ผมออกจะรู้สึกงงๆ กับการเมืองในช่วงนี้ ที่สังคมการเมืองไทยกำลังตั้งคำถามจากชายหน้าเหลี่ยมผู้มีฉายาในภาษาจีนแคะว่า "ไท้เผ้าล่อ" หรือไอ้ขี้โม้ ว่าเขาจะเว้นวรรคจากตำแหน่งนายกฯ ในการเลือกตั้งรอบใหม่หรือไม่?คำถามดังกล่าวถูกตั้งขึ้นมาด้วยเหตุอะไรก็ตาม ผมเข้าใจดีครับ
แต่ที่ผมต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเขียนก็เพราะเกรงว่าจะมีการเข้าใจอะไรผิดๆ เกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อต่อต้าน "ไท้เผ้าล่อ" จากที่ผ่านมา ว่าถึงแม้ขบวนการต่อต้านฯ จะให้นักการเมืองผู้ไร้จริยธรรมผู้นี้ลาออกก็ดี เว้นวรรคก็ดี ฯลฯ ต่างล้วนมีเหตุผลรองรับร่วมกันอยู่ประการหนึ่ง
นั่นคือ เพื่อให้มีการตรวจสอบพฤติกรรมจากที่ผ่านมา 5 ปี (หรือก่อนหน้านั้นในบางกรณี) ของ ไท้เผ้าล่อ ก่อน หลังจากนั้นผลการตรวจสอบจะเป็นอย่างไรค่อยมาว่ากันอีกทีว่า ไท้เผ้าล่อ ควรจะมีบทบาททางการเมืองต่อไปได้หรือไม่ อย่างไร
ฉะนั้น ในฐานะที่ผมเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้าน ไท้เผ้าล่อ เวลาที่มีการเรียกร้องให้ชายผู้นี้ลาออกหรือเว้นวรรคก็ตาม ผมเข้าใจมาโดยตลอดว่าพอชายผู้นี้ลาออกหรือเว้นวรรคแล้ว ขบวนการต่อต้านจะปล่อยให้เขาลอยนวลเสวยสุขจากกองเงิน 73,000 บาทก็หาไม่
ตรงกันข้าม ผมเข้าใจว่าหลังจากที่เขาลาออกหรือเว้นวรรคแล้ว สังคมการเมืองจะตั้งกระบวนการตรวจสอบ ไท้เผ้าล่อ ขึ้นมาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าตลอดเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมานั้น พฤติกรรมของเขาบริสุทธิ์จริง หรือถ้าจะมีอะไรที่ผิดพลาดที่พอรับได้บ้าง (คือไม่ต่างกับนักการเมืองทั่วไป) ก็ไม่ว่ากัน
พอพิสูจน์แล้วว่าเขาบริสุทธิ์จริง เขาจะกลับมามีตำแหน่งทางการเมืองสูงต่ำอย่างไรก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าพบว่าเขาผิดจริง อันนี้ก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมายกติกา (ที่ ไท้เผ้าล่อ ชอบอ้างนักอ้างหนา)
จะยึดทรัพย์ จะต้องโทษติดคุกหรือประหารชีวิต (อย่างที่ คุณหมอประเวศ วะสี เคยกล่าวทัก) ก็ว่ากันไป และถ้าหากกระบวนการตรวจสอบนั้นพาดพิงไปถึงญาติโกโหติกาหรือลูกหลานอย่างไร ทุกอย่างก็ต้องว่าไปตามนั้น
ใครเรียนหนังสืออยู่ หากต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของ ไท้เผ้าล่อ แล้วมีความผิด ก็ต้องหยุดเรียนแล้วรับโทษไปตามโทษานุโทษ ไม่มีเว้น
ดังนั้น ที่ผมเข้าใจว่า ไท้เผ้าล่อ จะลาออกหรือเว้นวรรคนั้น ผมเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ
แต่ข่าวตอนนี้กลับทำให้ผมไข้วเขวสับสน คือแทบทุกข่าวต่างทำให้ผมเข้าใจว่า สังคมการเมืองเพียงขอให้ ไท้เผ้าล่อ เว้นวรรคจริงๆ หลังจากนั้นจะให้ใครในพรรคการเมืองของเขาขึ้นมาเป็นนายกฯ ขัดตาทัพก็ไม่ว่ากัน แล้วก็รอให้มีการแก้รัฐธรรมนูญจนกว่าจะเสร็จ และพอทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไท้เผ้าล่อ จะกลับมาเป็นนายกฯ ต่อไปก็ย่อมได้
พูดง่ายๆ คือ ทุกคนเชื่อว่า พอแก้รัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ต่อให้ ไท้เผ้าล่อ เป็นเทวดามาจากไหนก็ตาม ต่อไปนี้ก็อย่าได้หวังว่าจะทำอะไรได้ง่ายๆ อย่าง 5 ปีที่ผ่านมาอีกเป็นอันขาด ไม่งั้น "มึงเสร็จแน่"
บอกตรงๆ ว่า ถ้าการเว้นวรรคเป็นอย่างที่ผมว่ามา ผมไม่เอาด้วย และจะรู้สึกเสียแรงที่สู้อุตส่าห์เอาใจช่วยขบวนการของฝ่ายพันธมิตรฯ มาโดยตลอดไปเปล่าๆ
ในทำนองเดียวกัน ใครจะมาว่าผมใจร้ายหรือผูกใจอาฆาต ไท้เผ้าล่อ ประมาณว่าจะเอากันให้ตายกันไปข้างก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะสิ่งที่ผมคิดนั้นมีพื้นฐานมาจากพฤติกรรมของ ไท้เผ้าล่อ เอง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฆ่าตัดตอนขบวนการค้ายาเสพติด กรณีตากใบ กรณีอุ้มหายที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และ คุณสมชาย นีละไพจิตร ฯลฯ ล้วนแล้วแต่บ่งชี้ว่า ไท้เผ้าล่อ จะต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น ทั้งนี้ยังไม่นับการบริหารบ้านเมืองที่มากด้วยความฉ้อฉลแต่ไม่ยอมแก้ปัญหา
และที่สำคัญที่สุดคือ การที่ ไท้เผ้าล่อ ยังไม่ยอมตอบคำถาม (เพียงคำถามเดียว) ในประเด็นจริยธรรมที่เขากำลังมีปัญหาอยู่ ซึ่งเป็นประเด็นที่สรุปรวบยอดและอยู่เหนือพฤติกรรมต่างๆ ที่เขาได้ก่อขึ้น
เพียงแค่ประเด็นนี้ประเด็นเดียว ก็มีน้ำหนักเพียงพอที่จะจัดการกับ ไท้เผ้าล่อ ได้โดยไม่ต้องมาติดยึดว่าผมใจร้ายหรือไม่
ฉะนั้น ผมไม่เพียงไม่ใจร้ายเท่านั้น ตรงกันข้าม สิ่งที่ผมคิดนั้นกลับเป็นไปเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้าและระยะยาวของสังคมการเมืองไทยด้วยซ้ำไป การไม่จัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับ ไท้เผ้าล่อ ต่างหากคือการกระทำที่ผิด
และ 1 ในการกระทำที่ผิดนั้นก็คือ การปล่อยให้ ไท้เผ้าล่อ ได้เว้นวรรค โดยหลังจากนั้นก็ปล่อยให้เขาลอยนวลกลับเข้ามาสู่วิถีทางการเมืองได้อีก
ไม่รู้ว่าที่ผมว่ามานี้จะมีใครรู้สึกเหมือนอย่างที่ผมรู้สึกหรือไม่ ว่าที่มีการพูดถึงการเว้นวรรคของ ไท้เผ้าล่อ ในแต่ละวันขณะนี้นั้นมีความหมายอย่างที่ผมเข้าใจ?
แต่จะอย่างไรก็ตาม ผมควรกล่าวด้วยว่า หากว่ากันเฉพาะพฤติกรรมของ ไท้เผ้าล่อ อย่างที่สังคมการเมืองไทยเห็นๆ กันอยู่ในทุกวันนี้นั้น จะว่าไปแล้วเราไม่ควรเรียกร้องให้เขาเว้นวรรคด้วยซ้ำไป ที่ถูกแล้วควรจะทำให้เขา "ยุติ" บทบาทางการเมืองไปตลอดชีวิตต่างหาก ซึ่งเท่าที่ผ่านมานั้นผมเห็นมีเพียงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยบูรพาเพียงแห่งเดียวกระมังที่เรียกร้องเช่นนั้น (ในขณะที่คนอื่นๆ เรียกร้องให้ลาออก)
แน่นอนว่า การยุติบทบาทในความหมายของผมก็ไม่ได้หมายความว่าพอยุติแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรกับไท้เผ้าล่อ อีกเลย ตรงกันข้าม การยุติที่ว่านี้คือมาตรการขั้นแรกเพื่อที่จะเป็นหลักประกันว่าเขาจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือสั่งการใดๆ ที่จะทำให้เขาได้ประโยชน์ได้อีก จากนั้นต่อไปก็ปล่อยให้กระบวนการตรวจสอบทั้งหลายได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบชายผู้นี้จนกว่าจะรู้ดำรู้แดงกันไปข้าง
และสมมติว่า ผลจะออกมาว่ากฎหมายเอาผิดอะไร ไท้เผ้าล่อ ไม่ได้ แต่ผลจากพฤติกรรมที่เขาได้ก่อขึ้นมาก็ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่า ไท้เผ้าล่อ บริสุทธิ์พอที่จะกลับเข้ามามีบทบาททางการเมืองเช่นกัน หากแต่เขาจะต้องยุติไปโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ผมจึงไม่เห็นด้วยกับกระแสในตอนนี้ที่ได้เที่ยวถามหาการเว้นวรรคจาก ไท้เผ้าล่อ ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่ามันจะยิ่งทำให้เขาเล่นตัวได้ไปวันๆ หรือไม่ก็ใช้คำถามที่ว่านี้มาเป็นหมากการเมืองตัวหนึ่งสำหรับการต่อรองทั้งภายในและภายนอกพรรคของเขา
ที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า การถามหาการเว้นวรรคในขณะนี้นั้น คิดไปอีกทีมันก็ไม่ต่างอะไรกับการยังยอมรับว่า ไท้เผ้าล่อ ยังมีความชอบธรรมในอันที่จะเล่นการเมืองต่อไป
ด้วยเหตุนี้ หากผมจะเรียกร้องอะไรได้บ้างแล้ว ผมก็ขอเรียกร้องว่าโปรดอย่าได้ถามหาการเว้นวรรคจาก ไท้เผ้าล่อ อีกเลย
แต่ให้ถามว่าเขาจะยุติบทบาททางการเมืองหรือไม่แทน
แต่ที่ผมต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเขียนก็เพราะเกรงว่าจะมีการเข้าใจอะไรผิดๆ เกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อต่อต้าน "ไท้เผ้าล่อ" จากที่ผ่านมา ว่าถึงแม้ขบวนการต่อต้านฯ จะให้นักการเมืองผู้ไร้จริยธรรมผู้นี้ลาออกก็ดี เว้นวรรคก็ดี ฯลฯ ต่างล้วนมีเหตุผลรองรับร่วมกันอยู่ประการหนึ่ง
นั่นคือ เพื่อให้มีการตรวจสอบพฤติกรรมจากที่ผ่านมา 5 ปี (หรือก่อนหน้านั้นในบางกรณี) ของ ไท้เผ้าล่อ ก่อน หลังจากนั้นผลการตรวจสอบจะเป็นอย่างไรค่อยมาว่ากันอีกทีว่า ไท้เผ้าล่อ ควรจะมีบทบาททางการเมืองต่อไปได้หรือไม่ อย่างไร
ฉะนั้น ในฐานะที่ผมเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้าน ไท้เผ้าล่อ เวลาที่มีการเรียกร้องให้ชายผู้นี้ลาออกหรือเว้นวรรคก็ตาม ผมเข้าใจมาโดยตลอดว่าพอชายผู้นี้ลาออกหรือเว้นวรรคแล้ว ขบวนการต่อต้านจะปล่อยให้เขาลอยนวลเสวยสุขจากกองเงิน 73,000 บาทก็หาไม่
ตรงกันข้าม ผมเข้าใจว่าหลังจากที่เขาลาออกหรือเว้นวรรคแล้ว สังคมการเมืองจะตั้งกระบวนการตรวจสอบ ไท้เผ้าล่อ ขึ้นมาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าตลอดเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมานั้น พฤติกรรมของเขาบริสุทธิ์จริง หรือถ้าจะมีอะไรที่ผิดพลาดที่พอรับได้บ้าง (คือไม่ต่างกับนักการเมืองทั่วไป) ก็ไม่ว่ากัน
พอพิสูจน์แล้วว่าเขาบริสุทธิ์จริง เขาจะกลับมามีตำแหน่งทางการเมืองสูงต่ำอย่างไรก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าพบว่าเขาผิดจริง อันนี้ก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมายกติกา (ที่ ไท้เผ้าล่อ ชอบอ้างนักอ้างหนา)
จะยึดทรัพย์ จะต้องโทษติดคุกหรือประหารชีวิต (อย่างที่ คุณหมอประเวศ วะสี เคยกล่าวทัก) ก็ว่ากันไป และถ้าหากกระบวนการตรวจสอบนั้นพาดพิงไปถึงญาติโกโหติกาหรือลูกหลานอย่างไร ทุกอย่างก็ต้องว่าไปตามนั้น
ใครเรียนหนังสืออยู่ หากต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของ ไท้เผ้าล่อ แล้วมีความผิด ก็ต้องหยุดเรียนแล้วรับโทษไปตามโทษานุโทษ ไม่มีเว้น
ดังนั้น ที่ผมเข้าใจว่า ไท้เผ้าล่อ จะลาออกหรือเว้นวรรคนั้น ผมเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ
แต่ข่าวตอนนี้กลับทำให้ผมไข้วเขวสับสน คือแทบทุกข่าวต่างทำให้ผมเข้าใจว่า สังคมการเมืองเพียงขอให้ ไท้เผ้าล่อ เว้นวรรคจริงๆ หลังจากนั้นจะให้ใครในพรรคการเมืองของเขาขึ้นมาเป็นนายกฯ ขัดตาทัพก็ไม่ว่ากัน แล้วก็รอให้มีการแก้รัฐธรรมนูญจนกว่าจะเสร็จ และพอทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไท้เผ้าล่อ จะกลับมาเป็นนายกฯ ต่อไปก็ย่อมได้
พูดง่ายๆ คือ ทุกคนเชื่อว่า พอแก้รัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ต่อให้ ไท้เผ้าล่อ เป็นเทวดามาจากไหนก็ตาม ต่อไปนี้ก็อย่าได้หวังว่าจะทำอะไรได้ง่ายๆ อย่าง 5 ปีที่ผ่านมาอีกเป็นอันขาด ไม่งั้น "มึงเสร็จแน่"
บอกตรงๆ ว่า ถ้าการเว้นวรรคเป็นอย่างที่ผมว่ามา ผมไม่เอาด้วย และจะรู้สึกเสียแรงที่สู้อุตส่าห์เอาใจช่วยขบวนการของฝ่ายพันธมิตรฯ มาโดยตลอดไปเปล่าๆ
ในทำนองเดียวกัน ใครจะมาว่าผมใจร้ายหรือผูกใจอาฆาต ไท้เผ้าล่อ ประมาณว่าจะเอากันให้ตายกันไปข้างก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะสิ่งที่ผมคิดนั้นมีพื้นฐานมาจากพฤติกรรมของ ไท้เผ้าล่อ เอง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฆ่าตัดตอนขบวนการค้ายาเสพติด กรณีตากใบ กรณีอุ้มหายที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และ คุณสมชาย นีละไพจิตร ฯลฯ ล้วนแล้วแต่บ่งชี้ว่า ไท้เผ้าล่อ จะต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น ทั้งนี้ยังไม่นับการบริหารบ้านเมืองที่มากด้วยความฉ้อฉลแต่ไม่ยอมแก้ปัญหา
และที่สำคัญที่สุดคือ การที่ ไท้เผ้าล่อ ยังไม่ยอมตอบคำถาม (เพียงคำถามเดียว) ในประเด็นจริยธรรมที่เขากำลังมีปัญหาอยู่ ซึ่งเป็นประเด็นที่สรุปรวบยอดและอยู่เหนือพฤติกรรมต่างๆ ที่เขาได้ก่อขึ้น
เพียงแค่ประเด็นนี้ประเด็นเดียว ก็มีน้ำหนักเพียงพอที่จะจัดการกับ ไท้เผ้าล่อ ได้โดยไม่ต้องมาติดยึดว่าผมใจร้ายหรือไม่
ฉะนั้น ผมไม่เพียงไม่ใจร้ายเท่านั้น ตรงกันข้าม สิ่งที่ผมคิดนั้นกลับเป็นไปเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้าและระยะยาวของสังคมการเมืองไทยด้วยซ้ำไป การไม่จัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับ ไท้เผ้าล่อ ต่างหากคือการกระทำที่ผิด
และ 1 ในการกระทำที่ผิดนั้นก็คือ การปล่อยให้ ไท้เผ้าล่อ ได้เว้นวรรค โดยหลังจากนั้นก็ปล่อยให้เขาลอยนวลกลับเข้ามาสู่วิถีทางการเมืองได้อีก
ไม่รู้ว่าที่ผมว่ามานี้จะมีใครรู้สึกเหมือนอย่างที่ผมรู้สึกหรือไม่ ว่าที่มีการพูดถึงการเว้นวรรคของ ไท้เผ้าล่อ ในแต่ละวันขณะนี้นั้นมีความหมายอย่างที่ผมเข้าใจ?
แต่จะอย่างไรก็ตาม ผมควรกล่าวด้วยว่า หากว่ากันเฉพาะพฤติกรรมของ ไท้เผ้าล่อ อย่างที่สังคมการเมืองไทยเห็นๆ กันอยู่ในทุกวันนี้นั้น จะว่าไปแล้วเราไม่ควรเรียกร้องให้เขาเว้นวรรคด้วยซ้ำไป ที่ถูกแล้วควรจะทำให้เขา "ยุติ" บทบาทางการเมืองไปตลอดชีวิตต่างหาก ซึ่งเท่าที่ผ่านมานั้นผมเห็นมีเพียงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยบูรพาเพียงแห่งเดียวกระมังที่เรียกร้องเช่นนั้น (ในขณะที่คนอื่นๆ เรียกร้องให้ลาออก)
แน่นอนว่า การยุติบทบาทในความหมายของผมก็ไม่ได้หมายความว่าพอยุติแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรกับไท้เผ้าล่อ อีกเลย ตรงกันข้าม การยุติที่ว่านี้คือมาตรการขั้นแรกเพื่อที่จะเป็นหลักประกันว่าเขาจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือสั่งการใดๆ ที่จะทำให้เขาได้ประโยชน์ได้อีก จากนั้นต่อไปก็ปล่อยให้กระบวนการตรวจสอบทั้งหลายได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบชายผู้นี้จนกว่าจะรู้ดำรู้แดงกันไปข้าง
และสมมติว่า ผลจะออกมาว่ากฎหมายเอาผิดอะไร ไท้เผ้าล่อ ไม่ได้ แต่ผลจากพฤติกรรมที่เขาได้ก่อขึ้นมาก็ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่า ไท้เผ้าล่อ บริสุทธิ์พอที่จะกลับเข้ามามีบทบาททางการเมืองเช่นกัน หากแต่เขาจะต้องยุติไปโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ผมจึงไม่เห็นด้วยกับกระแสในตอนนี้ที่ได้เที่ยวถามหาการเว้นวรรคจาก ไท้เผ้าล่อ ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่ามันจะยิ่งทำให้เขาเล่นตัวได้ไปวันๆ หรือไม่ก็ใช้คำถามที่ว่านี้มาเป็นหมากการเมืองตัวหนึ่งสำหรับการต่อรองทั้งภายในและภายนอกพรรคของเขา
ที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า การถามหาการเว้นวรรคในขณะนี้นั้น คิดไปอีกทีมันก็ไม่ต่างอะไรกับการยังยอมรับว่า ไท้เผ้าล่อ ยังมีความชอบธรรมในอันที่จะเล่นการเมืองต่อไป
ด้วยเหตุนี้ หากผมจะเรียกร้องอะไรได้บ้างแล้ว ผมก็ขอเรียกร้องว่าโปรดอย่าได้ถามหาการเว้นวรรคจาก ไท้เผ้าล่อ อีกเลย
แต่ให้ถามว่าเขาจะยุติบทบาททางการเมืองหรือไม่แทน