นายสกนธ์ กัปปิยจรรยา กรรมการผู้จัดการ บริษัทนีโอ สุกี้ ไทยเรสเทอรองส์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนดำเนินการขยายรูปแบบการลงทุนใหม่ในรูปแบบของแฟรนไชส์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองว่าตลาดในประเทศเวียดนามนั้นน่าที่จะเข้าไปขยายมากที่สุด เพราะในแง่ของกลุ่มอาหารที่เป็นสุกี้นั้นยังไม่เป็นที่รู้จักมากพอ ดังนั้นแผนการเข้าไปขยายนั้นจึงน่าจะประสบผลสำเร็จได้ดี และผลักดันแบรนด์ นีโอให้เป็นที่รู้จักได้ในวงกว้าง
ล่าสุดอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด ว่าจะทำธุรกิจในรูปแบบใด คือ แฟรนไชส์ หรือขายขาด พรอ้มกันนี้ยังได้เจรจาหาพันธมิตร ซึ่งขณะนี้มี 3 กลุ่มบริษัทที่จะร่วมลงทุนเปิดร้านนีโอ สุกี้ ที่ประเทศเวียดนามแล้ว นั่นคือ 1.กลุ่มห้างสรรพสินค้าMAXIMARK ISO9001ซึ่งเป็นกลุ่มซูเปอร์ เซ็นเตอร์ ดีพาสเม้นสโตร์ 2.กลุ่มบริษัทHAPRO ซึ่งเป็นกลุ่มเทรดเซ็นเตอร์ และกลุ่มแฟรนไชส์ และ3.กลุ่มMAXIMARK ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่มากในโฮจิมินท์ ทั้งนี้การเจรจาอยู่ระหว่างข้อตกลงในข้อสัญญาของการลงทุนในระบบแฟรนไชน์ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดร้าน นีโอ สุกี้ ภายในระยะเวลาปลายปีนี้
อย่างไรก็ตามจากแผนการขยายตลาดในเวียดนามขยายตัวแบบระบบแฟรนไชส์นั้นได้ขยายตัวยังต่างประเทศบ้างแล้ว อาทิ อินโดนีเซีย จากาต้า นาโกย่า และล่าสุดขายแฟรนไชส์กัมพูชา กรุงพนมเปญ ฯลฯ
ในส่วนของสาขาในประเทศนั้น สาขาที่เป็นต้นแบบของนีโอ มีอยู่ 2 สาขา ที่พันธ์ทิพย์งามวงษ์วาน และ เซ็นเตอร์วัน ได้รับผลตอบรับได้เป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉลี่ยแล้วมีรายได้ทั้งหมดประมาณ 1 ล้านบาท นอกจากธุรกิจที่เป็นร้านอาหารแล้วบริษัทยังได้มีอีกหนึ่งธุรกิจน้ำจิ้มสุกี้ที่บรรจุขวด ซึ่งขายผ่านช่องทางจำหน่ายโมเดิร์นเทรดต่างๆซึ่งธุรกิจนี้สามารถสร้างยอดขายทั้งปี 10 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจในรูปแบบนี้รวมถึงการขยายสาขาแฟรนไชส์บริษัทฯเชื่อว่าจะสามารสร้างยอดการเติบโตได้อีก 25% อย่างแน่นอน
"ทั้งนี้สาเหตุส่วนหนึ่งที่บริษัทฯเลือกที่จะขยายรูปแบบของแฟรนไชส์ที่ต่างประเทศก่อนนั้น อันเนื่องมาจากบริษัทฯมองว่าสภาพเศรษฐกิจในประเทศยังไม่มีความแน่นอน อีกทั้งธุรกิจSMEภายในประเทศมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ในแง่ของราคาสินค้าก็มีการปรับต้นทุนขึ้นอยู่ตลอดเวลา บริษัทมองว่าในการลงทุนขยายแฟรนไชส์ในต่างประเทศนั้นน่าจะเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยประคองธุรกิจของบริษัทฯเอาไว้ได้" นายสกนธ์ กล่าว
ล่าสุดอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด ว่าจะทำธุรกิจในรูปแบบใด คือ แฟรนไชส์ หรือขายขาด พรอ้มกันนี้ยังได้เจรจาหาพันธมิตร ซึ่งขณะนี้มี 3 กลุ่มบริษัทที่จะร่วมลงทุนเปิดร้านนีโอ สุกี้ ที่ประเทศเวียดนามแล้ว นั่นคือ 1.กลุ่มห้างสรรพสินค้าMAXIMARK ISO9001ซึ่งเป็นกลุ่มซูเปอร์ เซ็นเตอร์ ดีพาสเม้นสโตร์ 2.กลุ่มบริษัทHAPRO ซึ่งเป็นกลุ่มเทรดเซ็นเตอร์ และกลุ่มแฟรนไชส์ และ3.กลุ่มMAXIMARK ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่มากในโฮจิมินท์ ทั้งนี้การเจรจาอยู่ระหว่างข้อตกลงในข้อสัญญาของการลงทุนในระบบแฟรนไชน์ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดร้าน นีโอ สุกี้ ภายในระยะเวลาปลายปีนี้
อย่างไรก็ตามจากแผนการขยายตลาดในเวียดนามขยายตัวแบบระบบแฟรนไชส์นั้นได้ขยายตัวยังต่างประเทศบ้างแล้ว อาทิ อินโดนีเซีย จากาต้า นาโกย่า และล่าสุดขายแฟรนไชส์กัมพูชา กรุงพนมเปญ ฯลฯ
ในส่วนของสาขาในประเทศนั้น สาขาที่เป็นต้นแบบของนีโอ มีอยู่ 2 สาขา ที่พันธ์ทิพย์งามวงษ์วาน และ เซ็นเตอร์วัน ได้รับผลตอบรับได้เป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉลี่ยแล้วมีรายได้ทั้งหมดประมาณ 1 ล้านบาท นอกจากธุรกิจที่เป็นร้านอาหารแล้วบริษัทยังได้มีอีกหนึ่งธุรกิจน้ำจิ้มสุกี้ที่บรรจุขวด ซึ่งขายผ่านช่องทางจำหน่ายโมเดิร์นเทรดต่างๆซึ่งธุรกิจนี้สามารถสร้างยอดขายทั้งปี 10 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจในรูปแบบนี้รวมถึงการขยายสาขาแฟรนไชส์บริษัทฯเชื่อว่าจะสามารสร้างยอดการเติบโตได้อีก 25% อย่างแน่นอน
"ทั้งนี้สาเหตุส่วนหนึ่งที่บริษัทฯเลือกที่จะขยายรูปแบบของแฟรนไชส์ที่ต่างประเทศก่อนนั้น อันเนื่องมาจากบริษัทฯมองว่าสภาพเศรษฐกิจในประเทศยังไม่มีความแน่นอน อีกทั้งธุรกิจSMEภายในประเทศมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ในแง่ของราคาสินค้าก็มีการปรับต้นทุนขึ้นอยู่ตลอดเวลา บริษัทมองว่าในการลงทุนขยายแฟรนไชส์ในต่างประเทศนั้นน่าจะเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยประคองธุรกิจของบริษัทฯเอาไว้ได้" นายสกนธ์ กล่าว