วิลล่า มาร์เก็ตเดินหน้าสลัดภาพเดิม ทุ่มเม็ดเงินรวมกว่า 70 ล้านบาท กอดคอ “ทรู” เสริมช่องทางขายออนไลน์ ผุดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่งในกรุงเทพฯ พร้อมรีโนเวทสาขาเดิมอีก 5 สาขา สู่ความเป็นโมเดิร์นซูเปอร์มาร์เก็ตมากขึ้น เผยปีหน้าเตรียมสยายปีกคลอดสาขาในต่างจังหวัดอีก 3 สาขา มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15%
นายพิศิษฐ์ ภูสนาคม กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิลล่า มาร์เก็ต เจพี จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตโดยคนไทย ภายใต้ชื่อ “วิลล่า มาร์เก็ต” เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแนวคิดที่จะนำสินค้ามาวางจำหน่ายยังช่องทางออนไลน์มานานแล้ว เนื่องจากเชื่อว่าช่องทางขายผ่านออนไลน์นั้น จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอนาคต อีกทั้งลูกค้าส่วนใหญ่ของวิลล่า มาร์เก็ต นั้น จะมีคุ้นเคยกับการใช้อินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความรู้ความสามารถและมีการศึกษาที่ดี
ดังนั้นบริษัทฯจึงได้ร่วมมือกับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) จำกัด ให้ลูกค้าได้สามารถเลือกซื้อสินค้าจากวิลล่า มาร์เก็ต แบบออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ www.weloveshopping.com โดยไม่จำกัดการสั่งซื้อขั้นต่ำ ส่วนลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้านั้น จะเสียค่าธรรมเนียมในการขนส่งอีก 120 บาทต่อหนึ่งใบเสร็จ
เบื้องต้นบริษัทฯได้จัดสรรงบประมาณกว่า 10 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์และด้านไอทีให้เชื่อมโยงการทำงานระหว่างกันกับเว็บไซต์ดังกล่าว และในส่วนของสินค้าที่วางจำหน่ายบนเว็บไซต์ในขณะนี้มีจำนวนกว่า 1,000 เอสเคยู คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถนำสินค้าที่มีวางจำหน่ายในร้านทั้งหมดประมาณ 30,000 เอสเคยู มาให้ใช้บริการผ่านเว็บไซต์ได้
“การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆนั้น ส่วนหนึ่งเพื่อที่จะสามารถตอบสนองความต้องการและเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้า และอีกทางหนึ่งมองว่าเป็นช่องทางที่ช่วยให้ไม่ต้องเปิดสาขาเพิ่มในปัจจุบันที่เศรษฐกิจยังไม่ดี อีกทั้งช่องทางออนไลน์นี้เป็นเพียงการทดลองตลาดเท่านั้น บริษัทฯมีได้หวังผลทางด้านรายได้แต่อย่างไร แต่ทั้งนี้เชื่อว่าภายในระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี รายได้จากช่องทางออนไลน์จะมีบทบาทและสามารถรับรู้รายได้มากขึ้น เชื่อว่าจะช่วยให้บริษัทฯมีรายได้เติบโตขึ้นเป็น 10-15% จากเดิมที่มีอัตราการเติบโตในแต่ละปีเพียง 5-10% ”
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯยังได้จัดสรรงบประมาณอีกกว่า60 ล้านบาท ในการขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา คือ สุขุมวิท 11 และซอยอารีย์ ในลักษณะสแตนอโลน บนพื้นที่ประมาณ 1,500-2,000 ตารางเมตร จากเดิมพื้นที่ในแต่ละสาขาจะอยู่ที่ 1,000 ตารางเมตรโดยประมาณ โดยสาขาใหม่นี้จะมีโมเดลร้านเป็นโมเดิร์นซูเปอร์มาร์เก็ตมากขึ้น กับการจัดดีสเพลย์สินค้าใหม่ ช่วยให้ร้านดูสบายตา คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
ทั้งนี้บริษัทฯจะมีการนำโมเดลร้านดังกล่าวไปรีโนเวทใช้กับสาขาเดิมอีกกว่า 10 สาขาที่มีอยู่ โดยในขณะนี้ยังเหลือสาขาเดิมประมาณ 5 สาขา ที่จะต้องรีโนเวทอยู่ ซึ่งบริษัทฯจะทำการรีโนเวทสาขาที่เหลือนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้กำหนดระยะเวลาแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันในปีหน้านั้น บริษัทฯจะมีการขยายสาขาไปสู่ต่างจังหวัดอีก 3 สาขาเป็นอย่างน้อย คือ พัทยา ภูเก็ต และหัวหิน ในลักษณะสแตนอโลนเช่นเดียวกัน ส่วนในกรุงเทพฯนั้น บริษัทฯยังจะมีการขยายสาขาเพิ่มในอนาคตต่อไป เนื่องจากยังมีที่ดินเหลืออยู่อีกหลายแปลง
นายพิศิษฐ์ ภูสนาคม กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิลล่า มาร์เก็ต เจพี จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตโดยคนไทย ภายใต้ชื่อ “วิลล่า มาร์เก็ต” เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแนวคิดที่จะนำสินค้ามาวางจำหน่ายยังช่องทางออนไลน์มานานแล้ว เนื่องจากเชื่อว่าช่องทางขายผ่านออนไลน์นั้น จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอนาคต อีกทั้งลูกค้าส่วนใหญ่ของวิลล่า มาร์เก็ต นั้น จะมีคุ้นเคยกับการใช้อินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความรู้ความสามารถและมีการศึกษาที่ดี
ดังนั้นบริษัทฯจึงได้ร่วมมือกับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) จำกัด ให้ลูกค้าได้สามารถเลือกซื้อสินค้าจากวิลล่า มาร์เก็ต แบบออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ www.weloveshopping.com โดยไม่จำกัดการสั่งซื้อขั้นต่ำ ส่วนลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้านั้น จะเสียค่าธรรมเนียมในการขนส่งอีก 120 บาทต่อหนึ่งใบเสร็จ
เบื้องต้นบริษัทฯได้จัดสรรงบประมาณกว่า 10 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์และด้านไอทีให้เชื่อมโยงการทำงานระหว่างกันกับเว็บไซต์ดังกล่าว และในส่วนของสินค้าที่วางจำหน่ายบนเว็บไซต์ในขณะนี้มีจำนวนกว่า 1,000 เอสเคยู คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถนำสินค้าที่มีวางจำหน่ายในร้านทั้งหมดประมาณ 30,000 เอสเคยู มาให้ใช้บริการผ่านเว็บไซต์ได้
“การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆนั้น ส่วนหนึ่งเพื่อที่จะสามารถตอบสนองความต้องการและเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้า และอีกทางหนึ่งมองว่าเป็นช่องทางที่ช่วยให้ไม่ต้องเปิดสาขาเพิ่มในปัจจุบันที่เศรษฐกิจยังไม่ดี อีกทั้งช่องทางออนไลน์นี้เป็นเพียงการทดลองตลาดเท่านั้น บริษัทฯมีได้หวังผลทางด้านรายได้แต่อย่างไร แต่ทั้งนี้เชื่อว่าภายในระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี รายได้จากช่องทางออนไลน์จะมีบทบาทและสามารถรับรู้รายได้มากขึ้น เชื่อว่าจะช่วยให้บริษัทฯมีรายได้เติบโตขึ้นเป็น 10-15% จากเดิมที่มีอัตราการเติบโตในแต่ละปีเพียง 5-10% ”
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯยังได้จัดสรรงบประมาณอีกกว่า60 ล้านบาท ในการขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา คือ สุขุมวิท 11 และซอยอารีย์ ในลักษณะสแตนอโลน บนพื้นที่ประมาณ 1,500-2,000 ตารางเมตร จากเดิมพื้นที่ในแต่ละสาขาจะอยู่ที่ 1,000 ตารางเมตรโดยประมาณ โดยสาขาใหม่นี้จะมีโมเดลร้านเป็นโมเดิร์นซูเปอร์มาร์เก็ตมากขึ้น กับการจัดดีสเพลย์สินค้าใหม่ ช่วยให้ร้านดูสบายตา คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
ทั้งนี้บริษัทฯจะมีการนำโมเดลร้านดังกล่าวไปรีโนเวทใช้กับสาขาเดิมอีกกว่า 10 สาขาที่มีอยู่ โดยในขณะนี้ยังเหลือสาขาเดิมประมาณ 5 สาขา ที่จะต้องรีโนเวทอยู่ ซึ่งบริษัทฯจะทำการรีโนเวทสาขาที่เหลือนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้กำหนดระยะเวลาแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันในปีหน้านั้น บริษัทฯจะมีการขยายสาขาไปสู่ต่างจังหวัดอีก 3 สาขาเป็นอย่างน้อย คือ พัทยา ภูเก็ต และหัวหิน ในลักษณะสแตนอโลนเช่นเดียวกัน ส่วนในกรุงเทพฯนั้น บริษัทฯยังจะมีการขยายสาขาเพิ่มในอนาคตต่อไป เนื่องจากยังมีที่ดินเหลืออยู่อีกหลายแปลง