รายงาน
พิษณุโลก
แม้ว่าพิษณุโลก : เมืองสองแคว จะมีคำขวัญคู่บ้าน คู่เมือง ที่ชี้ให้เห็นถึงเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมาโดยตลอดว่า "พระพุทธชินราชงามเลิศ ถิ่นกำเนิดพระนเรศวร สองฝั่งน่านล้วนเรือนแพ หวานฉ่ำแท้กล้วยตาก ถ้ำและน้ำตกหลากตระการตา" ก็ตาม
แต่ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ก็มีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง "เรือนแพริมฝั่งแม่น้ำน่าน" ที่ถือเป็นหนึ่งในมนต์เสน่ห์ของเมืองสองแคว ด้วยการโยกย้ายชุมชนชาวแพริมน้ำน่าน ขึ้นมาอยู่บนฝั่ง ภายใต้ข้ออ้างเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในแม่น้ำน่าน ที่เสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง เพราะชุมชนชาวเรือนแพทิ้งสิ่งปฏิกูล-น้ำเสียลงน้ำน่าน
กรณีดังกล่าว กลายเป็นความขัดแย้งมาจนถึงปัจจุบัน ล่าสุดกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ชาวเรือนแพพิษณุโลก รวมตัวกันยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองจังหวัดพิษณุโลก ตามคดีหมายเลขดำที่ 359/2549 โดยชุมชนชาวเรือนแพ ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนแจ้งประกาศเขตห้ามจอดเรือนแพที่ พล.52008/ว 1594 พร้อมกับให้เพิกถอนประกาศเทศบาลในการเคลื่อนย้ายที่จอดเรือนแพ
ขณะนี้เรื่องกำลังอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลปกครองพิษณุโลก
เดิมชุมชนเรือนแพริมน้ำน่านของพิษณุโลก ที่อยู่อาศัยกันมากว่า 100 ปี นับได้หลายชั่วอายุคน มีอยู่ประมาณ 150 แพ เมื่อปี 2535 จังหวัดพิษณุโลก มีคำสั่งที่ 2857/2535 ลงวันที่ 19 กันยายน35 แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความเป็นไปได้ในการเคลื่อนย้ายเรือนแพ ตามมาด้วยการตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาสิทธิในที่ดินบริเวณริมคลองโคกช้าง ตามโครงการย้ายเรือนแพริมน้ำน่าน ซึ่งปรากฏตามหนังสือคำสั่งของจังหวัดพิษณุโลกที่ 3482/2540 ลงวันที่ 23 กันยายน40
ครานั้น ปรากฏว่า มีชาวแพริมน้ำน่านสมัครใจเข้าไปอยู่ในที่ดินริมคลองโคกช้าง ที่มีการจัดสรรให้ใหม่จำนวน 103 ราย เหลืออีกประมาณ 50 ราย ที่ไม่ยินยอมตามข้อเสนอ และยังคงปักหลักอาศัยอยู่ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำน่าน กลางเมืองสองแควจนถึงปัจจุบัน
แต่ทางจังหวัดก็ยังคงเปิดให้ชุมชนชาวแพแจ้งความจำนงโยกย้ายขึ้นฝั่งได้ตลอดเวลา
ขณะที่เทศบาลนครพิษณุโลก ก็มีนโยบายที่จะคุมกำเนิดเรือนแพริมน้ำน่านกลางเมือง ไม่ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่เหลืออยู่ ด้วยการจำกัดการอนุญาตให้บ้านเลขที่แก่เรือนแพ แต่นโยบายดังกล่าว ก็กลายเป็นนโยบายที่ "สร้างราคา" ให้แก่เรือนแพที่เหลืออยู่ โดยมีการซื้อ-ขายบ้านเลขที่ของเรือนแพ เพื่อนำไปใช้เป็นร้านอาหารรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ โดยล่าสุดมีเรือนแพที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวชุมชนเรือนแพมากว่า 100 ปี กลายเป็นร้านอาหารกลางน้ำน่านไปแล้วไม่น้อยกว่า 5 แพด้วยกัน
ทุกแพอาหาร ล้วนเป็นเป้าหมายนักท่องเที่ยว ที่จะแวะเยือนเนื่องแน่นทุกคืน มีทั้งทัวร์นักท่องเที่ยว
รถบัส รถเก๋งนับสิบๆคัน ของลูกค้าเรือนแพร้านอาหาร ถูกจอดเป็นแนวเรียงรายยาวเกือบ 1 กิโลเมตร
และจนถึงขณะนี้ คำตอบจากชุมชนเรือนแพริมน้ำน่าน / แพร้านอาหารต่าง ๆ ก็ยังคงยืนยันว่า จะไม่โยกย้ายไปไหน หรือถ้าย้าย ก็ต้องย้ายกันทุกแพ
"ลุงเณร" หนึ่งในสมาชิกชาวแพริมน้ำน่าน ที่อาศัยอยู่กับเรือนแพมานาน โดยยึดอาชีพลอยอัฐิ หรือกระดูก ลงสู่แม่น้ำ เล่าว่า เรือนแพ คือที่พักพิง ที่สบายที่สุด ไร้มลพิษ น้ำในแม่น้ำน่านใช้อุปโภคได้สบาย สามารถหุงหาอาหารได้ เพราะมีไฟฟ้าต่อจากบนบก การกินอยู่ถือว่า เรียบง่าย ไม่ต้องดิ้นรนมากมาย หากไม่มีเงิน ก็ไม่ต้องเดือดร้อน แค่ทอดแหโครมเดียวก็ได้ปลาแล้วหนึ่งมื้อ
"การย้ายเรือนแพ ลุงต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด ทำไม่แพร้านอาหารอยู่ได้ ถ้าย้าย ก็ย้ายทั้งหมด"
นายมานิตย์ สีฆสัมบันน์ เจ้าของแพอาหารฟ้าไทย อดีตประธานชมรมผู้ประกอบการร้านอาหารจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ชอบที่จะมาดูวิถีชีวิตชาวแพ ที่มีมากว่า 100 ปี หากย้ายเรือนแพไปทางตอนใต้ของแม่น้ำในจุดที่เทศบาลจัดให้ ซึ่งยังไม่ได้รับการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร หรือชาวแพดั้งเดิมก็คงอยู่ไม่ได้แน่นอน
นายอดิศักดิ์ ด้วงสาม อายุ 44 ปี อยู่แพเลขที่ 334 ระบุถึงสาเหตุที่ชาวแพไม่ยอมย้ายไปอยู่ในจุดที่เทศบาลจัดให้ ว่า เพราะพื้นที่ใหม่ตลิ่งสูงชันมาก นอกจากนี้ยังมีท่อระบายน้ำที่อยู่เหนือบริเวณที่จอดแพ ซึ่งส่งกลิ่นเหม็น - สกปรกตลอดเวลา ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ นอกจากนี้น้ำในบริเวณดังกล่าวก็ไม่สามารถนำมาใช้อุปโภคได้
อย่างไรก็ตามเทศบาลนครพิษณุโลก ที่ล่าสุดได้รับอนุมัติให้ก่อสร้างเขื่อนเรียงหิน บริเวณหน้าศาลากลางไปจนถึงพระราชวังจันทน์ ยังคงเดินหน้าโครงการนี้ต่อ ซึ่งตามแผนงานจะต้องมีแพบางส่วนขยับโยกย้ายออกไป ในระหว่างก่อสร้างเขื่อนเรียงหิน โดยเทศบาลฯกำลังเตรียมจัดพื้นที่ให้ พร้อม ๆ กับเรือนแพบริเวณหน้าศาลจังหวัดพิษณุโลก เพียงแต่เรือนแพในโซนนี้ เป็นแพร้านอาหารชื่อดัง ที่กลายเป็นปัญหามวลชนขึ้นมาทันที
ขณะเดียวกัน จังหวัดพิษณุโลก เองก็ต้องการที่จะนำเรือนแพ ที่อยู่ในโครงการ "ตลาดน้ำสองแควเรือนแพพิษณุโลก" จำนวน 10 แพ บริเวณวัดเกาะแก้ว ต.จอมทอง อ.เมือง (อยู่ห่างจากตัวเมืองร่วม 10 กม.) ที่สร้างขึ้นมาด้วยงบฯผู้ว่าฯ ซีอีโอ ภายใต้เป้าหมายให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัด ภายใต้ข้อกล่าวอ้างที่ว่า จังหวัด/เทศบาลฯ มีโครงการเคลื่อนย้ายเรือนแพริมน้ำน่าน ในเขตเทศบาลนครพิษณุโลกขึ้นฝั่งทั้งหมด เพื่อรักษาคุณภาพน้ำน่าน - ปรับภูมิทัศน์ของเมือง แต่เกรงว่าภาพลักษณ์ของเมืองสองแคว ที่ระบุไว้ในคำขวัญ "สองฝั่งน่านล้วนเรือนแพ" จึงปั้นโปรเจกต์ "จำลองเรือนแพ 10 แพ" ขึ้นมา เช่นแพจำหน่ายสินค้าชุมชน OTOP เรือนแพนวดแผนไทย แพโฮมสเตย์ เป็นต้น
โครงการนี้นายพิพัฒน์ วงศาโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เพิ่งจะเป็นประธานเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อ 23 มีนาคม49 โดยระบุว่า ตลาดน้ำสองแควเรือนแพพิษณุโลกที่ ต.จอมทอง เป็นโครงการที่จังหวัดพิษณุโลกได้จัดสรรงบประมาณการพัฒนาของผู้ว่าฯ CEO จำนวน 5 ล้านบาท เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาความยากจน และเตรียมจัดงบฯยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด ปี 2548-2549 รวม 45 ล้านบาทในการพัฒนาสินค้าโอทอปให้ได้มาตรฐานสู่สากลโดยมีตลาดน้ำสองแควเรือนแพ เป็นตลาดรองรับการจำหน่ายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยวโดยตรง
เมื่อผ่านมาเพียงไม่กี่เดือน "ตลาดน้ำสองแควเรือนแพพิษณุโลก" ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็น เรือนแพที่ไม่มีชีวิต กลายเป็นซากเรือนแพจากงบฯ ซีอีโอริมแม่น้ำน่าน ที่ต้องหาทางจัดงบฯมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาอีก
มิพักแม่น้ำน่าน อาจจะได้รับงบฯมาละลายเพิ่มขึ้นอีกในไม่ช้า