ตาก - ไทย/พม่าเปิดใช้สะพานข้ามน้ำเมยใหม่วันนี้ วางกฎระยะแรกห้าม 10 ล้อ และรถน้ำหนักเกิน 12 ตันข้ามโดยเด็ดขาด จนกว่าจะซ่อมบำรุงใหญ่ในแล้งนี้เสร็จ พร้อมวางแผนจราจรบนสะพานใหม่ ไม่ให้เปลี่ยนเลนกลางสะพาน ป้องกันการเคลื่อนตัวซ้ำของรอยต่อ
นายวัชระ แตงฉ่ำ ผู้อำนวยการศูนย์สร้างทางตาก ที่ 2 (แม่สอด) กรมทางหลวง เปิดเผยว่า วันนี้ ( 25 ส.ค.) รัฐบาลไทยและพม่า จะเปิดให้ใช้สะพานมิตรภาพไทย-พม่า เชื่อมอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กับจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ตามปกติ หลังจากที่ซ่อมแซมแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2549
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการกรมทางหลวงทั้ง 2 ฝ่าย ก็จะมีการประชุมร่วมกัน เพื่อกำหนดขอบข่ายการใช้ใหม่ ที่ฝั่งเมียวดี ประเทศพม่า เวลาประมาณ 13.00 น. วันนี้(25 ส.ค.) โดยฝ่ายไทยจะมีนายชาญชัย เตชัสหงส์ วิศวกรใหญ่กรมทางหลวง เป็นประธาน ร่วมประชุมกับวิศวกรกรมทางพม่าโดยจะนำผลศึกษาจากผลกระทบที่ ส่งผลให้สะพานเกิดรอยร้าวและทรุดตัวและแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน
ประเด็นสำคัญของการประชุม คือการกำหนดน้ำหนักรถบรรทุก 6 ล้อไม่ให้เกิน 12 ตัน ส่วนรถบรรทุก 10 ล้อ ยังไม่ให้ใช้จนกว่าจะซ่อมแซมถาวรเต็มรูปแบบก่อน ซึ่งการซ่อมสะพานคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณกว่า 7 ล้านบาท ในการดำเนินการในช่วงหน้าแล้งนี้ อย่างไรก็ตาม ระยะนี้รถบรรทุก 10 ล้อจะต้องลำเลียงสินค้าใส่รถ 6 ล้อ หรือ 4 ล้อเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ รถยนต์ที่วิ่งบนสะพาน สามารถวิ่งตามเลนซ้าย(กฎหมายจราจรไทย) ไม่ต้องปรับเปลี่ยนเลนกลางสะพานซ้าย-ขวา ซึ่งก่อนหน้านี้ กฎหมายจราจรไทยจะวิ่งเลนซ้าย ส่วนพม่าจะวิ่งเลนขวา เมื่อถึงกลางสะพานต้องเปลี่ยนเลน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการตรวจสอบรอยแยกร้าว นอกเหนือจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติของลำน้ำเมยแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนเลนบนสะพาน ทำให้เกิดแรงถีบ ขณะรถบรรทุกหนักหยุดและเคลื่อนตัวต่อ ส่งผลให้สะพานรับแรงกระทำเกิดการบิดตัวจนแยกร้าว
การแก้ปัญหาดังกล่าว ฝ่ายไทยจะเสนอให้การจราจรบนสะพานวิ่งทางเดียว ในขาออกและขาเข้า ไม่ต้องกลับรถเปลี่ยนเส้นทางจราจรกลางสะพาน โดยจะหารือถึงพื้นที่เหมาะสมในการเปลี่ยนเลนรถ คือ ปลายสะพานฝั่งไทยที่มีพื้นที่กว้างรองรับ ส่วนปลายสะพานฝั่งเมียวดีเป็นเขตชุมชนหนาแน่น และแคบ
"ทางการไทยพร้อมแล้วสำหรับการเปิดใช้สะพานภายใต้ข้อกำหนด โดยให้รถบรรทุกที่จะขนส่งสินค้าข้ามสะพาน ไปตรวจชั่งน้ำหนักที่จุดชั่งน้ำหนักชั่วคราวของกรมทางหลวง กิโลเมตรที่ 75+150 ตรงข้ามมหาวิทยาลัยราชภัฏ อุดมศึกษาแม่สอด ภายหลังจากการกำหนดกรอบการใช้สะพาน ของคณะอนุกรรมการร่วม 2 ฝ่ายแล้วทางฝ่ายของพม่าจะนำเสนอรัฐบาลกลาง เพื่อขออนุมัติเปิดใช้สะพาน คาดว่าจะไม่เกิน 2-3 วัน"
ด้านนายอำพล ฉัตรไชยาฤกษ์ ประธานหอการค้าจังหวัดตาก เปิดเผย ในช่วงที่ปิดสะพานมิตรภาพฯ เพื่อซ่อมแซม หลังพบรอยแยกร้าว ปรากฏว่ามีสินค้าค้างสต๊อกจำนวนมาก ประกอบกับรัฐบาลพม่า สั่งเข้มงวดห้ามนำสินค้าขนส่งข้ามตามท่าเรือขนส่งสินค้า และจับกุมพ่อค้าพม่าและโกดังสินค้าที่จังหวัดเมียวดี ที่นำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย หลบหนีภาษีพม่า ทำให้การส่งออกสินค้าไม่สามารถทำได้ สูญเสียมูลค่าส่งออกวันละหลายสิบล้านบาท และในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาหลังสะพานแยกร้าวและพม่าปิดท่าเรือ ยอดส่งออกสินค้าเสียหายหลายร้อยล้านบาท รวมกับสินค้าที่พ่อค้าพม่าถูกทหารพม่าจับกุมและจับโกดังที่เมืองเมียวดี ทำให้ยอดความเสียหายเกือบ 700-800 ล้านบาท
การเปิดใช้สะพานมิตรภาพฯที่จะมีขึ้นครั้งนี้ จะสามารถกระตุ้นยอดส่งออกสินค้าได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ในภาพรวมต้องอยู่ที่การจัดระเบียบการค้าชายแดนของพม่า ว่าจะเปิดโอกาสให้สินค้าไทยนำเข้าพม่ามากน้อยแค่ไหน หรือกำหนดสินค้าควบคุม โดยเฉพาะกรณีสินค้าห้ามนำเข้าประเทศพม่า15 รายการ ที่เป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพของพลเมืองพม่า หากมีการควบคุมสินค้าเหมือนเดิม เชื่อว่ายอดส่งออกก็จะไม่ส่งผลในเชิงบวกมากนัก
นายวัชระ แตงฉ่ำ ผู้อำนวยการศูนย์สร้างทางตาก ที่ 2 (แม่สอด) กรมทางหลวง เปิดเผยว่า วันนี้ ( 25 ส.ค.) รัฐบาลไทยและพม่า จะเปิดให้ใช้สะพานมิตรภาพไทย-พม่า เชื่อมอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กับจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ตามปกติ หลังจากที่ซ่อมแซมแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2549
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการกรมทางหลวงทั้ง 2 ฝ่าย ก็จะมีการประชุมร่วมกัน เพื่อกำหนดขอบข่ายการใช้ใหม่ ที่ฝั่งเมียวดี ประเทศพม่า เวลาประมาณ 13.00 น. วันนี้(25 ส.ค.) โดยฝ่ายไทยจะมีนายชาญชัย เตชัสหงส์ วิศวกรใหญ่กรมทางหลวง เป็นประธาน ร่วมประชุมกับวิศวกรกรมทางพม่าโดยจะนำผลศึกษาจากผลกระทบที่ ส่งผลให้สะพานเกิดรอยร้าวและทรุดตัวและแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน
ประเด็นสำคัญของการประชุม คือการกำหนดน้ำหนักรถบรรทุก 6 ล้อไม่ให้เกิน 12 ตัน ส่วนรถบรรทุก 10 ล้อ ยังไม่ให้ใช้จนกว่าจะซ่อมแซมถาวรเต็มรูปแบบก่อน ซึ่งการซ่อมสะพานคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณกว่า 7 ล้านบาท ในการดำเนินการในช่วงหน้าแล้งนี้ อย่างไรก็ตาม ระยะนี้รถบรรทุก 10 ล้อจะต้องลำเลียงสินค้าใส่รถ 6 ล้อ หรือ 4 ล้อเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ รถยนต์ที่วิ่งบนสะพาน สามารถวิ่งตามเลนซ้าย(กฎหมายจราจรไทย) ไม่ต้องปรับเปลี่ยนเลนกลางสะพานซ้าย-ขวา ซึ่งก่อนหน้านี้ กฎหมายจราจรไทยจะวิ่งเลนซ้าย ส่วนพม่าจะวิ่งเลนขวา เมื่อถึงกลางสะพานต้องเปลี่ยนเลน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการตรวจสอบรอยแยกร้าว นอกเหนือจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติของลำน้ำเมยแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนเลนบนสะพาน ทำให้เกิดแรงถีบ ขณะรถบรรทุกหนักหยุดและเคลื่อนตัวต่อ ส่งผลให้สะพานรับแรงกระทำเกิดการบิดตัวจนแยกร้าว
การแก้ปัญหาดังกล่าว ฝ่ายไทยจะเสนอให้การจราจรบนสะพานวิ่งทางเดียว ในขาออกและขาเข้า ไม่ต้องกลับรถเปลี่ยนเส้นทางจราจรกลางสะพาน โดยจะหารือถึงพื้นที่เหมาะสมในการเปลี่ยนเลนรถ คือ ปลายสะพานฝั่งไทยที่มีพื้นที่กว้างรองรับ ส่วนปลายสะพานฝั่งเมียวดีเป็นเขตชุมชนหนาแน่น และแคบ
"ทางการไทยพร้อมแล้วสำหรับการเปิดใช้สะพานภายใต้ข้อกำหนด โดยให้รถบรรทุกที่จะขนส่งสินค้าข้ามสะพาน ไปตรวจชั่งน้ำหนักที่จุดชั่งน้ำหนักชั่วคราวของกรมทางหลวง กิโลเมตรที่ 75+150 ตรงข้ามมหาวิทยาลัยราชภัฏ อุดมศึกษาแม่สอด ภายหลังจากการกำหนดกรอบการใช้สะพาน ของคณะอนุกรรมการร่วม 2 ฝ่ายแล้วทางฝ่ายของพม่าจะนำเสนอรัฐบาลกลาง เพื่อขออนุมัติเปิดใช้สะพาน คาดว่าจะไม่เกิน 2-3 วัน"
ด้านนายอำพล ฉัตรไชยาฤกษ์ ประธานหอการค้าจังหวัดตาก เปิดเผย ในช่วงที่ปิดสะพานมิตรภาพฯ เพื่อซ่อมแซม หลังพบรอยแยกร้าว ปรากฏว่ามีสินค้าค้างสต๊อกจำนวนมาก ประกอบกับรัฐบาลพม่า สั่งเข้มงวดห้ามนำสินค้าขนส่งข้ามตามท่าเรือขนส่งสินค้า และจับกุมพ่อค้าพม่าและโกดังสินค้าที่จังหวัดเมียวดี ที่นำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย หลบหนีภาษีพม่า ทำให้การส่งออกสินค้าไม่สามารถทำได้ สูญเสียมูลค่าส่งออกวันละหลายสิบล้านบาท และในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาหลังสะพานแยกร้าวและพม่าปิดท่าเรือ ยอดส่งออกสินค้าเสียหายหลายร้อยล้านบาท รวมกับสินค้าที่พ่อค้าพม่าถูกทหารพม่าจับกุมและจับโกดังที่เมืองเมียวดี ทำให้ยอดความเสียหายเกือบ 700-800 ล้านบาท
การเปิดใช้สะพานมิตรภาพฯที่จะมีขึ้นครั้งนี้ จะสามารถกระตุ้นยอดส่งออกสินค้าได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ในภาพรวมต้องอยู่ที่การจัดระเบียบการค้าชายแดนของพม่า ว่าจะเปิดโอกาสให้สินค้าไทยนำเข้าพม่ามากน้อยแค่ไหน หรือกำหนดสินค้าควบคุม โดยเฉพาะกรณีสินค้าห้ามนำเข้าประเทศพม่า15 รายการ ที่เป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพของพลเมืองพม่า หากมีการควบคุมสินค้าเหมือนเดิม เชื่อว่ายอดส่งออกก็จะไม่ส่งผลในเชิงบวกมากนัก