ไพโอเนียร์เร่งเครื่องเดินหน้า ขนทัพสินค้าลุยตลาดครึ่งปีหลัง คุยนั่งแท่นผู้นำดีวีดีเรคคอร์ด มีแชร์ 35% ในตลาด มั่นใจปีหน้าเติบโต 10% หลังพบรายได้ปีนี้ อย่างเก่งโตเท่าปีก่อน หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท
นายซาโตรุ คุโรซากิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ครึ่งปีที่ผ่านมายอมรับว่าประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัญหา ราคาน้ำมัน และดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงปัญหาการเมือง ส่งผลให้เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว ซึ่งถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการทำการตลาด แต่ทั้งนี้ไพโอเนียร์ยังคงมีรายได้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม จึงได้รับผลกระทบน้อยมาก
ส่วนในครึ่งปีหลังมองว่า รายได้น่าจะเป็นไปตามเป้าหรือมากกว่าครึ่งปีแรกเล็กน้อย โดยจะมีการนำเอาสินค้ารุ่นใหม่ๆเข้ามาทำตลาดมากขึ้น โดยคาดว่าจะรับรู้การเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 10% ในปี 2550 สำหรับสินค้าใหม่ๆ จะมีการนำเอาเทคโนโลยีการใช้งานที่หลากหลายเข้ามาเป็นจุดแข็งเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าด้วย เช่น ช่องต่อสัญญาณดิจิตอล HMDI ช่องเชื่อมต่ออุปกรณ์เพลงได้หลากหลายรูปแบบ หรือ ช่อง USB และระบบกู้คืนคุณภาพเสียง
โดยสินค้าที่จะนำเข้ามาจำหน่ายนั้น ได้แก่ หมวดโฮมเธียเตอร์ ซิสเต็ม 4 รุ่น ราคาตั้งแต่ 9,990-17,990 บาท หมวดมินิ เธียเตอร์ ซิสเต็ม 3 รุ่น ราคาตั้งแต่ 10,990-16,990 บาท หมวดไมโคร ไฮไฟ ซิสเต็ม 1 รุ่น ราคา 10,990 บาท รวมทั้งหมวดจอภาพ หรือ พลาสม่าทีวีนั้น จะมีสินค้าใหม่เข้ามาในช่วงปลายปีอีกด้วย
ทั้งนี้สินค้าหมวดดีวีดี เรคคอเดอร์ นั้น ปัจจุบันไพโอเนียร์ถือเป็นผู้นำในตลาด ด้วยมาร์เก็ตแชร์ไม่ต่ำกว่า 35% ในขณะที่ปีนี้ตลาดรวมคาดว่าจะจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 12,000 เครื่อง จากเดิมปีก่อนจำหน่ายได้เพียง 6,000 เครื่อง ในขณะที่ราคาที่จำหน่ายในตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 6,900-7,900 บาทต่อเครื่อง จากเดิมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีราคาอยู่ที่ 50,000 บาทต่อเครื่อง
บริษัทฯได้จัดงบการตลาดไว้กว่า 200 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นสัดส่วนการทำตลาดให้กับสินค้าหมวดเครื่องเสียงบ้าน 60% และเครื่องเสียงติดรถยนต์ 40% ในขณะที่ช่องทางในการสร้างรายได้ มาจากช่องทางโมเดิร์นเทรด 45%
ซึ่งคาดว่าทั้งปีบริษัทฯจะมีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท
นายซาโตรุ คุโรซากิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ครึ่งปีที่ผ่านมายอมรับว่าประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัญหา ราคาน้ำมัน และดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงปัญหาการเมือง ส่งผลให้เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว ซึ่งถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการทำการตลาด แต่ทั้งนี้ไพโอเนียร์ยังคงมีรายได้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม จึงได้รับผลกระทบน้อยมาก
ส่วนในครึ่งปีหลังมองว่า รายได้น่าจะเป็นไปตามเป้าหรือมากกว่าครึ่งปีแรกเล็กน้อย โดยจะมีการนำเอาสินค้ารุ่นใหม่ๆเข้ามาทำตลาดมากขึ้น โดยคาดว่าจะรับรู้การเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 10% ในปี 2550 สำหรับสินค้าใหม่ๆ จะมีการนำเอาเทคโนโลยีการใช้งานที่หลากหลายเข้ามาเป็นจุดแข็งเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าด้วย เช่น ช่องต่อสัญญาณดิจิตอล HMDI ช่องเชื่อมต่ออุปกรณ์เพลงได้หลากหลายรูปแบบ หรือ ช่อง USB และระบบกู้คืนคุณภาพเสียง
โดยสินค้าที่จะนำเข้ามาจำหน่ายนั้น ได้แก่ หมวดโฮมเธียเตอร์ ซิสเต็ม 4 รุ่น ราคาตั้งแต่ 9,990-17,990 บาท หมวดมินิ เธียเตอร์ ซิสเต็ม 3 รุ่น ราคาตั้งแต่ 10,990-16,990 บาท หมวดไมโคร ไฮไฟ ซิสเต็ม 1 รุ่น ราคา 10,990 บาท รวมทั้งหมวดจอภาพ หรือ พลาสม่าทีวีนั้น จะมีสินค้าใหม่เข้ามาในช่วงปลายปีอีกด้วย
ทั้งนี้สินค้าหมวดดีวีดี เรคคอเดอร์ นั้น ปัจจุบันไพโอเนียร์ถือเป็นผู้นำในตลาด ด้วยมาร์เก็ตแชร์ไม่ต่ำกว่า 35% ในขณะที่ปีนี้ตลาดรวมคาดว่าจะจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 12,000 เครื่อง จากเดิมปีก่อนจำหน่ายได้เพียง 6,000 เครื่อง ในขณะที่ราคาที่จำหน่ายในตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 6,900-7,900 บาทต่อเครื่อง จากเดิมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีราคาอยู่ที่ 50,000 บาทต่อเครื่อง
บริษัทฯได้จัดงบการตลาดไว้กว่า 200 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นสัดส่วนการทำตลาดให้กับสินค้าหมวดเครื่องเสียงบ้าน 60% และเครื่องเสียงติดรถยนต์ 40% ในขณะที่ช่องทางในการสร้างรายได้ มาจากช่องทางโมเดิร์นเทรด 45%
ซึ่งคาดว่าทั้งปีบริษัทฯจะมีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท