xs
xsm
sm
md
lg

ระบบประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

เผยแพร่:   โดย: ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน

ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมีสองระบบ คือ ระบบรัฐสภาแบบอังกฤษและระบบประธานาธิบดีแบบสหรัฐอเมริกา ระบบรัฐสภาแบบอังกฤษนั้นเป็นระบบที่ประเทศไทยนำมาปรับใช้ ส่วนระบบประธานาธิบดีแบบสหรัฐอเมริกาฟิลิปปินส์ก็นำมาปรับใช้ ความแตกต่างของทั้งสองระบบนั้นอยู่ที่ว่า ในระบบรัฐสภาแบบอังกฤษนั้นจะมีหัวหน้าฝ่ายบริหารคือนายกรัฐมนตรี และประมุขแห่งรัฐคือพระมหากษัตริย์หรือพระราชินี ส่วนระบบประธานาธิบดีแบบสหรัฐฯ นั้น ประธานาธิบดีมีสองสถานะทั้งในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารและประมุขแห่งรัฐ ระบบรัฐสภาแบบอังกฤษนั้นฝ่ายบริหารถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจได้แต่ก็สามารถยุบสภาให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ส่วนระบบประธานาธิบดีนั้นไม่มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่มีการยุบสภา มีแต่การถอดถอนประธานาธิบดี แต่ไม่ว่าจะเป็นระบบใดประชาธิปไตยนั้นเป็นกลไกหรือเครื่องมือ (means) ที่ใช้ในการบริหารประเทศ กล่าวคือ การได้อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งที่มีความชอบธรรมทางการเมือง จึงเป็นกลไกของการเข้าสู่ตำแหน่งอำนาจเพื่อใช้อำนาจรัฐ ในขณะเดียวกันระบบประชาธิปไตยก็เป็นเป้าหมายในตัวเอง (end) ซึ่งหมายความว่าระบบประชาธิปไตยจะต้องถูกปกปักรักษาไม่ให้ส่วนสำคัญที่สุดคือสิทธิเสรีภาพ อำนาจอธิปไตยของปวงชน หลักนิติธรรม หลักเสียงข้างมาก ความเสมอภาค การมีส่วนร่วม การตรวจสอบอำนาจ การถ่วงดุลอำนาจ ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นส่วนสำคัญของระบอบประชาธิปไตย และที่สำคัญเป็นเป้าหมายของระบบที่ต้องพิทักษ์ไว้

เมื่อเป็นเช่นนี้ใครก็ตามที่กล่าวว่า ประชาธิปไตยเป็น means กล่าวคือ เป็นเพียงเครื่องมือหรือกลไกเป็นการเข้าใจผิดอย่างมหันต์ และแสดงถึงความไม่รู้ถึงแก่นแท้ของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือมิฉะนั้นก็สะท้อนให้เห็นถึงจิตใต้สำนึกลึกๆ ที่ต้องการใช้ความอ่อนแอของสังคมเป็นประโยชน์โดยผ่านกลไกของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ขอกล่าวย้ำในที่นี้ว่า ระบบประชาธิปไตยเป็นทั้งกรรมวิธี (means) และเป็นเป้าหมายอันสูงสุด (end) ในตัวของมันเอง ประชาธิปัตย์ (หมายถึงผู้มีใจศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยไม่เกี่ยวกับพรรคการเมือง) จึงเป็นบุคคลที่เข้าใจหลักการดังกล่าวอย่างถ่องแท้ โดยมีจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย มีวัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตย และถือหลักว่าประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่ต้องช่วยกันจรรโลงรักษา เพราะเป็นทั้งเครื่องมือหรือกลไกและเป้าหมายในตัวของมันเอง

ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาแบบอังกฤษจะมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบ ประสานงานกับรัฐมนตรีอื่นๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หัวหน้าคณะรัฐมนตรีที่เรียกเป็นภาษากฎหมายว่า นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีนั้นจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน (collective responsibility) โดยมาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันระบุไว้ว่า

"ในการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ตามมาตรา 211 และต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในหน้าที่ของตน รวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี"

จะเห็นได้ว่า คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งแปลว่า รัฐมนตรีแต่ละคนรวมทั้งที่เป็นหัวหน้าก็เป็นรัฐมนตรีด้วยอีกหนึ่งซึ่งเรียกว่านายกรัฐมนตรี ต้องประชุมปรึกษาหารือกัน ถกเถียงเกี่ยวกับนโยบายทั้งข้อดีข้อเสีย ทางเลือก ฯลฯ และออกมาเป็นมติที่เรียกว่า มติคณะรัฐมนตรี ระบบประชาธิปไตยที่มีคณะรัฐมนตรีเช่นนี้ นายกรัฐมนตรีไม่ใช่ผู้ที่คอยสั่งการให้ผู้อื่นกระทำตาม สิ่งซึ่งคณะรัฐมนตรีจะต้องถือเป็นแนวทางก็คือ การปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ และนโยบายที่คณะรัฐบาลแถลงต่อรัฐสภาก่อนเข้ารับตำแหน่ง

ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งนั้นเป็นเอกอุของผู้เสมอภาคกัน (primus inter pares หรือ first among equals) นายกรัฐมนตรีจึงเป็นผู้ยืนอยู่หน้าแถวในหมู่ที่เท่ากัน กล่าวคือ เป็นคนแรกของคณะรัฐมนตรีที่มีความเสมอภาค นายกรัฐมนตรีไม่ใช่ top among unequals หรือ Chief Executive Officer - CEO ของบริษัทที่จะสั่งการให้ลูกน้องปฏิบัติตาม และนี่เป็นประเด็นสำคัญที่สุด คำกล่าวทำนองที่ว่า "นายกรัฐมนตรีเป็นหลัก รัฐมนตรีเป็นมือไม้คอยช่วย"เสมือนหนึ่งเจ้าหน้าที่ในบริษัทที่คอยช่วยเหลือ CEO จึงไม่สอดคล้องกับแก่นแท้ของระบบประชาธิปไตย

การบริหารประเทศเป็นเรื่องที่แตกต่างไปจากการบริหารบริษัทเอกชน บริษัทเอกชนมุ่งเน้นที่การหากำไรจากการลงทุน แต่การบริหารประเทศนั้นมิได้มีตัวแปรอยู่ที่การวิเคราะห์ทุนและกำไร (cost-profit analysis) การบริหารประเทศเป็นเรื่องผลประโยชน์ทางสังคม แต่ต้องคำนึงถึงผลเสียทางสังคมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีลธรรม จริยธรรมที่อาจจะเกิดได้จากความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารประเทศ ที่สำคัญที่สุด การบริหารประเทศนั้นต้องให้เกิดความเจริญพัฒนาในทุกๆ ด้าน ทั้งวัตถุและจิตใจ มิได้มุ่งเน้นเฉพาะประสิทธิภาพและประสิทธิผล ความรวดเร็ว ความสัมฤทธิผลอย่างทันตาเห็นเท่านั้น

การบริหารประเทศจากการใช้ประสบการณ์จากการบริหารธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจผูกขาดเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเมือง ต่อระบบรัฐสภา ต่อระบบคณะรัฐมนตรี ที่อาจไม่สามารถทดแทนได้ด้วยความเจริญทางวัตถุหรือด้วยการเพิ่มรายได้ประชาชาติ ประสิทธิภาพประสิทธิผลของการทำงานที่มีผลในการทำลายระบบเป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย สิ่งที่เสียจะเป็นส่วนของนามธรรมที่สำคัญยิ่ง และจะส่งผลถึงผลเสียในแง่รูปธรรมในอนาคตได้

เมื่อศักดิ์ศรีของมนุษย์ จิตวิญญาณของสังคม ถูกทำลายลง ไม่ว่าการบริหารนั้นจะมีประสิทธิภาพประสิทธิผลเพียงใด และไม่ว่าจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดในทางวัตถุ ในทางเศรษฐกิจ ในทางรายได้ ฯลฯ เป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่า และถ้ามองในแง่ปรัชญาการเมืองคือความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดความแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายในบ้านเมืองจนเป็นแผลฉกรรจ์ลึกยากที่จะเยียวยาได้ในระยะเวลาอันสั้น และจะกลายเป็นจุดด่างดำของประวัติศาสตร์ของความเป็นชาติ ที่สำคัญที่สุดอาจเป็นการกระทำที่มีผลเป็นการทำลายมรดกตกทอดของบรรพบุรุษผู้ซึ่งเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อเพื่ออนุชนรุ่นหลัง โดยสิ่งที่เกิดขึ้นจะถูกตราไว้บนแผ่นดินตราบนานเท่านาน สิ่งที่น่าคิดก็คือ ความหวังดีบนพื้นฐานของความไม่รู้ ไม่เข้าใจ อาจจะนำไปสู่ผลในทางลบโดยไม่ตั้งใจ ยิ่งถ้าเกิดจากความไม่บริสุทธิ์ใจ เกิดจากการมุ่งเน้นหาผลประโยชน์ส่วนตัว การลุแก่อำนาจ ความสูญเสียนั้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
กำลังโหลดความคิดเห็น