นๆ ที่ถูกหลอกภายในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อดำเนินคดีกับอาจารย์รายนี้ พร้อมกับแจ้งเตือนผู้หญิงให้ระมัดระวังตัวเพื่อที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อ อีก
สำหรับการดำเนินการเอาผิดอาจารย์รายนี้ได้มีการรวบรวมข้อมูลปัญหาที่เกิดขึ้นแจ้งไปยังผู้บริหารสถาบันการศึกษาพิจารณา ซึ่งปัญหาขณะนี้นอกจากจะหมดอายุความแล้ว บุคคลผู้นี้ยังอาศัยอยู่ในสถาบันที่มีชื่อเสียงหน้าที่การงานได้รับความน่าเชื่อถือในวงสังคม