สุวัจน์รับปากผลักดันตั้งสำนักงานที่ดูแลอุตสาหกรรมบันเทิง รองรับหนังต่างชาติยกพลถ่ายทำในไทย ให้เป็นเรื่องเป็นราว เตรียมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปเป็นแผนเสนอ ครม. เผย 8 เดือนแรกปีนี้ไทยโกย 1 พันกว่าล้านจากกองถ่ายต่างประเทศแล้ว
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล ท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานการสัมมนาการสัมนา เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพธุรกิจภาพยนตร์และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง” เปิดเผยว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของภาคเอกชนที่ขอให้มีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการอุตสาหกรรมบันเทิงหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูแล พัฒนาและตรวจสอบอุตสาหกรรมบันเทิงให้ครอบคลุมทั้งหมด คล้ายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ฯ ขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งภายในหนึ่งเดือนนับจากนี้ จะนำแนวทางทั้งหมด พร้อมรายละเอียด หารือ กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่นกระทรวงพาณิชย์กระทรวงทรัพยากรฯ กระทรวงวัฒนธรรมฯ กรมสรรพากร เป็นต้น เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการ นำเสนอต่อที่ประชุมครม.
ก่อนหน้านี้เอกชนเคยเสนอให้ จัดตั้งเป็นองค์การมหาชนเข้ามาดูแลกิจการภาพยนตร์ และธุรกิจบันเทิงแบบครบวงจรแต่เมื่อลงในรายละเอียดแล้วพบว่า องค์การมหาชนจะมีหน้าที่ได้เพียง ทำการตลาดและการส่งเสริมเท่านั้น ไม่มีอำนาจในการอนูมัติ หรือจัดการเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะการให้อนุญาตการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย
นอกจากนั้นยังมีแนวคิดว่า สนับสนุนให้เอกชนลงทุนสร้างโรงถ่ายมาตรฐานสำหรับผลิตภาพยนตร์ไทยเพื่อส่งออกและรองรับกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ที่จะเข้ามาถ่ายในประเทศ โดยรัฐจะสนับสนุนเรื่องให้ BOI การให้สินเชื่อพิเศษ การให้ อินเซนทีฟ ด้านภาษีและถ้าทำได้จะตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรมถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งจะมีบริการทุกอย่างครบวงจร เช่น โรงถ่ายภาพยนตร์ บริการ พีโปรดักชั่น และโพสต์โปรดักชั่น
ในการสัมมนาครั้งนี้ภาคเอกชน ยังต้องการมาตรการส่งเสริมจากรัฐบาลคือ 1.การส่งเสริมภาพยนตร์ต่างประเทศ ที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย เช่น การคืนภาษี VAT ยกเว้นภาษีนักแสดง แยกธุรกิจภาพยนตร์ต่างประเทศออกจากภาพยนตร์ไทย เพราะลักษณะของธุรกิจต่างกัน ให้หน่วยงานผู้มีอำนาจในการพิจารณา มีบุคลากรที่มีความเข้าใจของพื้นฐานธุรกิจ ส่งเสริมพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับการเติบโต 2.ในส่วนของภาพยนตร์ไทยควรส่งเสริมเรื่องการส่งออกและการประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศ เช่น สนับสนุนการออกโรดโชว์ และสนับสนุนเงินลงทุนในการสร้าง
นางขนิษฐา มณีโชติ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการการท่องเที่ยว กล่าวว่า ถ้าประเทศไทยสามารถจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาดูแลกิจการบันเทิงและภาพยนตร์จะทำให้ธุรกิจนี้เติบโตอีกมาก โดยภายใน 3 ปี น่าจะสร้างรายได้เข้าประเทศได้มากว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันนี้ธุรกิจภาพยนตร์ทำรายได้เข้าประเทศเกือบ 8 พันล้านบาทต่อปี แบ่งเป็น รายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย กว่า 1 พันล้านบาท่อปี และรายได้จากบริการพรีโปรดักชั่นและโพสต์โปรดักชั่นอีกกว่า 6 พันล้านบาท สำหรับปีนี้ 8 เดือนแรกมีการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย 311 เรื่อง มีรายได้ 1,156 ล้านบาท
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล ท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานการสัมมนาการสัมนา เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพธุรกิจภาพยนตร์และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง” เปิดเผยว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของภาคเอกชนที่ขอให้มีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการอุตสาหกรรมบันเทิงหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูแล พัฒนาและตรวจสอบอุตสาหกรรมบันเทิงให้ครอบคลุมทั้งหมด คล้ายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ฯ ขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งภายในหนึ่งเดือนนับจากนี้ จะนำแนวทางทั้งหมด พร้อมรายละเอียด หารือ กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่นกระทรวงพาณิชย์กระทรวงทรัพยากรฯ กระทรวงวัฒนธรรมฯ กรมสรรพากร เป็นต้น เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการ นำเสนอต่อที่ประชุมครม.
ก่อนหน้านี้เอกชนเคยเสนอให้ จัดตั้งเป็นองค์การมหาชนเข้ามาดูแลกิจการภาพยนตร์ และธุรกิจบันเทิงแบบครบวงจรแต่เมื่อลงในรายละเอียดแล้วพบว่า องค์การมหาชนจะมีหน้าที่ได้เพียง ทำการตลาดและการส่งเสริมเท่านั้น ไม่มีอำนาจในการอนูมัติ หรือจัดการเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะการให้อนุญาตการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย
นอกจากนั้นยังมีแนวคิดว่า สนับสนุนให้เอกชนลงทุนสร้างโรงถ่ายมาตรฐานสำหรับผลิตภาพยนตร์ไทยเพื่อส่งออกและรองรับกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ที่จะเข้ามาถ่ายในประเทศ โดยรัฐจะสนับสนุนเรื่องให้ BOI การให้สินเชื่อพิเศษ การให้ อินเซนทีฟ ด้านภาษีและถ้าทำได้จะตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรมถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งจะมีบริการทุกอย่างครบวงจร เช่น โรงถ่ายภาพยนตร์ บริการ พีโปรดักชั่น และโพสต์โปรดักชั่น
ในการสัมมนาครั้งนี้ภาคเอกชน ยังต้องการมาตรการส่งเสริมจากรัฐบาลคือ 1.การส่งเสริมภาพยนตร์ต่างประเทศ ที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย เช่น การคืนภาษี VAT ยกเว้นภาษีนักแสดง แยกธุรกิจภาพยนตร์ต่างประเทศออกจากภาพยนตร์ไทย เพราะลักษณะของธุรกิจต่างกัน ให้หน่วยงานผู้มีอำนาจในการพิจารณา มีบุคลากรที่มีความเข้าใจของพื้นฐานธุรกิจ ส่งเสริมพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับการเติบโต 2.ในส่วนของภาพยนตร์ไทยควรส่งเสริมเรื่องการส่งออกและการประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศ เช่น สนับสนุนการออกโรดโชว์ และสนับสนุนเงินลงทุนในการสร้าง
นางขนิษฐา มณีโชติ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการการท่องเที่ยว กล่าวว่า ถ้าประเทศไทยสามารถจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาดูแลกิจการบันเทิงและภาพยนตร์จะทำให้ธุรกิจนี้เติบโตอีกมาก โดยภายใน 3 ปี น่าจะสร้างรายได้เข้าประเทศได้มากว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันนี้ธุรกิจภาพยนตร์ทำรายได้เข้าประเทศเกือบ 8 พันล้านบาทต่อปี แบ่งเป็น รายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย กว่า 1 พันล้านบาท่อปี และรายได้จากบริการพรีโปรดักชั่นและโพสต์โปรดักชั่นอีกกว่า 6 พันล้านบาท สำหรับปีนี้ 8 เดือนแรกมีการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย 311 เรื่อง มีรายได้ 1,156 ล้านบาท