xs
xsm
sm
md
lg

“หมอจักรธรรม”ถามใครพิสูจน์ ธัมมชโยคืนเงินจริง-สอนถูกจริง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อดีตผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาฯ ตั้งคำถาม ใครเป็นผู้พิสูจน์ว่า “พระธัมมชโย”ได้คืนทรัพย์สินให้กับวัดพระธรรมกายจริง และคำสอนถูกต้องตามพระไตรปิฏกจริง ด้านแหล่งข่าวจากคณะสงฆ์ระบุน่าจะขาดจากความเป็นพระแล้ว โดยเฉพาะเมื่อสมเด็จพระสังฆราชฯ มีพระบัญชาให้คืนทรัพย์ในครั้งแรกแต่มีเจตนาไม่คืน ขณะที่ “ว.วชิรเมธ” ชี้ชัดเรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เรื่องของความเห็น แต่ต้องใช้ความรู้ในพระไตรปิฎกที่เป็นสัจธรรมมาตัดสิน แนะคณะสงฆ์ต้องตั้งคณะกรรมการเพื่อพิสูจน์อย่างเป็นทางการเพื่อให้เกิดความชัดเจน

จากกรณีเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลสั่งจำหน่ายคดีวัดพระธรรมกาย หลัง “อัยการสูงสุด” ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง “พระธัมมชโย” กับลูกศิษย์ 2 สำนวนข้อหายักยอกเงินบริจาควัดกว่า 35 ล้าน พร้อมทั้งยกเหตุจำเลยคืนเงินวัดกว่า 930 ล้าน และยอมเผยแผ่ศาสนาตามพระไตรปิฎกตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช รวมถึงคดีธรรมกายอีก 3 สำนวนที่อัยการพร้อมยุติคดีสั่งไม่ฟ้องเช่นกันนั้น

นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า จากการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้และเหตุผลที่อัยการถอนฟ้อง สามารถสรุปได้2 ประการคือ หนึ่ง-คำสอนของพระธัมมชโยนั้นไม่มีอะไรที่ผิดไปจากพระไตรปิฏก และสอง-พระธัมมชโยได้คืนเงินวัดกว่า 930 ล้านแล้ว

แต่สิ่งที่สังคมอาจจะต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับการถอนฟ้องในครั้งนี้ก็คือ ใครคือคนพิสูจน์ว่าพระธัมมชโยคืนทรัพย์ให้กับทางวัดแล้วจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของคำสอนที่ถูกต้องตามพระไตรปิฆกแล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นประเด็นที่สำคัญและเป็นกุญแจของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด

“ตอนที่ผมเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทางอัยการสูงสุดได้เชิญผมไปคุย ผมก็ให้ความเห็นไปว่า ตามที่ผมได้อ่านลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชก็มีผิด 2 เรื่องคือสอนผิดกับเรื่องการคืนทรัพย์ให้กับวัด ถ้า 2 ประเด็นคลี่คลายไปตามที่สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาก็น่าจะคลี่คลายได้ แต่สิ่งที่ผมต้องตั้งคำถามก็คือ แล้วใครมีไปตรวจสอบว่าทรัพย์สินเป็นของวัดตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ และมีใครไปตรวจว่าคำสอนเหมือนหรือเปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะเรื่องนิพพานเป็นอนัตตาหรืออัตตา ตรงนี้ต้องมีองค์กรชาวพุทธต้องไปตรวจสอบเพื่อให้เกิดความยอมรับในภาพรวม ถ้าเผื่อไม่เป็นไปตามนั้นก็ไปบอกอัยการสูงสุด”นพ.จักรธรรมกล่าว

ด้านแหล่งข่าวในคณะสงฆ์ให้ความเห็นว่า อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพิสูจน์กันก็คือ พระธัมมชโยนั้นขาดจากความเป็นพระแล้วหรือไม่ เนื่องจากในครั้งแรกที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระลิขิต มีพระบัญชาไปถึงพระธัมมชโยให้รีบเอาทรัพย์มาคืนวัด แต่ปรากฏว่าไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งหมายความว่าได้ขาดจากความเป็นสงฆ์โดยอัตโนมัติแล้ว

ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวมีความสำคัญมากเนื่องจากก่อให้เกิดความขัดแย้งในคณะสงฆ์ที่รุนแรง โดยเฉพาะในมหาเถรสมาคม(มส.) และน่าจะเป็นด้วยมูลเหตุนี้ที่ทำให้สมเด็จพระสังฆราชไม่ได้เข้ามาร่วมประชุมมหาเถรสมาคมอีกเลย

ขณะที่พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ให้ความเห็นว่า กรณีเรื่องคำสอนว่าถูกต้องตามพระไตรปิฎกแล้วหรือไม่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้น คณะสงฆ์ควรมีคณะกรรมการตรวจสอบการเผยแผ่คำสอนของพระธัมมชโยอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่แค่บอกว่าทำถูกแล้ว แต่ไม่มีกระบวนการตรวจสอบเลย ซึ่งดูง่ายเกินไป เพราะเรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องใช้พระไตรปิฎกเป็นบรรทัดฐาน ไม่ใช่แค่ใช้ความเห็น

“เรื่องความถูกต้องของสัจธรรมในพระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องที่สามารถใช้ความเห็นมาตัดสิน แต่เป็นเรื่องระดับความรู้ อย่าเอาความเห็นมาตัดสินสัจธรรม เรื่องสัจธรรมต้องใช้สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เอาไว้ในพระไตรปิฎก แล้วมาพิสูจน์ให้ถูกต้อง ยกตัวอย่างให้เห็นชัด ใครๆ ก็พูดได้ว่า เมื่อก่อนนี้เคยเป็นขโมยแต่ตอนนี้เลิกแล้วถามว่าน่าเชื่อถือไหม อาตมาคิดว่าสังคมไทยให้ความสำคัญกับความจริงให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องของสัจธรรมที่ไม่ควรใช้ท่าทีอย่างหยวนๆ มาตัดสิน ไม่เช่นนั้นจะเกิดรอยร้าวขึ้นในพระพุทธศาสนาของไทยได้”พระมหาวุฒิชัยกล่าว

ส่วนนายมนัส ภาคภูมิ ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า การตั้งกรรมการสอบวินัยถือเป็นอำนาจของคณะสงฆ์ แต่ถ้ามีการฟ้องร้องคดีกันในทางโลกก็ต้องรอให้ศาลทางโลกตัดสินก่อน ซึ่งในกรณีวัดพระธรรมกาย ศาลทางโลกได้ตัดสินแล้ว ก็ถือว่าพ้นจากความผิดไป ถึงแม้ว่าในอดีตจะเคยถูกกล่าวหาว่า เคยมีการกระทำในลักษณะดังกล่าวก็ตาม

อย่างไรก็ตาม จากการที่ “ผู้จัดการรายวัน” ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปที่แหล่งข่าวหลายต่อหลายคน ทั้งฆราวาสและพระสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่อยากให้ความคิดเห็น แต่ก็ระบุชัดเจนว่า น่าจะมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน เพราะวัดธรรมกายและพระธัมมชโยนั้นก็มีลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นนักการเมืองมากมาย ดังนั้น ดังที่ พระราชธรรมนิเทศหรือพระพยอม กัลยาโณ ให้ความเห็นเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า คงยากที่จะเอาผิดวัดธรรมกายและคิดมาก่อนหน้านี้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ เพราะศิษย์วัดพระธรรมกายในบ้านเมืองเรามีเยอะ เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมือง หากศาลตัดสินว่าผิดก็อาจเกรงว่าศิษยานุศิษย์อาจจะลุกฮือเกิดการจลาจลฆ่ากันได้ ในส่วนของรัฐบาลเองก็อาจจะไม่เอาจริงเรื่องนี้เพราะอาจจะเห็นประโยชน์ที่จะเกื้อกูลกัน อย่างเรื่องที่รัฐบาลไปใช้สถานที่จัดประชุมผู้แทนองค์กรท้องถิ่นที่ผ่านมา เป็นต้น

อนึ่ง ถ้าหากยังจำกันได้คงต้องย้อนกลับไปเหตุการณ์เมื่อวันที่ 17-18 กรกฎาคมที่ผ่านมาที่กระทรวงมหาดไทยได้จัดงาน “รวมใจทุกศาสนาพัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี”ที่วัดพระธรรมกาย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ทำหนังสือแจ้งไปจังผู้ว่าราชการทุกจังหวัดเพื่อประสานกับผู้นำองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) กว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศให้ส่งตัวแทนท้องถิ่นละ 10 คนมาร่วมงาน ทำให้มีผู้มาร่วมงานกว่า 7.8 หมื่นคน

นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “การนำหลักการและคำสอนของศาสนามาใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานและการพัฒนาประเทศให้เกิดความผาสุกกับประชาชน” โดยชื่นชมถึงความยิ่งใหญ่ของวัดพระธรรมกาย
กำลังโหลดความคิดเห็น