xs
xsm
sm
md
lg

เรดาร์ "X" โค่น "L" ได้หรือ?ผิดหวังกับ พล.อ.ธรรมรักษ์

เผยแพร่:   โดย: สปาย หมายเลขหก

ในวันสถาปนาโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นการชุมนุมทุกรุ่น ทุกหลักสูตร จึงขอกล่าวในจุดนี้ว่า "หลักสูตร" ที่ว่าถึงนี้ เป็นเพราะสถาบันแห่งนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงในสิ่งที่เป็นหลักสูตรอยู่โดยตลอด เช่น หลักสูตรนายร้อยเท็ฆนิค (เขียนว่า เท็ฆนิค-มิใช่เทคนิค) หลักสูตรนายร้อยสำรอง หลักสูตรนายร้อยพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรใด ก็ถือเป็นนักเรียนนายร้อย จปร.ทั้งสิ้น

สิ่งหนึ่งที่ควรกล่าวอีกคือ ก่อนที่จะเข้าเรียนในหลักสูตรหลักของ จปร.นั้น เดิมมีการรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 6 มาเป็นนักเรียนเตรียมนายร้อยทหารบก คือเหมือนมาเรียนมัธยมปีที่ 7 และ 8 ก่อนที่จะขึ้นปีที่ 1 ของหลักสูตรหลัก โดยมีการเรียนในลักษณะนี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2484 เรียกกันว่า เตรียมทบ.รุ่น...แต่ที่ถูกต้องตามประวัตินั้น เรียกเตรียมนายร้อยทหารบกว่า "นตน." มีนักเรียนเตรียมนายร้อยทหารบกอยู่ตั้งแต่ต้นจนถึงรุ่นสุดท้ายใน พ.ศ. 2502 รวม 18 รุ่น และคำย่อว่า จปร.อันมาจากพระนามาภิไธยย่อของ พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5 นั้น เริ่มเป็น จปร. 1 เมื่อเปลี่ยนนามโรงเรียนนายร้อยทหารบกมาเป็นโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เมื่อ พ.ศ. 2492 จากการที่เปลี่ยนหลักสูตรมาใช้หลักสูตรเดียวกับโรงเรียนนายร้อยทหารบก สหรัฐอเมริกา "เวสต์ปอยท์" ซึ่งมีโรงเรียนนายร้อยทหารบก ที่ใช้หลักสูตรเดียวกันอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2510 โดยจัดตั้งโรงเรียนเตรียมทหารขึ้นมา, หลักสูตรเตรียมนายร้อยทหารบก หรือ นตน.ก็จบลง โดย จปร.รุ่น 11 ซึ่งเป็นเตรียมนายร้อยทหารบกรุ่น 18 เป็นรุ่นสุดท้าย จากนั้นก็นับตามรุ่นเตรียมทหารคือ จปร. 12 เป็นเตรียมทหารรุ่น 11 ซึ่งเป็นเตรียมนายร้อยทหารรุ่น 1

ที่ได้กล่าวมาอย่างยาวนี้ เพื่อให้เป็นความรู้อย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งคือต้องการจะแก้ไขสิ่งที่ปรากฏว่า "ผิด" เพราะพลาดจากหลายส่วน ที่ทำให้การกล่าวถึง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อฉบับที่แล้ว คือในฉบับวันศุกร์ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้กล่าวถึงว่าเป็น จปร.รุ่น 10 นตน.รุ่น 17 แต่ข้อความที่ตีพิมพ์กลายเป็น "เตรียมทหารรุ่น 17 ซึ่งที่ถูกต้องตามต้นฉบับคือ "เตรียมนักเรียนนายร้อยรุ่น 17 จึงขออภัยและขอแก้ไขให้ถูกต้องดังกล่าวนี้

วันนี้, มีเรื่องที่ต้องกล่าวถึง พล.อ.ธรรมรักษ์ ในประเด็นเกี่ยวกับที่เป็นรายงานใน "ลึก-หกสิบ ลับ-สี่สิบ" เมื่อวันศุกร์ก่อน คือเรื่องการจัดหาเรดาร์สำหรับโครงการป้องกันภัยทางอากาศ ระยะที่ 2 "อาร์แทด-เฟส 2 ของกองทัพอากาศ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพรรคไทยรักไทย โดยได้กล่าวว่า นักเรียนนายร้อย จปร.รุ่น 10 เตรียมนักเรียนนายร้อยรุ่น 17 หมายเลขประจำตัว 6529 พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คงจะได้สำแดงตนให้เป็นที่ประจักษ์ในความเป็นตัวของตัวเอง ที่จะรักษาความภาคภูมิใจไว้มิให้ "การเมือง" เข้ามาก้าวก่ายจนเสียแนวทางอันควรจะเป็น

จากการที่กองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด ได้พิจารณาเห็นชอบว่า ตามหลักยุทธศาสตร์แล้ว เรดาร์ที่จะต้องใช้สำหรับอาร์แทด-เฟส 2 นี้ เป็นเรดาร์ในระบบ "แอล" คือเป็นเรดาร์ประจำสถานีเรดาร์หลัก มีสมรรถนะทำงานสูง มีระบบความเชื่อมโยงกับสถานีเรดาร์หลักที่ดอยอินทนนท์ และเขาเขียว หรือที่อุดรธานี โดยข้อพิจารณาการเลือกแบบได้ทำกันมาอย่างสมบูรณ์แล้ว และเป็นข้อยุติว่าเป็นระบบ "แอล" แต่ได้มีการวิ่งเต้นของพ่อค้าอาวุธเข้าทางคนสำคัญของพรรคไทยรักไทย ที่อยู่ในระดับกระเป๋าของพรรค ในการที่จะขายสินค้าที่ตนเป็นเอเยนต์หรือเป็นผู้ดูแลการตลาดอยู่ ด้วยการพยายาม "พลิกกลับ" ให้มาสู่เรดาร์แบบ "เอ็กซ์" ซึ่งเป็นเรดาร์แบบเคลื่อนที่ได้ และมีพิสัยการทำงานกวาดจับตรวจตราใกล้กว่าระบบ "แอล" อันเป็นการจัดหายุทโธปกรณ์ที่ไม่ได้สนองตอบต่อยุทธศาสตร์

ในความคิดและความหวังว่า พล.อ.ธรรมรักษ์ จะเป็นตัวชนและต้านแรงส่งของพ่อค้า ซึ่งมีแรงการเมืองสนับสนุนอยู่นั้น กลับได้รับความผิดหวัง เพราะพล.อ.ธรรมรักษ์ ได้มายืนอยู่ในจุดที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

โดยกระบวนการของพ่อค้า ซึ่งได้เข้าสู้ผู้มีอำนาจในพรรคไทยรักไทยแล้ว เชื่อว่าการประสานระหว่างบุคคลกับบุคคลได้ทำกันอยู่ และรู้กันว่า "ธง" ในเรื่องนี้อยู่ ณ จุดใด?

การสนองตอบทางยุทธศาสตร์ที่ให้กำหนดมาเรียบร้อยแล้ว มีข้อยุติและมีเหตุผลซึ่งสามารถชี้แจงได้ กับการสนองตอบความต้องการของพ่อค้าอาวุธที่ไปจับมือกับทางการเมือง เป็นทางเลือกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคือ หากเลือกเอาทางยุทธศาสตร์ก็จะต้องทำตามอำนาจหน้าที่อันควรจะเป็น คือนำเรื่องการจัดหา/ความต้องการของกองทัพอากาศ ซึ่งผ่านความเห็นชอบมาจากกองบัญชาการทหารสูงสุดแล้วทั้ง 2 ขั้นตอน เข้าสู่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องที่จะเข้าคณะรัฐมนตรี ซึ่งมี พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ เป็นประธานกรรมการในฐานะเป็นรองนายกรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง ซึ่งอาจจะเชิญผู้บัญชาการทหารอากาศ หรือผู้แทนมาให้คำชี้แจงประกอบรายละเอียดที่เสนอไปก็ได้ แล้วนำเรื่องเข้าสู่ขั้นตอนของการเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีผ่านเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อจัดเป็น "วาระ" ซึ่งคณะรัฐมนตรีจะพิจารณาไปตามความเห็นประกอบของเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งอาจจะมีการเชิญผู้บัญชาการทหารอากาศ หรือผู้แทนเข้าชี้แจงกับคณะรัฐมนตรีโดยตรง นั่นเป็นขั้นตอนของการเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นผู้อนุมัติการจัดซื้อจัดหา ซึ่งมีความสำคัญอยู่ตรงเรื่องเงินงบประมาณ เพราะเป็นการใช้งบประมาณผูกพันข้ามปี

แต่ถ้าหากว่าไม่ได้สนองตอบดังกล่าวข้างต้น ก็มีวิธีการอีกหลายอย่างที่จะทำกันได้ เช่น เมื่อเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ อาจจะไม่ผ่านตรงจุดนี้ โดยให้มีการทบทวนกันใหม่, การจัดเข้าวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะการนำเข้าวาระนั้น จะต้องมีการผ่านบุคคลที่ดูแลเรื่องจะเข้าวาระ ทั้งที่เป็นข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมือง หรือแม้แต่ผู้ไม่มีหน้าที่ทางการเมือง แต่มีหน้าที่อยู่ใน "พรรค" เรื่องนี้มีด่านอยู่หลายด่าน มีประตูอยู่หลายประตูที่จะต้องไขด้วยกุญแจทอง กุญแจเงิน

หรืออาจจะไปติดขัดอยู่ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงบประมาณ แต่การจัดโครงการเช่นนี้ จะต้องมีการหารือ ประสานงานกับทางสำนักงบประมาณมาอย่างใกล้ชิด มีการจัดตั้งงบประมาณไว้แล้ว มิใช่จะมาพิจารณาเรื่องตัวเงินงบประมาณกันภายหลัง และทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็เช่นเดียวกัน ที่มีการประสานกันไว้ตามระเบียบและขั้นตอนแล้วว่า การจัดหาตามยุทธศาสตร์เช่นนี้ เป็นการสนองตอบยุทธศาสตร์ที่วางไว้ได้ และมีความเหมาะสมต่อการรักษาความมั่นคง มิใช่จัดหาจนเกินกรอบ หรือสนองยุทธศาสตร์เกินความจำเป็น หรือการสั่งสมอาวุธจนเกินความพอดีต่อความมั่นคงปลอดภัยของชาติ ในยุทธศาสตร์เชิงรับ มิให้จัดหายุทโธปกรณ์ทางทหารในเชิงรุก

ผิดหวังมาก ที่กระบวนการมิได้เคลื่อนออกจากสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการรับลูกและดำเนินการในทันที ทั้งๆ ที่ไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ เพราะกองทัพอากาศกับสำนักงบประมาณ ได้ทำความตกลงกันไว้เรียบร้อยและลงตัวแล้ว ในการจัดงบประมาณสนับสนุนแต่ละปี อีกทั้งเป็นยุทโธปกรณ์ที่จะต้องมีการจัดหามาประจำการอย่างต่อเนื่องให้ประเทศไทยมีเรดาร์เตือนภัยทางอากาศรอบประเทศ ซึ่งแม้แต่ผู้ไม่มีความรู้ทางทหาร ก็ยังเห็นความสำคัญของเรดาร์นี้ว่ามีความสำคัญระดับใด มีความจำเป็นแค่ไหน? แต่ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลของพรรคไทยรักไทยกลับทำให้ผิดหวัง คือไม่ได้ดำเนินการต่อให้สมบูรณ์

นอกจากจะไม่ดำเนินการต่อแล้ว ยังทำเสมือนเป็นการ "หยุด" หรือ "เก็บ" โครงการนี้ไว้

หรือจะเป็นการ "ล้ม" ระบบที่มีการเลือกกันแล้ว คือระบบ "แอล" ให้เป็นอย่างอื่นคือ ระบบ "เอ็กซ์" แต่จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่จะหยุด-เก็บ-หรือล้ม ก็ต้องพิจารณาตามสิ่งที่เกิดขึ้น


ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า พ่อค้าอาวุธผู้พลาดเป้าหมายการขายได้เข้าพึ่งบารมีของพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นกระเป๋าใบใหญ่ของพรรค และการที่คนใหญ่ในพรรค จะสั่งตรงเป็นลายลักษณ์อักษรก็ไม่ได้ นอกจากจะมีการส่งสัญญาณต่อกันระหว่างทางพรรคกับกลาโหมว่า "ธง" หรือเป้าหมายคืออะไร? สิ่งที่จะทำให้มีการพลิกกับได้ ต้องเริ่มที่การมีหนังสือร้องเรียนกับทางกลาโหม และสิ่งที่จะร้องเรียนได้ มีเหตุผลอยู่เพียงประการเดียว คือการบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาจากกองทัพอากาศ และกองบัญชาการทหารสูงสุดว่า "สินค้า" ที่ตนได้เสนอไปนั้นเป็นของดีกว่า เหมาะสมกว่า และอาจจะหยิบเรื่อง "ราคา" มาเป็นข้อร้องเรียนได้

การร้องเรียนนี้ เท่ากับเป็นการพลิกยุทธศาสตร์เลยทีเดียว เพราะเป็นการร้องเรียนจากทางฝ่ายที่เสนอการขายระบบ "เอ็กซ์" ให้กองทัพอากาศพิจารณา มิใช่เป็นการต่อสู้กันระหว่างตัวแทนกับตัวแทนของเรดาร์หรือสินค้าที่เป็นระบบ "แอล" ด้วยกัน เหมือนกับผู้ซื้อต้องการรถบรรทุก 10 ล้อ และตกลงเลือกแบบได้ยี่ห้อมาแล้ว แต่มีตัวแทนของรถยนต์ 8 ล้อหรือ 6 ล้อ มาบอกว่า จะซื้อรถ 10 ล้อไปทำไม-ซื้อแค่ 8 ล้อหรือ 6 ล้อก็พอแล้ว

การร้องเรียนมีวาระว่า ระบบ "เอ็กซ์" ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกองทัพอากาศ ไม่ได้รับการพิจารณาเรดาร์ระบบนี้ โดยกองทัพอากาศเลือกพิจารณาแต่รถ 10 ล้อหรือระบบ "แอล" เพียงระบบเดียว โดยยกตัวอย่างว่า เรดาร์ระบบ "เอ็กซ์" ก็เคยมีการจัดหามาแล้ว มีประจำการอยู่ในกองทัพอากาศ โดยกองทัพอากาศได้จัดหาเข้ามาเป็นระบบเสริมหรือถ่ายทอด มิใช่เป็นระบบหลักที่จะต้องใช้ระบบ "แอล" เท่านั้น ในการสนองตอบทางยุทธศาสตร์ได้ตามเป้าหมาย แต่ก็ถูกยกมาเป็นข้อร้องเรียน และสอดประสานกับทางพรรคการเมือง เพื่อจะล้มระบบ "แอล" ให้ได้

จากการมีผู้ร้องเรียน ซึ่งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งของการที่จะให้เรื่องดำเนินได้ต่อไป โดยมีเอกสารรองรับหรือเป็น "ต้นเรื่อง" ให้สามารถสั่งการหรือรับลูกต่อได้

กระทรวงกลาโหมได้มีหนังสือถึง พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขอให้มีการพิจารณาทบทวนเรื่องการจัดหาเรดาร์สำหรับโครงการอาร์แทด-เฟส 2 เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนมาว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการจัดหาดังกล่าว


แม้ว่าจะมีสาระเพียงสั้นๆ ดังกล่าว ก็เท่ากับว่า การจัดหาเรดาร์ของกองทัพอากาศนั้นต้อง "หยุด" คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะไม่นำเรื่องเดินหน้าต่อให้ถึงการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลดังกล่าว และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต้องแจ้งให้ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ ทราบเรื่องว่า ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีบัญชามาอย่างไร

อีกทั้งมองไว้ล่วงหน้าได้ว่า ทางกองทัพอากาศจะต้องเรียนยืนยันชี้แจงด้วยเหตุผลต่อการพิจารณาเลือกเรดาร์ ว่าเหตุใดจึงพิจารณาระบบ "แอล" มิได้เลือกระบบ "เอ็กซ์" ตามที่มีผู้ร้องเรียนมา โดยกองทัพอากาศจะต้องยืนยันกลับมาทางกองบัญชาการทหารสูงสุด เพื่อต่อไปยังกระทรวงกลาโหม คงจะไม่มีการตั้งต้น หรือเริ่มต้นการพิจารณาใหม่ เพราะว่าทุกอย่างเป็นไปตามเกณฑ์และยุทธศาสตร์ที่มีความต่อเนื่องกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรยากาศจะเรียกว่าเป็นความขัดข้องหรือขัดแย้งก็ได้ ระหว่างผู้บัญชาการเหล่าทัพกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรืออาจจะลดดีกรีลงมาว่า เป็นเพียงการทำตามหน้าที่ เมื่อมีการร้องเรียนขอความเป็นธรรมมา ก็ต้องขอให้พิจารณาให้ความเป็นธรรม แต่เมื่อทางกองทัพอากาศ และกองบัญชาการทหารสูงสุดยืนยันด้วยเหตุผลมาว่า ความจำเป็นและเรื่องราวดำเนินไปอย่างไร เรื่องก็จะจบลงเพียงนั้น แต่ถ้าหากว่า มีการยืนยันกลับมาแล้ว แต่เรื่องยังไม่จบ ยังมีการดำเนินการในลักษณะอื่นๆ ต่อไปอีก นั่นแหละจึงจะเรียกว่าเป็นความขัดแย้ง และจะนำไปสู่การวิพากษ์ว่าใครผิดใครถูก เรื่องราวเป็นมาอย่างไร ที่ทางพรรคไทยรักไทยได้ "หยุด" เรื่องนี้ไว้ และเมื่อหยุดไว้แล้ว ก็จะดำเนินการพลิกกลับ โดยมีเป้าหมายให้ระบบ "เอ็กซ์" เข้ามาแทนระบบ "แอล" ให้ได้ โดยรายงาน "ลึก-หกสิบ, ลับ-สี่สิบ" นี้ จะมีรายงานให้ทราบกันต่อไปว่า ได้เกิดอะไรขึ้นและจะมีอะไรตามมา และจะได้รู้กันว่า การเมืองนั้นจะพลิกยุทธศาสตร์ของชาติได้หรือไม่?

สำหรับคำย่อ "อาร์แทด" นั้น คือ RTAD มาจากคำว่า Royal Thai Air Force Defence

สิ่งนี้, นอกจากจะเป็นการสนองตอบต่อคำสั่งของผู้มีอำนาจในพรรค ซึ่งแน่นอนว่าการพูดจากันในการพลิกยุทธศาสตร์นี้ จะต้องไม่พูดปากเปล่า หรือเป็นภาษาธรรมดา เช่น การสนทนา...แต่จะต้องเป็น "ตัวเลข" ออกมา ซึ่งก็เท่ากับว่า การซื้อขายและผลประโยชน์ร่วมกันของคนในพรรคและพ่อค้า เป็นการซื้อได้ทั้งหมด คือการซื้อยุทธศาสตร์ทางทหาร ซื้อกระบวนการตัดสินใจหลังจากการพิจารณาของฝ่ายทหารที่ได้ข้อยุติแล้ว และที่สำคัญคือการซื้อต่อเกียรติยศ และเกียรติศักดิ์ ซึ่ง 2 อย่างนี้ ไม่ควรจะเป็นสิ่งที่มีขายหรือซื้อหาได้

อีกทั้งผลที่จะตามมาคือ ภาพของความขัดแย้งกันอีกครั้งหนึ่งในกลุ่มทหาร เพราะตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นทหาร เป็นภาพของความขัดแย้งหรือเห็นไม่ตรงกัน ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกับกองบัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารอากาศ ซึ่งจะหลีกหนีจากจุดนี้ไปไม่ได้ เพราะทางกองบัญชาการทหารสูงสุด และกองทัพอากาศ ก็จะต้องยืนยัน ถึงการตัดสินใจจากข้อพิจารณาที่มาจากคณะกรรมการหลายชุด เป็นการยืนยันกลับมาทางกองบัญชาการทหารสูงสุด และถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า ทอ.ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ และยืนยันว่าระบบเรดาร์หลักต้องเป็น "แอล" มิใช่ "เอ็กซ์" ซึ่งไม่เหมาะสมกับภารกิจ

เมื่อมีการยืนยันกลับมาแล้ว ต้องรอดูว่า ทางพรรคไทยรักไทยจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งมีอยู่หลายวิธีที่จะขัดขวางหรือล้มการจัดหาครั้งนี้เสีย เพราะเป็นการจัดหาที่ตรงตามยุทธศาสตร์ แต่ไม่ตรงตามความต้องการของพ่อค้าอาวุธที่เข้ามาพึ่งบารมีทางการเมือง เพื่อให้อำนาจและบารมีทางการเมืองสั่ง "ทหาร" ให้กลับหลังหันดังกล่าว

กำลังโหลดความคิดเห็น