นครศรีธรรมราช - ส่อเค้าเจ๊งสะพานปลาเมืองคอนกุ้งหาย-ปลาหด ไม่เหลือเข้าตลาด หัวหน้ากองฯ เผยเรือประมงไทยไม่เหลือเค้าอดีตกองเรืออันรุ่งเรืองอีกแล้ว เพราะทนแบกภาระค่าใช้จ่ายไม่ได้ เลิกออกเรือจับปลาเกือบหมด
นายภูธน สุกสังค์ หัวหน้ากองสะพานปลานครศรีธรรมราช ในฐานะผู้บริหารกองสะพานปลานครศรีธรรมราช-หลังสวน-ชุมพร เปิดเผยถึงการประกอบธุรกิจของตลาดกลางสัตว์น้ำทั้ง 3 แห่งว่า ในส่วนของนครศรีธรรมราช ถ้าเทียบกับในอดีตปริมาณกุ้งกุลาดำเดิมมี 100 เปอร์เซ็นต์ มาช่วงนี้เหลือแค่ 0 เปอร์เซ็นต์ คือไม่มีกุ้งกุลาดำเหลืออยู่ในตลาดนครศรีธรรมราชเลย
ส่วนสัตว์น้ำอื่นๆ เดิมเข้าสู่ตลาดประมาณวันละ 8-10 ลำเรือประมงต่อวัน แต่วันนี้เหลือเพียงไม่ถึง 2 ลำต่อวัน ก่อนหน้านี้พออาศัยเรือทัวร์หรือเรือ ที่ออกไปรับสัตว์น้ำจากเรือประมงกลางทะเลมาส่งได้บ้าง แต่ขณะนี้เรือทัวร์เหล่านี้ก็รับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหวทยอยเลิกไปแล้วเกือบหมด
"ฐานะของตลาดสัตว์น้ำตอนนี้พูดได้เต็มปากว่าไม่ฟื้น โอกาสไม่มีเหลือเรือที่เข้าฝั่งส่วนใหญ่จะไปขึ้นฝั่งที่ จ.สงขลา เนื่องจากทำการประมงในอินโดนีเชีย ในมาเลเซีย จะเข้าฝั่งที่นั่นง่ายกว่า แต่ถ้ามาเข้าที่นครศรีธรรมราช มีปัญหาอุปสรรคคือมีโพงพางขวางเรือ ซึ่งไม่ใช่เจตนาจับสัตว์น้ำ แต่เจตนาดักเรือหากไปชนก็ต้องเรียกค่าเสียหายจากเรือ ปัญหาร่องน้ำที่ยาวถึง 26 กิโลเมตรปัญหาสะสมมานับสิบปีไม่มีใครแก้ได้ เศรษฐกิจของปากพนังฟุบถึงขั้นแย่มาก"
หัวหน้ากองสะพานปลานครศรีธรรมราช ยังกล่าวต่อว่าการประกอบการของตลาดเดิมกุ้งกุลาดำ จะเป็นตัวทำกำไรให้กับตลาด มาวันนี้ปลาที่เข้าตลาดโอกาสทำกำไรไม่มีเลย
ขณะที่ตัวอาคารสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ของตลาดนั้นมีการหักค่าเสื่อมสูงมากกว่ารายรับของตลาด ซึ่งตลาดเองต้องพยุงตัวเองเดิมมีพนักงานลูกจ้างกว่า 50 คนวันนี้ต้องลดอัตราลงเหลือแค่ 6 คน ผู้บริหารเองก็ต้องลด ตนเองต้องดูแลทั้ง 3 ที่คือนครศรีธรรมราช หลังสวน และชุมพร เดิมต้องจ้างถึง 3 คนตอนนี้เหลือแค่คนเดียว รายได้ที่เข้ามาในตลาดแทบจะไม่พอค่าใช้จ่ายคือค่าเงินเดือน และค่าไฟด้วยซ้ำ ซึ่งต้องประคองดูแลกันไปถ้าทิ้งไปก็ไม่ได้ เพราะต้องดูแลทรัพย์สินของราชการ
"มาวันนี้ผลประกอบการของสะพานปลาทุกที่ ต่ำกว่าประมาณการทุกแห่ง ชุมพรต่ำกว่าเป้าแต่คงพอจะอยู่ได้ เนื่องจากมีประมงชายฝั่งเข้ามาค่อนข้างมาก สงขลาต่ำกว่าเป้า ระนองตามเป้า สตูลต่ำกว่าต่างก็น่าห่วงทั้งนั้น วันนี้ผมเชื่อว่ากองเรือประมงของประเทศไทย ที่ได้ชื่อว่าเป็นกองเรือที่มีศักยภาพที่สุด ไม่น้อยกว่า 4-5 หมื่นลำเป็นเพียงอดีต เวลานี้คาดว่าคงจะเหลือราว 3-5 พันลำเท่านั้น เดิมเป็นอวนลาก ก็ปรับมาเป็นอวนลอย ซึ่งถ้าพวกเขาอยู่ได้ราคาสัตว์น้ำต้องสูงกว่านี้มากผู้บริโภคก็รับไม่ได้ ดังนั้น เศรษฐกิจภาคการประมงในขณะนี้พูดกันชัดๆ คือหัวทิ่มแล้ว" หัวหน้ากองสะพานปลานครศรีธรรมราชกล่าว
นายภูธน สุกสังค์ หัวหน้ากองสะพานปลานครศรีธรรมราช ในฐานะผู้บริหารกองสะพานปลานครศรีธรรมราช-หลังสวน-ชุมพร เปิดเผยถึงการประกอบธุรกิจของตลาดกลางสัตว์น้ำทั้ง 3 แห่งว่า ในส่วนของนครศรีธรรมราช ถ้าเทียบกับในอดีตปริมาณกุ้งกุลาดำเดิมมี 100 เปอร์เซ็นต์ มาช่วงนี้เหลือแค่ 0 เปอร์เซ็นต์ คือไม่มีกุ้งกุลาดำเหลืออยู่ในตลาดนครศรีธรรมราชเลย
ส่วนสัตว์น้ำอื่นๆ เดิมเข้าสู่ตลาดประมาณวันละ 8-10 ลำเรือประมงต่อวัน แต่วันนี้เหลือเพียงไม่ถึง 2 ลำต่อวัน ก่อนหน้านี้พออาศัยเรือทัวร์หรือเรือ ที่ออกไปรับสัตว์น้ำจากเรือประมงกลางทะเลมาส่งได้บ้าง แต่ขณะนี้เรือทัวร์เหล่านี้ก็รับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหวทยอยเลิกไปแล้วเกือบหมด
"ฐานะของตลาดสัตว์น้ำตอนนี้พูดได้เต็มปากว่าไม่ฟื้น โอกาสไม่มีเหลือเรือที่เข้าฝั่งส่วนใหญ่จะไปขึ้นฝั่งที่ จ.สงขลา เนื่องจากทำการประมงในอินโดนีเชีย ในมาเลเซีย จะเข้าฝั่งที่นั่นง่ายกว่า แต่ถ้ามาเข้าที่นครศรีธรรมราช มีปัญหาอุปสรรคคือมีโพงพางขวางเรือ ซึ่งไม่ใช่เจตนาจับสัตว์น้ำ แต่เจตนาดักเรือหากไปชนก็ต้องเรียกค่าเสียหายจากเรือ ปัญหาร่องน้ำที่ยาวถึง 26 กิโลเมตรปัญหาสะสมมานับสิบปีไม่มีใครแก้ได้ เศรษฐกิจของปากพนังฟุบถึงขั้นแย่มาก"
หัวหน้ากองสะพานปลานครศรีธรรมราช ยังกล่าวต่อว่าการประกอบการของตลาดเดิมกุ้งกุลาดำ จะเป็นตัวทำกำไรให้กับตลาด มาวันนี้ปลาที่เข้าตลาดโอกาสทำกำไรไม่มีเลย
ขณะที่ตัวอาคารสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ของตลาดนั้นมีการหักค่าเสื่อมสูงมากกว่ารายรับของตลาด ซึ่งตลาดเองต้องพยุงตัวเองเดิมมีพนักงานลูกจ้างกว่า 50 คนวันนี้ต้องลดอัตราลงเหลือแค่ 6 คน ผู้บริหารเองก็ต้องลด ตนเองต้องดูแลทั้ง 3 ที่คือนครศรีธรรมราช หลังสวน และชุมพร เดิมต้องจ้างถึง 3 คนตอนนี้เหลือแค่คนเดียว รายได้ที่เข้ามาในตลาดแทบจะไม่พอค่าใช้จ่ายคือค่าเงินเดือน และค่าไฟด้วยซ้ำ ซึ่งต้องประคองดูแลกันไปถ้าทิ้งไปก็ไม่ได้ เพราะต้องดูแลทรัพย์สินของราชการ
"มาวันนี้ผลประกอบการของสะพานปลาทุกที่ ต่ำกว่าประมาณการทุกแห่ง ชุมพรต่ำกว่าเป้าแต่คงพอจะอยู่ได้ เนื่องจากมีประมงชายฝั่งเข้ามาค่อนข้างมาก สงขลาต่ำกว่าเป้า ระนองตามเป้า สตูลต่ำกว่าต่างก็น่าห่วงทั้งนั้น วันนี้ผมเชื่อว่ากองเรือประมงของประเทศไทย ที่ได้ชื่อว่าเป็นกองเรือที่มีศักยภาพที่สุด ไม่น้อยกว่า 4-5 หมื่นลำเป็นเพียงอดีต เวลานี้คาดว่าคงจะเหลือราว 3-5 พันลำเท่านั้น เดิมเป็นอวนลาก ก็ปรับมาเป็นอวนลอย ซึ่งถ้าพวกเขาอยู่ได้ราคาสัตว์น้ำต้องสูงกว่านี้มากผู้บริโภคก็รับไม่ได้ ดังนั้น เศรษฐกิจภาคการประมงในขณะนี้พูดกันชัดๆ คือหัวทิ่มแล้ว" หัวหน้ากองสะพานปลานครศรีธรรมราชกล่าว