คำว่า “ระบบเผด็จการประชาธิปไตย” เป็นศัพท์ที่ขัดแย้งกันในตัว เพราะประชาธิปไตยเป็นระบบการเมืองการปกครองที่อยู่ตรงข้ามกับเผด็จการ และเมื่อมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้วระบบเผด็จการย่อมต้องหายไป คำว่า ระบบเผด็จการแบบประชาธิปไตยจึงจำเป็นต้องมีการขยายความอย่างมีเหตุมีผล และมีหลักฐานที่จะทำให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ข้อสังเกตก็คือ สิ่งที่คนทั่วไปเคยได้ยินคือคำว่า เผด็จการรัฐสภา หมายความว่า พรรคการเมืองบางพรรคมีเสียงในสภามาก การผ่านกฎหมายโดยสภาหรือการลงคะแนนเสียงในสภาใช้ความได้เปรียบของเสียงข้างมากโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง กระบวนการเช่นนี้เรียกว่าเผด็จการรัฐสภา แต่คำว่าเผด็จการประชาธิปไตยนั้นมีความหมายที่กว้างกว่า
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมีลักษณะใหญ่ๆ 5 ประการดังต่อไปนี้ คือ ก) มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทุกๆ 4 หรือ 5 ปี ข) ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง ค) มีการประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ง) มีการใช้หลักนิติธรรมในการบริหารประเทศ จ) มีระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่กล่าวมาเบื้องต้นนั้นจะประสบความสำเร็จย่อมขึ้นอยู่กับ 3 ตัวแปรหลักๆ ดังต่อไปนี้ คือ
ตัวแปรที่หนึ่ง สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจต้องเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ระบบสังคมนั้นจะต้องประกอบด้วย ชุมชนเมืองที่มากพอ มีสื่อมวลชนที่สามารถให้ข่าวสารข้อมูลต่อประชาชน ประชาชนมีระดับการศึกษาถึงระดับที่มีความตื่นตัวทางการเมือง มีชนชั้นกลางเป็นจำนวนมากพอ
ในทางเศรษฐกิจนั้น สังคมที่เป็นสังคมอุตสาหกรรมหรือเกษตรอุตสาหกรรมซึ่งจะส่งผลถึงการพัฒนาในส่วนของสังคมที่กล่าวมาเบื้องต้น จะเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยได้ดีกว่าที่เป็นสังคมเกษตรแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นสังคมชนบทและการผลิตแบบดั้งเดิม
ตัวแปรที่สอง ได้แก่ โครงสร้างและกระบวนการทางการเมือง ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับกฎกติกาที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น รัฐสภาประกอบด้วยสภาที่มาจากการเลือกตั้ง หรือเลือกตั้งและแต่งตั้งผสมกัน อำนาจของฝ่ายบริหาร การตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ กลไกการตรวจสอบการฉ้อราษฎร์บังหลวง สถาบันจัดการการเลือกตั้ง การกระจายอำนาจและการปกครองตนเอง ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ฯลฯ
ตัวแปรที่สาม นี้ซึ่งจะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย คือวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยในหมู่ผู้นำทางการเมืองและในหมู่ประชาชนทั่วไป เช่น การมีความเชื่อและศรัทธาในความเสมอภาคของมนุษย์ มีจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย มีความอดทนอดกลั้น มีใจนักกีฬา ฯลฯ
แต่ในบางสังคมซึ่งมีระดับการพัฒนาสังคมที่ต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเข้าถึงข่าวสารข้อมูล และระดับการศึกษา การพยายามพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอาจจบลงด้วยการนำไปสู่ระบบ เผด็จการประชาธิปไตย ได้ ซึ่งจะอรรถาธิบายได้ด้วยการนำเอาอารยธรรมคลื่นสามลูกของอัลวิน ทอฟเฟอร์ (Alvin Toffler) มาเป็นจุดเริ่มต้น
อัลวิน ทอฟเฟอร์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ คลื่นลูกที่สาม (The Third Wave) ไว้ว่า คลื่นอารยธรรมมนุษย์จะประกอบด้วย คลื่นสังคมเกษตร คลื่นสังคมอุตสาหกรรม และคลื่นสังคมข่าวสารข้อมูล ในคลื่นสังคมเกษตรนั้นประชาชนจะมีข้อมูลจำกัด มีระดับการศึกษาไม่สูง ส่วนใหญ่อยู่ในชนบท มีฐานะยากจน ขาดความตื่นตัวทางการเมือง และอาจจะมีความเชื่อแบบงมงายได้ คลื่นสังคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้นหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมใน 300 ปีที่ผ่านมา
ในสังคมอุตสาหกรรมคนจะอยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ เข้าถึงข่าวสารข้อมูล มีนิสัยการทำงานที่เปลี่ยนไป คล่องแคล่วว่องไว ตรงต่อเวลา ใช้เหตุใช้ผลทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหา เช่น การซ่อมเครื่องจักร รวมกันเป็นกลุ่มจัดตั้งเป็นสหภาพ รู้จักสิทธิเสรีภาพของตน มีอำนาจต่อรอง
ในส่วนคลื่นลูกที่สามนั้น จะประกอบด้วยเทคโนโลยีข่าวสารข้อมูล คนในคลื่นนี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีข่าวสารข้อมูล สมองกล การผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง มีความเชี่ยวชาญในตลาดหุ้น การลงทุน การเงินการธนาคาร มีความตื่นตัวและปรับตัวตลอดเวลา มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการพัฒนาที่จะมีขึ้นอนาคต คนกลุ่มนี้จะประกอบธุรกิจข่าวสารที่ได้กำไรงาม มีอำนาจต่อรองสูง
สังคมบางสังคมเช่นสังคมไทย ประชาชน 60% ยังอยู่ในคลื่นลูกที่หนึ่งหรือประมาณ 35-40 ล้านคน จากประชากร 65 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่มีการศึกษาต่ำกว่า 4-6 ปี หรือส่วนใหญ่ต่ำกว่า 10 ปี ทำมาหากินอยู่ในชนบท มีข้อจำกัดในข่าวสารข้อมูล ขาดความคิดที่ลึกซึ้ง มีฐานะที่ยากจน โดยมีลักษณะคู่แฝดคือ จนและเขลา
ส่วนในสังคมคลื่นลูกที่สองจะประกอบด้วย นักธุรกิจที่ทำการค้าอยู่ในวงการเงิน การบริการ และโรงงานอุตสาหกรรม คนเหล่านี้พุ่งจุดสนใจไปยังการทำกำไร คอยติดตามข่าวสารของการทำธุรกิจ เมื่อเกิดการติดขัดด้วยเหตุผลทางการเมืองก็จะเกิดความไม่พอใจ แต่ถ้ามีโอกาสเข้าอยู่ในวงในโดยเป็นพันธมิตรกับบุคคลที่ได้อำนาจรัฐก็จะฉกฉวยโอกาสดังกล่าว บุคคลเหล่านี้มีจำนวนน้อยที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างแท้จริง (อ่านต่อวันพฤหัสบดีหน้า)
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมีลักษณะใหญ่ๆ 5 ประการดังต่อไปนี้ คือ ก) มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทุกๆ 4 หรือ 5 ปี ข) ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง ค) มีการประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ง) มีการใช้หลักนิติธรรมในการบริหารประเทศ จ) มีระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่กล่าวมาเบื้องต้นนั้นจะประสบความสำเร็จย่อมขึ้นอยู่กับ 3 ตัวแปรหลักๆ ดังต่อไปนี้ คือ
ตัวแปรที่หนึ่ง สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจต้องเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ระบบสังคมนั้นจะต้องประกอบด้วย ชุมชนเมืองที่มากพอ มีสื่อมวลชนที่สามารถให้ข่าวสารข้อมูลต่อประชาชน ประชาชนมีระดับการศึกษาถึงระดับที่มีความตื่นตัวทางการเมือง มีชนชั้นกลางเป็นจำนวนมากพอ
ในทางเศรษฐกิจนั้น สังคมที่เป็นสังคมอุตสาหกรรมหรือเกษตรอุตสาหกรรมซึ่งจะส่งผลถึงการพัฒนาในส่วนของสังคมที่กล่าวมาเบื้องต้น จะเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยได้ดีกว่าที่เป็นสังคมเกษตรแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นสังคมชนบทและการผลิตแบบดั้งเดิม
ตัวแปรที่สอง ได้แก่ โครงสร้างและกระบวนการทางการเมือง ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับกฎกติกาที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น รัฐสภาประกอบด้วยสภาที่มาจากการเลือกตั้ง หรือเลือกตั้งและแต่งตั้งผสมกัน อำนาจของฝ่ายบริหาร การตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ กลไกการตรวจสอบการฉ้อราษฎร์บังหลวง สถาบันจัดการการเลือกตั้ง การกระจายอำนาจและการปกครองตนเอง ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ฯลฯ
ตัวแปรที่สาม นี้ซึ่งจะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย คือวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยในหมู่ผู้นำทางการเมืองและในหมู่ประชาชนทั่วไป เช่น การมีความเชื่อและศรัทธาในความเสมอภาคของมนุษย์ มีจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย มีความอดทนอดกลั้น มีใจนักกีฬา ฯลฯ
แต่ในบางสังคมซึ่งมีระดับการพัฒนาสังคมที่ต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเข้าถึงข่าวสารข้อมูล และระดับการศึกษา การพยายามพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอาจจบลงด้วยการนำไปสู่ระบบ เผด็จการประชาธิปไตย ได้ ซึ่งจะอรรถาธิบายได้ด้วยการนำเอาอารยธรรมคลื่นสามลูกของอัลวิน ทอฟเฟอร์ (Alvin Toffler) มาเป็นจุดเริ่มต้น
อัลวิน ทอฟเฟอร์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ คลื่นลูกที่สาม (The Third Wave) ไว้ว่า คลื่นอารยธรรมมนุษย์จะประกอบด้วย คลื่นสังคมเกษตร คลื่นสังคมอุตสาหกรรม และคลื่นสังคมข่าวสารข้อมูล ในคลื่นสังคมเกษตรนั้นประชาชนจะมีข้อมูลจำกัด มีระดับการศึกษาไม่สูง ส่วนใหญ่อยู่ในชนบท มีฐานะยากจน ขาดความตื่นตัวทางการเมือง และอาจจะมีความเชื่อแบบงมงายได้ คลื่นสังคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้นหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมใน 300 ปีที่ผ่านมา
ในสังคมอุตสาหกรรมคนจะอยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ เข้าถึงข่าวสารข้อมูล มีนิสัยการทำงานที่เปลี่ยนไป คล่องแคล่วว่องไว ตรงต่อเวลา ใช้เหตุใช้ผลทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหา เช่น การซ่อมเครื่องจักร รวมกันเป็นกลุ่มจัดตั้งเป็นสหภาพ รู้จักสิทธิเสรีภาพของตน มีอำนาจต่อรอง
ในส่วนคลื่นลูกที่สามนั้น จะประกอบด้วยเทคโนโลยีข่าวสารข้อมูล คนในคลื่นนี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีข่าวสารข้อมูล สมองกล การผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง มีความเชี่ยวชาญในตลาดหุ้น การลงทุน การเงินการธนาคาร มีความตื่นตัวและปรับตัวตลอดเวลา มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการพัฒนาที่จะมีขึ้นอนาคต คนกลุ่มนี้จะประกอบธุรกิจข่าวสารที่ได้กำไรงาม มีอำนาจต่อรองสูง
สังคมบางสังคมเช่นสังคมไทย ประชาชน 60% ยังอยู่ในคลื่นลูกที่หนึ่งหรือประมาณ 35-40 ล้านคน จากประชากร 65 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่มีการศึกษาต่ำกว่า 4-6 ปี หรือส่วนใหญ่ต่ำกว่า 10 ปี ทำมาหากินอยู่ในชนบท มีข้อจำกัดในข่าวสารข้อมูล ขาดความคิดที่ลึกซึ้ง มีฐานะที่ยากจน โดยมีลักษณะคู่แฝดคือ จนและเขลา
ส่วนในสังคมคลื่นลูกที่สองจะประกอบด้วย นักธุรกิจที่ทำการค้าอยู่ในวงการเงิน การบริการ และโรงงานอุตสาหกรรม คนเหล่านี้พุ่งจุดสนใจไปยังการทำกำไร คอยติดตามข่าวสารของการทำธุรกิจ เมื่อเกิดการติดขัดด้วยเหตุผลทางการเมืองก็จะเกิดความไม่พอใจ แต่ถ้ามีโอกาสเข้าอยู่ในวงในโดยเป็นพันธมิตรกับบุคคลที่ได้อำนาจรัฐก็จะฉกฉวยโอกาสดังกล่าว บุคคลเหล่านี้มีจำนวนน้อยที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างแท้จริง (อ่านต่อวันพฤหัสบดีหน้า)