xs
xsm
sm
md
lg

ยุคมืด‘คนหน้าไมค์’ใต้ระบอบทักษิณเป็นกลางยืนข้างประชาชน-ไม่เชียร์รัฐบาลถูกถอดรายการ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“คนหน้าไมค์” สรุปตรงกัน จัดรายการวิทยุ-โทรทัศน์ยุคทักษิณ ต้องหลบหลีกเก่ง ใครเป็นกลางไม่เชียร์รัฐบาลอยู่ลำบาก ยืนเคียงข้างประชาชนถูกถอดรายการ แถมถูกอำนาจมืดบีบสปอร์ตเซอร์ให้ถอนโฆษณา “พิรุณ” อดีตผู้ดำเนินรายการ โอเพนเรดิโด แฉถูกแทรกแซงหนักสั่งการให้คนของรัฐบาลได้พูด 99 % “จักรภพ” คนทรท. รับสังคมมีปัญหาเพราะมีผู้นำที่พูดจารุนแรง ตอบโต้ทุกคน ทำให้ตัวเองอันตรายไปด้วย เรียกร้องนักจัดรายการซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ

วานนี้ ( 20 ส.ค. 49) ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย มีเสวนาโต๊ะกลม เรื่อง “คนหน้าไมล์ อยู่อย่างไรในยุคทักษิณ” ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 49 ของสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ว่าที่ ส.ว. กทม. กล่าว่าในปัจจุบันสื่ออยู่อย่างเดิมไม่ได้อีกแล้วตั้งแต่ 5-6 ปีที่ผ่านมา เพราะสื่อที่อยู่ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีอยู่สองพวก คือ หนึ่ง ท่องคาถาไว้เลยว่า “รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง” พวกนี้ไม่ยอมพูดเรื่องการเมือง พูดแต่เรื่อง พนันบอล หวย เรื่องเบาๆ และพวกที่สองคือ “จน เคลียด กินเหล้า เกลียดผู้มีบารมี” ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ ดังนั้นตนเห็นว่าสื่อไม่มีความเป็นกลาง เพราะเป็นกลางไม่ได้

นายบุญยอด กล่าวว่า ถ้าสื่อถูกครอบงำ หรือมีการใช้อำนาจรัฐแทรกแซงสื่อ เช่น การใช้อำนาจรัฐในการถอดรายการที่วิพากวิจารณ์รัฐบาล หรือการถอนโฆษณาในหนังสือพิมพ์ที่โจมตีรัฐบาล และยิ่ง ในช่วงใกล้เลือกตั้ง อยากฝากไปยังสถานีโทรทัศน์ วิทยุทุกแห่งในการนำเสนอข่าว ควรนำเสนอข่าวอย่างยุติธรรม ให้ทุกพรรคการเมืองได้เวลาอย่างเต็มที่ไม่มีเอนเอียง เข้าข้างแต่พรรคไทยรักไทย

“วันนี้ไม่มีรายการไหนพูดถึงเรื่อง กุหลาบแก้ว หรือ คดี ไอบีซี คดีอาญาของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือ โทรทัศน์ช่อง 7 ที่ไม่กล้าเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ารักษาการนายกรัฐมนตรี และวันนี้ นายสมัคร สุทรเวช จะจัดรายการในคลื่นวิทยุ 100.5 อีก อสมท.จะยังยอมเป็นเครื่องมือต่อไปอีกใช่หรือไม่ อยากฝากไปยังสหภาพ อสมท.ด้วย ยิ่งเรื่องเหล่านี้ไม่มี ใครกล้าหาญออกมาวิจารณ์ และ ตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคไหนก็ต้องมีการตรวจสอบ ผมไม่อยากเห็นสื่อประเทศไทยเหมือสิงคโปร์” นายบุญยอดกล่าว

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ที่ปรึกษาสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ไทย กล่าวว่า สื่อของไทยต้องยึดแนวทาง (ไกด์ไลน์) ของ บีบีซีประเทศอังกฤษเป็นหลักที่ยึดการนำเสนอข่าวเน้นที่มาตรฐาน และความเป็นวิชาชีพอะไรถูกว่าไปตามถูกอะไรผิดก็ว่าไปตามผิด แต่ปัจจุบันสื่อกลับถูกครอบงำโดยอำนาจรัฐ ธุรกิจ และผู้บังคับบัญชาตัวเอง เพื่อให้นำเสนอข่าวให้ตัวเองได้ประโยชน์ เป็นการนำเสนอข่วที่ไม่สมดุล เช่น กรณีรายการนายกฯทักษิณกับประชาชนในวันเสาร์ ที่ใช้เพื่อการประชาสัมพันธ์ ชี้แจงตัวเอง แต่ไม่เปิดให้ฝ่ายอื่นๆได้ใช้ช่องทางเดียวกันนี้

“คนหน้าไมค์จะอยู่ได้ต้องซื่อสัตย์ตัวเอง และวิชาชีพ มีความเป็นกลาง จึงจะอยู่รอดในยุคทักษิณ ส่วนความเป็นกลางนั้นอยู่ตรงไหน อยู่ตรงที่ความเปิดเผยในสิ่งที่ถูกต้อง”

นายสุภาพ คลี่ขจาย นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ กล่าวว่า คิดอยู่เสมอว่า หากพ้นการเมืองต้องมาทำสื่อได้โดยไม่มีใครตำหนิ ซึ่งการเสนอข่าวจะเน้นว่าข่าวใดที่เป็นข่าวร้ายแต่ยังไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ตนจะไม่นำมาเสนอ ให้สาธารณชนรับทราบ อย่างไรก็ตามยอมรับว่าบางเรื่องก็ทำได้ไม่เต็มที่เพราะต้องเซนเซอร์ตัวเองพอสมควร เนื่องจากเกรงว่าหากรายงานข่าวนั้นๆไปอาจจะทำให้คนอื่นโดยเฉพาะเจ้าของรายการเดือดร้อน

ขณะที่นายพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ อดีตนักจัดรายการวิทยุ ซึ่งถูกสั่งปลดกลางอากาศ กล่าวว่า อยากให้สื่อวิทยุและโทรทัศน์อยู่อย่างซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ แม้รู้ว่าสิ่งที่พูดมันอ่อนไหว แต่หากเป็นเรื่องที่จะส่งผลดีต่อส่วนรวมต้องพูด คนหน้าไมค์ต้องกล้าหาญไม่เช่นนั้นจะมายึดอาชีพนี้ทำไม ทั้งนี้อยากเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดกว้างให้คนหน้าไมค์พูดในสิ่งที่อยากพูดตราบใดที่ไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งกันและกัน ทั้งนี้แม้ว่าขณะนี้จะมีความพยายามไม่ให้ตนได้ทำหน้าที่พิธีกรก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าตราบใดที่ตนกลับมาก็พร้อมทำหน้าที่ต่อ

ด้านนายจักรภพ เพ็ญแข นักจัดรายการโทรทัศน์ และสมาชิกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ต้องรู้ด้วยว่า สื่อมวลชนเริ่มต้นมาเพื่อต่อต้านรัฐบาล ดังนั้น หากสื่อคนใดมีท่าทีหนุนรัฐบาลยิ่งจะเสียหายได้ง่าย ทั้งนี้เห็นว่าการเสนอข่าวของแต่ละคนขึ้นอยู่กับจริยธรรมของผู้นั้นด้วยและอยากให้แยกแยะให้ชัดเจนว่าสื่อที่ตายหรือถูกปิดไป สาเหตุมาจากรัฐบาล หรือตายเพราะต้องการพลีชีพ หรือวิตกจริตกันเอง

นายจักรภพ ว่าตนไม่สบายใจในสถานการณ์อย่างนี้ที่ มีสองฝ่ายคือ ฝ่ายเชียร์ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่บางกลุ่มเชียร์อย่างลุ่มหลง และฝ่ายที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ กลายเป็นสังคมที่ไม่มีเหตุผล ปัญหาก็เพราะเรามีผู้นำการเมือง ที่พูดแรง คอยแต่จะวิจารณ์คนอื่นโดยไม่หาบันไดให้คนที่ถูกพาดพิงลง อย่างนี้หรือไม่จึงต้องมีคนอย่างสนธิ (สนธิ ลิ้มทองกุล) เข้ามา แม้ตนจะช่วยงานพรรคไทยรักไทย ที่มีผู้นำการเมืองที่พูดแรง ตอบโต้ทุกคนที่วิจารณ์ ก็ยิ่งน่ากลัวมาก

“ถ้าว่าวันนี้ต้องมี Model ของทักษิณ เป็น Model เดียวกับ คุณสนธิ ใช่หรือไม่ ที่จะแซะกันได้ แล้วกลไกปกติล่ะ จะตรวจสอบถ่วงดุลเพียงพอได้หรือไม่ แล้วสื่อจะอยู่อย่างไร จะต้องต้องเซ็นเซอร์ตัวด้วยหรือหรือเปล่า เพราะหน้าที่ของสื่อคือ ต้องจุดประกายให้สังคมได้รับทราบข้อเท็จจริง”

ด้านนายพิรุณ ฉัตรวนิชกุล อดีตนักจัดรายการวิทยุโอเพนเรดิโอที่เพิ่งปิดตัวเองลง กล่าวยืนยันว่า แม้สื่อจะพยายามเป็นกลางเสนอข่าวของแต่ละฝ่ายแค่ไหน ภาครัฐก็ยังไม่พอใจและมักจะโทรศัพท์มาคอยกำกับอยู่ตลอดเวลา จากประสบการณ์ทำงานนานหลายสิบปีพบว่าระดับความรุนแรงที่ภาครัฐเข้ามาแทรกแซงไม่เท่ากัน แต่สุดท้ายเขาอยากให้คนของรัฐบาลได้พูด 90-99 % ซึ่งรายการของตนเชื่อว่าสาเหตุที่ถูกปิดเรื่องใหญ่น่าจะมาจากการเรียกร้องให้ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ลาออก ทั้งนี้อยากฝากถึงนักจัดรายการวิทยุทุกคนด้วยว่า จะอยู่อย่างไรนั้นต้องไม่เอาตัวรอด ต้องมีจุดยืน และต้องทำให้เขาอยู่ไม่รอด ตัวเราจึงจะอยู่รอดได้

นายเทพชัย หย่อง บก.อำนวยการเครือเนชั่น กล่าวว่า คนหน้าไมค์ในเวลานี้ ที่ทำงานด้านสื่อวิทยุโทรทัศน์ ที่ได้หายไปจากคลื่น ส่วนใหญ่ 99 % เกิดจากการฆาตกรรมด้วยเหตุผลที่คนในวงการรู้กันดี เพียงแต่คนที่อยู่ในวงการจะกล้าพูดหรือไม่ จากข้อสรุปที่ตนได้ติดตามมา พบว่า ความเสี่ยงของคนหน้าไมค์ในยุคปัจจุบันนี้ เสี่ยงที่จะตกงานมากที่สุด โดยการตกงานดังกล่าว จะไม่มีคำอธิบาย หรือคำชี้แจงจากผู้เกี่ยวข้อง

นายเทพชัย กล่าวว่า เท่าที่ได้พยายามติดตามว่า คนหน้าไมค์ในยุคปัจจุบันนี้ สามารถอยู่ได้อย่างไร ได้ข้อสรุปว่า คนหน้าไมค์ที่สามารถยืนหยัดและอยู่ได้ในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ ได้ทำสิ่งที่สวนทางกับหลักการของนิเทศศาสตร์ ที่ได้ร่ำเรียนกันมา คือ

1.หลักการนิเทศศาสตร์สอนไว้ว่า พูดให้สั้นและน้อย แต่ได้ใจความ แต่ปัจจุบัน หากพูดเรื่องการเมือง ต้องพูดให้มากที่สุด แต่สรุปใจความให้น้อยที่สุด 2.หากพูดเรื่องการเมือง คนหน้าไมค์จะต้องใช้ความสามารถพิเศษ เข้าไปในการดำเนินรายการ โดยเฉพาะการใช้น้ำเสียงในการนำเสนอข่าว ที่จะต้องแสดงน้ำเสียง ลีลาไม่เห็นด้วยกับข่าว 3.คนหน้าไมค์ที่จะสามารถอยู่รอดได้ จะต้องรู้จักโยนความผิดให้กับบุคคลอื่น โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ ที่นำข่าวมาเสนอผ่านรายการ

4.คนหน้าไมค์ที่จัดรายการ จะต้องรู้จักใช้จังหวะชิ่งหนี โดยโยนความผิด หรือความรับผิดชอบให้คู่หูที่ดำเนินรายการ เช่น ถามว่า มีความคิดเห็นอย่างไรกับข่าวนี้ ,ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน ,สิ่งที่คุณพูด คุณต้องรับผิดชอบนะ เป็นต้น ดังนั้น ตนจึงมีความเห็นว่า คนหน้าไมค์ จำเป็นต้องมีความเป็นกลางอย่างแท้จริง และไม่เห็นด้วยกับคนหน้าไมค์ที่จะมาเลือกข้าง ตนอยากให้คนหน้าไมค์ ควรแสดงความคิดเห็นที่เป็นของตัวเอง และยึดหลักวิชาชีพของตนเองน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

นายสำราญ รอดเพชร ผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์ ผ่านดาวเทียม ASTV กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตนมีความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในการทำหน้าที่ เพราะส่วนตัวแล้ว ตนไม่ว่าจะอยู่บนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นพิธีกรจัดรายการวิทยุ หรือเป็นพิธีกรอยู่ในช่องของสถานีโทรทัศน์ ASTV แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้มีความมั่นใจ คือ สิ่งที่ได้นำเสนอสู่สาธารณะ เป็นสิ่งที่เป็นความจริง และไม่มีวาระซ่อนเร้นอะไร ยอมรับว่า การทำงานของคนหน้าไมค์ ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นคนหน้าไมค์ หรือสื่อมวลชน ต่างอยู่ด้วยความหวาดกลัว จนทำให้ความหวาดกลัวดังกล่าว

“คนหน้าไมค์และสื่อมวลชน ต้องทำการเซนเซอร์ตัวเอง ดังนั้น ผมจึงอยากเรียกร้องให้ คนที่ทำงานในวงการสื่อมวลชน ก้าวออกจากความกลัวมาคนละก้าว หรือครึ่งก้าวก็พอแล้ว แล้วได้ทำหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์ โดยไม่ต้องกลัว ที่ผ่านมาเรากลัวถูกราชการเซนเซอร์ก็พออยู่แล้ว แล้วเรามาเซนเซอร์ตัวเองอีกชั้น ทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจ” นายสำราญ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น