อิปซอสส์ระบุเศรษฐกิจพ่นพิษตลาดวิจัยประเทศไทยหดตัว ปีนี้โต 8% ต่ำกว่าเป้า ขณะที่ตลาดโลกโตพรวด 6-7% แดนมังกรมาแรงติดอันดับ 7 ของโลก หลังเจ้าของสินค้าไทยเมินออกสินค้าใหม่-หั่นงบวิจัยออก ผลวิจัยชี้พฤติกรรมผู้บริโภคชะลอซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค สองยักษ์ใหญ่ยูนิลีเวอร์-พีแอนด์จีอัดฉีดงบวิจัย เพื่อความแม่นยำในสภาพตลาดที่กำลังซื้อตกสะเก็ด
นายดิดิเยร์ ทรูโชท์ ประธานและกรรมการเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิปซอสส์ ประเทศไทย จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจการวิจัยจากฝรั่งเศส เปิดเผยว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ธุรกิจวิจัยมูลค่า 1,400 ล้านบาทได้รับผลกระทบ โดยอัตราการเติบโตชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด จากการที่คาดว่าการณ์ตลาดจะมีอัตราการเติบโต 15% แต่สิ้นปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเหลือ 8-9% ทั้งนี้เป็นเพราะเจ้าของสินค้าชะลอการออกสินค้าใหม่ลง จากปกติการเปิดตัวสินค้าของผู้ประกอบการจะใช้การวิจัยตลาด เพื่อความแม่นยำในการทำตลาด แต่เมื่อไม่มีสินค้าใหม่เปิดตัวมากนัก ทำให้งานวิจัยการตลาดซบเซาไปด้วย
ขณะนี้พบว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการชะลอการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคลงอย่างมาก โดยหันมาซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพ รวมไปถึงการซื้อสินค้าลดราคา ผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภคจึงทำการตลาดได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตาม มองว่ายิ่งสภาพตลาดที่ไม่เอื้อต่อการเปิดตัวสินค้าใหม่มากนัก ผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภคและอื่นๆ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการวิจัยทางการตลาด เพราะจะช่วยให้การทำตลาดออกมาได้อย่างแม่นยำและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคได้มากที่สุด โดยปัจจุบันผู้ประกอบการคนไทยตัดงบงานวิจัยลง ในขณะที่ผู้ประกอบการจากต่างประเทศ อย่าง ยูนิลีเวอร์ หรือพีแอนด์จีกลับให้ความสำคัญงานวิจัยอย่างมาก
ทั้งนี้มองแนวโน้มตลาดวิจัยทั่วโลกมูลค่า 2.5หมื่นล้านเหรียญ ปีนี้คาดว่าจะโต 6-7% ซึ่ง 4.5% มาจากการปริมาณงานวิจัยที่เพิ่มขึ้น ส่วนอีก 2.5% มาจากราคาที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการให้ความสำคัญกับงานด้านวิจัยค่อนข้างสูง ในสภาพที่ภาวะเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะที่ขึ้นกับราคาน้ำมัน
ในตลาดวิจัยในภูมิภาคเอเชียซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 14% ของมูลค่าตลาด 2.5 หมื่นล้านเหรียญ เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจีนซึ่งเป็นประเทศที่ธุรกิจวิจัยมีอัตราการเติบโตสูง โดยปัจจุบันติดอันดับ 1 ใน 7 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และแคนาดา ตามลำดับ
คาดว่าในประเทศจีนในอีก 4 ปีข้างหน้านี้ หรือปี 2553 ธุรกิจวิจัยจะพุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 3-4 ของโลก สำหรับในประเทศไทยธุรกิจวิจัยในอีก 5 ปีข้างหน้า ถึงจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มเป็น 15% จากแนวโน้มการเติบโตในภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา บริษัทให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียเป็นอย่างมาก โดยเข้ามาเปิด 9 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ เกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น และประเทศไทย
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจ บริษัทซึ่งปัจจุบันเป็นอันดับสามของโลก มีรายได้ 1.1 พันล้านเหรียญ จากการมีลูกค้ามาใช้บริการ 5,000 ราย จะให้ความสำคัญการทำตลาดงานวิจัยทางการตลาดในสัดส่วน 75% และวิจัยทางด้านสื่อในสัดส่วน 25%
ทั้งนี้สำหรับประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเจ้าของสินค้าในภูมิภาคนี้ ส่วนใหญ่จะใช้บริการจากบริษัทวิจัยในประเทศไทย เพราะมีราคาถูกกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับสิงคโปร์และฮ่องกง
อย่างไรก็ตามการแข่งขันตลาดวิจัยในไทย ปัจจุบันมีผู้ประกอบการระดับอินเตอร์ทั้งสิ้น โดยพบว่าจากจำนวนบริษัทดำเนินธุรกิจงานวิจัย 30 แห่ง มี 5 บริษัทจากต่างประเทศ ได้แก่ ซินโนเวท เอซีนีลเส็น รีเสิร์ช อินเตอร์เนชันแนล ฯลฯ สามารถครองส่วนแบ่งถึง 60%
หลังจากที่บริษัทเข้ามาเปิดดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2548 ปัจจุบันมีส่วนแบ่ง 5% และคาดว่าภายในปีแรกตั้งเป้ามีรายได้ 60 ล้านบาท จากการมีลูกค้า 20 ราย แบ่งเป็น ลูกค้าประจำ 10 ราย ได้แก่ พีแอนด์จี เนสท์เล่ สำหรับการดำเนินธุรกิจจากนี้บริษัทฯตั้งเป้ามีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก
นายดิดิเยร์ ทรูโชท์ ประธานและกรรมการเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิปซอสส์ ประเทศไทย จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจการวิจัยจากฝรั่งเศส เปิดเผยว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ธุรกิจวิจัยมูลค่า 1,400 ล้านบาทได้รับผลกระทบ โดยอัตราการเติบโตชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด จากการที่คาดว่าการณ์ตลาดจะมีอัตราการเติบโต 15% แต่สิ้นปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเหลือ 8-9% ทั้งนี้เป็นเพราะเจ้าของสินค้าชะลอการออกสินค้าใหม่ลง จากปกติการเปิดตัวสินค้าของผู้ประกอบการจะใช้การวิจัยตลาด เพื่อความแม่นยำในการทำตลาด แต่เมื่อไม่มีสินค้าใหม่เปิดตัวมากนัก ทำให้งานวิจัยการตลาดซบเซาไปด้วย
ขณะนี้พบว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการชะลอการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคลงอย่างมาก โดยหันมาซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพ รวมไปถึงการซื้อสินค้าลดราคา ผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภคจึงทำการตลาดได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตาม มองว่ายิ่งสภาพตลาดที่ไม่เอื้อต่อการเปิดตัวสินค้าใหม่มากนัก ผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภคและอื่นๆ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการวิจัยทางการตลาด เพราะจะช่วยให้การทำตลาดออกมาได้อย่างแม่นยำและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคได้มากที่สุด โดยปัจจุบันผู้ประกอบการคนไทยตัดงบงานวิจัยลง ในขณะที่ผู้ประกอบการจากต่างประเทศ อย่าง ยูนิลีเวอร์ หรือพีแอนด์จีกลับให้ความสำคัญงานวิจัยอย่างมาก
ทั้งนี้มองแนวโน้มตลาดวิจัยทั่วโลกมูลค่า 2.5หมื่นล้านเหรียญ ปีนี้คาดว่าจะโต 6-7% ซึ่ง 4.5% มาจากการปริมาณงานวิจัยที่เพิ่มขึ้น ส่วนอีก 2.5% มาจากราคาที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการให้ความสำคัญกับงานด้านวิจัยค่อนข้างสูง ในสภาพที่ภาวะเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะที่ขึ้นกับราคาน้ำมัน
ในตลาดวิจัยในภูมิภาคเอเชียซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 14% ของมูลค่าตลาด 2.5 หมื่นล้านเหรียญ เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจีนซึ่งเป็นประเทศที่ธุรกิจวิจัยมีอัตราการเติบโตสูง โดยปัจจุบันติดอันดับ 1 ใน 7 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และแคนาดา ตามลำดับ
คาดว่าในประเทศจีนในอีก 4 ปีข้างหน้านี้ หรือปี 2553 ธุรกิจวิจัยจะพุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 3-4 ของโลก สำหรับในประเทศไทยธุรกิจวิจัยในอีก 5 ปีข้างหน้า ถึงจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มเป็น 15% จากแนวโน้มการเติบโตในภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา บริษัทให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียเป็นอย่างมาก โดยเข้ามาเปิด 9 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ เกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น และประเทศไทย
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจ บริษัทซึ่งปัจจุบันเป็นอันดับสามของโลก มีรายได้ 1.1 พันล้านเหรียญ จากการมีลูกค้ามาใช้บริการ 5,000 ราย จะให้ความสำคัญการทำตลาดงานวิจัยทางการตลาดในสัดส่วน 75% และวิจัยทางด้านสื่อในสัดส่วน 25%
ทั้งนี้สำหรับประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเจ้าของสินค้าในภูมิภาคนี้ ส่วนใหญ่จะใช้บริการจากบริษัทวิจัยในประเทศไทย เพราะมีราคาถูกกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับสิงคโปร์และฮ่องกง
อย่างไรก็ตามการแข่งขันตลาดวิจัยในไทย ปัจจุบันมีผู้ประกอบการระดับอินเตอร์ทั้งสิ้น โดยพบว่าจากจำนวนบริษัทดำเนินธุรกิจงานวิจัย 30 แห่ง มี 5 บริษัทจากต่างประเทศ ได้แก่ ซินโนเวท เอซีนีลเส็น รีเสิร์ช อินเตอร์เนชันแนล ฯลฯ สามารถครองส่วนแบ่งถึง 60%
หลังจากที่บริษัทเข้ามาเปิดดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2548 ปัจจุบันมีส่วนแบ่ง 5% และคาดว่าภายในปีแรกตั้งเป้ามีรายได้ 60 ล้านบาท จากการมีลูกค้า 20 ราย แบ่งเป็น ลูกค้าประจำ 10 ราย ได้แก่ พีแอนด์จี เนสท์เล่ สำหรับการดำเนินธุรกิจจากนี้บริษัทฯตั้งเป้ามีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก