ปอด เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่อยู่ในร่างกาย อวัยวะทำหน้าที่ที่เกี่ยวกับการหายใจอยู่ภายในร่างกายของคนหรือสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังเป็นส่วนมาก
ปอดจึงเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก ยามใดที่เกิดอาการอักเสบของหลอดลมที่มีเสมหะอยู่ ในทางการแพทย์จะหมายถึงการคั่งของเลือดในปอดเนื่องจากการอักเสบ เป็นช่องทางให้เกิดปอดบวมได้แพทย์ก็จะเรียกอาการนั้นว่า “ปอดชื้น” และหากปอดอักเสบเนื่องจากเชื้อโรคเขาก็เรียกว่า “ปอดบวม”
โรคร้ายอย่างมะเร็งในปอดก็นับว่าเป็นเรื่องที่รักษายากอยู่แล้ว โรคใหม่ๆ ในช่วงหลังก็ยังไปเกี่ยวข้องกับปอดก็เพิ่มมากขึ้นและเป็นโรคติดต่อที่มีอันตรายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น “โรคซาร์ส” หรือ “โรคไข้หวัดนก” ก็ตาม
โรคซาร์ส (SARS) ชื่อภาษาไทยเรียกเต็มๆ ว่า โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง และมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Severe Acute Respiratory Syndrome นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่า โรคซาร์สนี้ เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดใหม่ ที่อยู่ในตระกูลเดียวกับ “โคโรน่าไวรัส” ที่เป็นตัวการก่อไข้หวัด อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่ง ชี้ว่า “โรคซาร์ส”
โรคไข้หวัดนก ภาษาอังกฤษเรียกว่า Avian Influenza (Bird Flu)โรคไข้หวัดนกเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสตระกูล Othomyxoviridae ซึ่งเป็น RNA ไวรัส มีเปลือกหุ้ม และส่วนที่ยื่นออกมาของ glycoprotein ซึ่งเป็น surface antigen เรียกว่า Hemagglutinin (H) และ Neuraminidase (N) ในปัจจุบันพบว่า มี Hemagglutinin จำนวน 15 ชนิด และ Neuraminidase จำนวน 9 ชนิด ที่ระบาดไปสู่คนและเป็นอันตรายถึงชีวิตก็คือไวรัสประเภท H5N1
และหากใครก็ตามที่ติดเชื้อ “โรคซาร์ส” หรือ “ไข้หวัดนก” ก็จะต้องถูกกักบริเวณล้อมพื้นที่เอาไว้ไม่ให้ใครมาใกล้ เพื่อไม่ให้ไวรัสแพร่ระบาดขยายตัวไปเพิ่มขึ้น แล้วจึงค่อยๆ รักษาเพื่อให้อาการดีขึ้นต่อไป
วิทยาการยิ่งก้าวหน้าไปเพียงไหน โรคภัยก็ก้าวหน้าตามไปเพียงนั้น และโรคภัยจำนวนหนึ่งก็เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์เอง กลายเป็นมนุษย์ได้ใช้สติปัญญาของตนเองและความก้าวหน้าของตัวเองและทำร้ายตัวเองจริงๆ
วันนี้จะมาอรรถาธิบายเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจกับโรคปอดอีกชนิดหนึ่งที่อยู่ในโลกนี้มาเป็นเวลาช้านานและวิทยาการทางการแพทย์ก็ยังไม่สามารถหาวิธีในการรักษาได้เช่นกัน
โรคที่ว่านั้นก็มีชื่อเรียกว่า “โรคปอดแหก” มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษกับเขาเช่นกันเรียกว่า “Rok Pod Haek”
“โรคปอดแหก” อาจเริ่มต้นด้วยอาการที่เรียกว่า “ปอดๆ”ก่อน ถ้าใครก็ตามเกิดอาการปอดๆ เมื่อใดก็จะเกิด “ความกลัวจนไม่กล้าทำอะไร” เช่น ไม่กล้าขึ้นเวทีร้องเพลง ไม่กล้าลงว่ายน้ำ เป็นต้น เมื่อเกิดอาการดังกล่าวขึ้นจนหวาดกลัว ยามนั้นลมหายใจจะสั้น ถี่ และหยาบ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับคนทั่วไปที่สามารถเกิดขึ้นได้
แต่ถ้ามีอาการหนักขึ้นจนมีอาการขลาดกลัวขึ้นสมอง ยามเมื่อเจออะไรผิดปกติแบบเผชิญหน้า เช่น มีคนมาตะโกนขับไล่ซึ่งหน้า ถูกระเบิดปลอมมาวางใกล้บริเวณบ้าน หรือคิดว่าจะมีคนมาสังหารตัวเอง เหตุการณ์เช่นนี้อาจทำให้ขั้นตื่นตระหนกตกใจอย่างรุนแรงฉับพลัน ลมหายใจที่สั้น ถี่และหยาบนั้น จะกระชากจนปอดเกิด “แหก” ขึ้นมาได้
และถ้าปอดเกิดแหกออกมาแล้ว ปอดชิ้นนั้นก็จะไม่สามารถกลับคืนสภาพเดิมได้อีก และถ้าปอดแหกบ่อยๆ เข้าก็จะเกิดอาการเรื้อรัง ก็จะกลายเป็นโรคที่มีชื่อว่า “โรคปอดแหก” หรือ “Rok Pod Haek” ได้ในที่สุด
ตามปกติแล้วคนที่เป็นโรคปอดแหกสมควรจะต้องอยู่เฉยๆ และไม่พยายามไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งจะทำให้อาการปอดแหกกำเริบ เช่น ไม่อยากร้องเพลงก็ไม่พยายามไปใกล้เวที หรือ ถ้าไม่อยากให้คนมาตะโกนขับไล่ หรือ มาลอบสังหารตัวเองเพราะตัวเองเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีที่เป็นปัญหาของประเทศ ก็สามารถที่จะเลือกลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองให้หมดเพื่อที่จะทำให้พ้นจากตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการโรคปอดแหกกำเริบได้
แต่ถ้าปล่อยให้กิเลสเย้ายวนจนความโลภเข้าครอบงำ เช่น กลัวว่าจะต้องถูกปรับเสียภาษี กลัวว่าการขายหุ้นตัวเองให้นอมินีต่างชาติจะเป็นโมฆะ กลัวว่าจะถูกยึดทรัพย์ ความโลภเหล่านี้เข้าครอบงำเมื่อไรคนประเภทนี้ก็อาจจะต้องทำงานปกป้องทรัพย์สินของตัวเอง ทั้งๆ ที่ต้องเป็นโรคปอดแหกต่อไป
ยิ่งถ้าได้ก่อกรรมทำเข็ญใดเอาไว้จนเป็นคดีความอาญา เช่น ไปแจ้งความเท็จ ฟ้องเท็จ ให้การเท็จ เข้าไปอีก ความปอดแหกในการที่จะติดคุกติดตะรางก็อาจจะผสมโรงเพิ่มเติมเข้าไปอีก
กลัวคนมาตะโกนขับไล่ซึ่งหน้า กลัวรักษาทรัพย์สินเอาไว้ไม่ได้ กลัวตัวเองและครอบครัวต้องหมดอิสรภาพอยู่ในคุกตะราง และกลัวรักษาชีวิตเอาไว้ไม่รอด
นี่คือโรคปอดแหกที่มีอาการขั้นรุนแรงสูงสุดซึ่งเป็นระยะสุดท้ายแล้ว!!
และนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีความสับสนอยู่ตลอดเวลา บางวันก็บอกว่าจะสู้เดินหน้าต่อไป บางวันก็บอกว่าจะเว้นวรรค บางวันก็บอกว่าคนเราเกิดหนเดียวตายหนเดียว
ในขณะที่พระบรมวงศานุวงศ์หลายต่อหลายพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปภาคใต้ เพื่อพระราชทานน้ำอาบศพและพระราชทานเพลิงศพทหารหาญทุกครั้ง ไปทรงเยี่ยมครอบครัวและพสกนิกรที่ถูกผลกระทบจากไฟใต้ด้วยความใกล้ชิดหลายต่อหลายครั้ง ประธานองคมนตรีและองคมนตรีต้องเดินทางไปให้ขวัญกำลังใจข้าราชการและประชาชนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อ้างตัวเองว่ามีอำนาจและหน้าที่เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีกลับเพิกเฉยและไม่ใส่ใจ
ปอดแหกแล้วไม่มียางอายอีก ใช่หรือไม่?
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ไปงานศพหรือเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บที่ภาคใต้มาเป็นเวลานานมากแล้ว เคยพูดจาอย่างสนุกสนานยามที่นายทหารนักบินเครื่องบินตก ล่าสุดเวลาไปงานศพของทหารหาญที่จังหวัดอุบลราชธานีก็ยังต้องมีการตรวจวัตถุระเบิดพวงหรีดรอบโลงศพอีก นับว่าเป็นภาพที่น่าเกลียดเกินกว่าจะรับได้
ทหารจำนวนไม่น้อยอาจจะเกิดความสงสัยว่าความขลาดกลัวขึ้นสมองของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่นนี้ จะมีศักดิ์ศรีอะไรที่จะไปงานศพของทหารหาญที่ยอมพลีชีพในการปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเกียรติ!!!
ถึงขนาดนี้แล้ว ยังมีสิทธิ์อะไรที่จะมาตำหนิทหารและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ที่ภาคใต้อีก? ทั้งๆ ที่ไม่เคยให้อำนาจผู้ดูแลในการโยกย้ายข้าราชการ ทหาร หรือตำรวจอย่างเบ็ดเสร็จเลย
ทหารบางคนที่ปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกหน้าออกตาต่างได้ดิบได้ดี ในทางตรงกันข้าม ทหารหาญบางคนที่ออกมาประกาศปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ด้วยชีวิต ต่อสู้กับนักการเมืองขี้ฉ้อ กลับมีความพยายามที่จะโยกย้ายให้ไปอยู่บนหิ้ง ไม่ให้คุมกำลัง ไม่ให้มีอำนาจ
แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังจะมีหน้ามาล้วงลูกปรับโผทหารเพื่อสนองความต้องการส่วนตัวได้อย่างไร?
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถึงขนาดใช้รถยนต์กันกระสุนถึงสองคันแล้วถอดป้ายทะเบียนออก ไม่รู้ว่านี่คือความโง่หรือความฉลาด ถึงขนาดทำให้ทุกคนในประเทศไทยได้รู้ว่าถ้ามีรถสีดำที่ไม่เหมือนใครทะเบียนถอดป้ายมาพร้อมกับขบวนรถเมื่อไร หนึ่งในสองรถคันนั้นต้องมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั่งอยู่อย่างแน่นอน
กลัวขนาดนี้ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาจพรางตัวเองมากับรถขนขยะหรือรถดูดส้วม โดยที่ไม่มีใครสังเกตก็ได้ ใครจะไปรู้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปห้างสรรพสินค้า ก็ให้หน่วยรักษาความปลอดภัยกีดกันประชาชนและสื่อสารมวลชนไม่ให้เข้ามาเข้าใกล้ จนสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและร้านค้าไปทั่ว
จะไปเปิดสะพานใหม่ในกรุงเทพฯ ก็กลัวทหารไม่อยากให้ทหารมาร่วมพิธี จนโรคปอดแหกเริ่มระบาดไปกว้างขึ้นในหมู่คนในระบอบทักษิณ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เวลาไปในทำเนียบรัฐบาลที่มีการป้องกันภัยอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว ก็ดันใช้เชือกกั้นบริเวณไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าใกล้เกิน 3 เมตร
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาจจะกำลังอยู่ในภาวะหวาดระแวงประชาชนและสื่อสารมวลชน มีคนล้อมปิดล้อมเต็มไปหมด ราวกับตัวเองเป็น “โรคไข้หวัดนก” หรือ“โรคซาร์ส” ที่ห้ามประชาชนเข้าใกล้
ไม่รู้ว่ายังจะอยู่ในสภาพที่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไปได้อย่างไร?
โรคปอดแหกไม่ใช่ว่าจะรักษาหายไม่ได้ ทางที่ดีควรจะต้องทำความเข้าใจกับธรรมชาติ ทุกอย่างมีเหตุและปัจจัยและเป็นไปตามกรรม ปล่อยวางความไม่เที่ยงทั้งหลาย ทั้งในเรื่องทรัพย์สิน เงินทอง อิสรภาพ และชีวิต ดังที่ปรากฏในหนังสือของพุทธทาสที่มีชื่อว่า พินัยกรรมของพุทธความตอนหนึ่งว่า:
วันหนึ่งเดินเข้าไป วันหนึ่งเดินออกมา ซึ่งคนอยู่ในโลกจะต้องระวังเอาเอง อย่าให้มันขัดกัน ซึ่งจะต้องจัดหลีกให้ดีๆ คือให้ถูกเรื่อง ยึดครองอย่างไม่ยึดเอา มีเหมือนไม่มี เป็นของฉันเพียงแค่สิทธิที่จะใช้สอย สิทธิชั่วเวลาที่ยืมของธรรมชาติมา เอาเลยไม่ได้แม้แต่สิ่งที่เรียกว่า “ชีวิตของเรา”
ปอดจึงเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก ยามใดที่เกิดอาการอักเสบของหลอดลมที่มีเสมหะอยู่ ในทางการแพทย์จะหมายถึงการคั่งของเลือดในปอดเนื่องจากการอักเสบ เป็นช่องทางให้เกิดปอดบวมได้แพทย์ก็จะเรียกอาการนั้นว่า “ปอดชื้น” และหากปอดอักเสบเนื่องจากเชื้อโรคเขาก็เรียกว่า “ปอดบวม”
โรคร้ายอย่างมะเร็งในปอดก็นับว่าเป็นเรื่องที่รักษายากอยู่แล้ว โรคใหม่ๆ ในช่วงหลังก็ยังไปเกี่ยวข้องกับปอดก็เพิ่มมากขึ้นและเป็นโรคติดต่อที่มีอันตรายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น “โรคซาร์ส” หรือ “โรคไข้หวัดนก” ก็ตาม
โรคซาร์ส (SARS) ชื่อภาษาไทยเรียกเต็มๆ ว่า โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง และมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Severe Acute Respiratory Syndrome นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่า โรคซาร์สนี้ เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดใหม่ ที่อยู่ในตระกูลเดียวกับ “โคโรน่าไวรัส” ที่เป็นตัวการก่อไข้หวัด อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่ง ชี้ว่า “โรคซาร์ส”
โรคไข้หวัดนก ภาษาอังกฤษเรียกว่า Avian Influenza (Bird Flu)โรคไข้หวัดนกเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสตระกูล Othomyxoviridae ซึ่งเป็น RNA ไวรัส มีเปลือกหุ้ม และส่วนที่ยื่นออกมาของ glycoprotein ซึ่งเป็น surface antigen เรียกว่า Hemagglutinin (H) และ Neuraminidase (N) ในปัจจุบันพบว่า มี Hemagglutinin จำนวน 15 ชนิด และ Neuraminidase จำนวน 9 ชนิด ที่ระบาดไปสู่คนและเป็นอันตรายถึงชีวิตก็คือไวรัสประเภท H5N1
และหากใครก็ตามที่ติดเชื้อ “โรคซาร์ส” หรือ “ไข้หวัดนก” ก็จะต้องถูกกักบริเวณล้อมพื้นที่เอาไว้ไม่ให้ใครมาใกล้ เพื่อไม่ให้ไวรัสแพร่ระบาดขยายตัวไปเพิ่มขึ้น แล้วจึงค่อยๆ รักษาเพื่อให้อาการดีขึ้นต่อไป
วิทยาการยิ่งก้าวหน้าไปเพียงไหน โรคภัยก็ก้าวหน้าตามไปเพียงนั้น และโรคภัยจำนวนหนึ่งก็เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์เอง กลายเป็นมนุษย์ได้ใช้สติปัญญาของตนเองและความก้าวหน้าของตัวเองและทำร้ายตัวเองจริงๆ
วันนี้จะมาอรรถาธิบายเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจกับโรคปอดอีกชนิดหนึ่งที่อยู่ในโลกนี้มาเป็นเวลาช้านานและวิทยาการทางการแพทย์ก็ยังไม่สามารถหาวิธีในการรักษาได้เช่นกัน
โรคที่ว่านั้นก็มีชื่อเรียกว่า “โรคปอดแหก” มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษกับเขาเช่นกันเรียกว่า “Rok Pod Haek”
“โรคปอดแหก” อาจเริ่มต้นด้วยอาการที่เรียกว่า “ปอดๆ”ก่อน ถ้าใครก็ตามเกิดอาการปอดๆ เมื่อใดก็จะเกิด “ความกลัวจนไม่กล้าทำอะไร” เช่น ไม่กล้าขึ้นเวทีร้องเพลง ไม่กล้าลงว่ายน้ำ เป็นต้น เมื่อเกิดอาการดังกล่าวขึ้นจนหวาดกลัว ยามนั้นลมหายใจจะสั้น ถี่ และหยาบ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับคนทั่วไปที่สามารถเกิดขึ้นได้
แต่ถ้ามีอาการหนักขึ้นจนมีอาการขลาดกลัวขึ้นสมอง ยามเมื่อเจออะไรผิดปกติแบบเผชิญหน้า เช่น มีคนมาตะโกนขับไล่ซึ่งหน้า ถูกระเบิดปลอมมาวางใกล้บริเวณบ้าน หรือคิดว่าจะมีคนมาสังหารตัวเอง เหตุการณ์เช่นนี้อาจทำให้ขั้นตื่นตระหนกตกใจอย่างรุนแรงฉับพลัน ลมหายใจที่สั้น ถี่และหยาบนั้น จะกระชากจนปอดเกิด “แหก” ขึ้นมาได้
และถ้าปอดเกิดแหกออกมาแล้ว ปอดชิ้นนั้นก็จะไม่สามารถกลับคืนสภาพเดิมได้อีก และถ้าปอดแหกบ่อยๆ เข้าก็จะเกิดอาการเรื้อรัง ก็จะกลายเป็นโรคที่มีชื่อว่า “โรคปอดแหก” หรือ “Rok Pod Haek” ได้ในที่สุด
ตามปกติแล้วคนที่เป็นโรคปอดแหกสมควรจะต้องอยู่เฉยๆ และไม่พยายามไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งจะทำให้อาการปอดแหกกำเริบ เช่น ไม่อยากร้องเพลงก็ไม่พยายามไปใกล้เวที หรือ ถ้าไม่อยากให้คนมาตะโกนขับไล่ หรือ มาลอบสังหารตัวเองเพราะตัวเองเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีที่เป็นปัญหาของประเทศ ก็สามารถที่จะเลือกลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองให้หมดเพื่อที่จะทำให้พ้นจากตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการโรคปอดแหกกำเริบได้
แต่ถ้าปล่อยให้กิเลสเย้ายวนจนความโลภเข้าครอบงำ เช่น กลัวว่าจะต้องถูกปรับเสียภาษี กลัวว่าการขายหุ้นตัวเองให้นอมินีต่างชาติจะเป็นโมฆะ กลัวว่าจะถูกยึดทรัพย์ ความโลภเหล่านี้เข้าครอบงำเมื่อไรคนประเภทนี้ก็อาจจะต้องทำงานปกป้องทรัพย์สินของตัวเอง ทั้งๆ ที่ต้องเป็นโรคปอดแหกต่อไป
ยิ่งถ้าได้ก่อกรรมทำเข็ญใดเอาไว้จนเป็นคดีความอาญา เช่น ไปแจ้งความเท็จ ฟ้องเท็จ ให้การเท็จ เข้าไปอีก ความปอดแหกในการที่จะติดคุกติดตะรางก็อาจจะผสมโรงเพิ่มเติมเข้าไปอีก
กลัวคนมาตะโกนขับไล่ซึ่งหน้า กลัวรักษาทรัพย์สินเอาไว้ไม่ได้ กลัวตัวเองและครอบครัวต้องหมดอิสรภาพอยู่ในคุกตะราง และกลัวรักษาชีวิตเอาไว้ไม่รอด
นี่คือโรคปอดแหกที่มีอาการขั้นรุนแรงสูงสุดซึ่งเป็นระยะสุดท้ายแล้ว!!
และนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีความสับสนอยู่ตลอดเวลา บางวันก็บอกว่าจะสู้เดินหน้าต่อไป บางวันก็บอกว่าจะเว้นวรรค บางวันก็บอกว่าคนเราเกิดหนเดียวตายหนเดียว
ในขณะที่พระบรมวงศานุวงศ์หลายต่อหลายพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปภาคใต้ เพื่อพระราชทานน้ำอาบศพและพระราชทานเพลิงศพทหารหาญทุกครั้ง ไปทรงเยี่ยมครอบครัวและพสกนิกรที่ถูกผลกระทบจากไฟใต้ด้วยความใกล้ชิดหลายต่อหลายครั้ง ประธานองคมนตรีและองคมนตรีต้องเดินทางไปให้ขวัญกำลังใจข้าราชการและประชาชนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อ้างตัวเองว่ามีอำนาจและหน้าที่เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีกลับเพิกเฉยและไม่ใส่ใจ
ปอดแหกแล้วไม่มียางอายอีก ใช่หรือไม่?
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ไปงานศพหรือเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บที่ภาคใต้มาเป็นเวลานานมากแล้ว เคยพูดจาอย่างสนุกสนานยามที่นายทหารนักบินเครื่องบินตก ล่าสุดเวลาไปงานศพของทหารหาญที่จังหวัดอุบลราชธานีก็ยังต้องมีการตรวจวัตถุระเบิดพวงหรีดรอบโลงศพอีก นับว่าเป็นภาพที่น่าเกลียดเกินกว่าจะรับได้
ทหารจำนวนไม่น้อยอาจจะเกิดความสงสัยว่าความขลาดกลัวขึ้นสมองของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่นนี้ จะมีศักดิ์ศรีอะไรที่จะไปงานศพของทหารหาญที่ยอมพลีชีพในการปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเกียรติ!!!
ถึงขนาดนี้แล้ว ยังมีสิทธิ์อะไรที่จะมาตำหนิทหารและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ที่ภาคใต้อีก? ทั้งๆ ที่ไม่เคยให้อำนาจผู้ดูแลในการโยกย้ายข้าราชการ ทหาร หรือตำรวจอย่างเบ็ดเสร็จเลย
ทหารบางคนที่ปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกหน้าออกตาต่างได้ดิบได้ดี ในทางตรงกันข้าม ทหารหาญบางคนที่ออกมาประกาศปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ด้วยชีวิต ต่อสู้กับนักการเมืองขี้ฉ้อ กลับมีความพยายามที่จะโยกย้ายให้ไปอยู่บนหิ้ง ไม่ให้คุมกำลัง ไม่ให้มีอำนาจ
แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังจะมีหน้ามาล้วงลูกปรับโผทหารเพื่อสนองความต้องการส่วนตัวได้อย่างไร?
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถึงขนาดใช้รถยนต์กันกระสุนถึงสองคันแล้วถอดป้ายทะเบียนออก ไม่รู้ว่านี่คือความโง่หรือความฉลาด ถึงขนาดทำให้ทุกคนในประเทศไทยได้รู้ว่าถ้ามีรถสีดำที่ไม่เหมือนใครทะเบียนถอดป้ายมาพร้อมกับขบวนรถเมื่อไร หนึ่งในสองรถคันนั้นต้องมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั่งอยู่อย่างแน่นอน
กลัวขนาดนี้ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาจพรางตัวเองมากับรถขนขยะหรือรถดูดส้วม โดยที่ไม่มีใครสังเกตก็ได้ ใครจะไปรู้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปห้างสรรพสินค้า ก็ให้หน่วยรักษาความปลอดภัยกีดกันประชาชนและสื่อสารมวลชนไม่ให้เข้ามาเข้าใกล้ จนสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและร้านค้าไปทั่ว
จะไปเปิดสะพานใหม่ในกรุงเทพฯ ก็กลัวทหารไม่อยากให้ทหารมาร่วมพิธี จนโรคปอดแหกเริ่มระบาดไปกว้างขึ้นในหมู่คนในระบอบทักษิณ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เวลาไปในทำเนียบรัฐบาลที่มีการป้องกันภัยอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว ก็ดันใช้เชือกกั้นบริเวณไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าใกล้เกิน 3 เมตร
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาจจะกำลังอยู่ในภาวะหวาดระแวงประชาชนและสื่อสารมวลชน มีคนล้อมปิดล้อมเต็มไปหมด ราวกับตัวเองเป็น “โรคไข้หวัดนก” หรือ“โรคซาร์ส” ที่ห้ามประชาชนเข้าใกล้
ไม่รู้ว่ายังจะอยู่ในสภาพที่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไปได้อย่างไร?
โรคปอดแหกไม่ใช่ว่าจะรักษาหายไม่ได้ ทางที่ดีควรจะต้องทำความเข้าใจกับธรรมชาติ ทุกอย่างมีเหตุและปัจจัยและเป็นไปตามกรรม ปล่อยวางความไม่เที่ยงทั้งหลาย ทั้งในเรื่องทรัพย์สิน เงินทอง อิสรภาพ และชีวิต ดังที่ปรากฏในหนังสือของพุทธทาสที่มีชื่อว่า พินัยกรรมของพุทธความตอนหนึ่งว่า:
วันหนึ่งเดินเข้าไป วันหนึ่งเดินออกมา ซึ่งคนอยู่ในโลกจะต้องระวังเอาเอง อย่าให้มันขัดกัน ซึ่งจะต้องจัดหลีกให้ดีๆ คือให้ถูกเรื่อง ยึดครองอย่างไม่ยึดเอา มีเหมือนไม่มี เป็นของฉันเพียงแค่สิทธิที่จะใช้สอย สิทธิชั่วเวลาที่ยืมของธรรมชาติมา เอาเลยไม่ได้แม้แต่สิ่งที่เรียกว่า “ชีวิตของเรา”