xs
xsm
sm
md
lg

ความโง่เขลามีคนใช้กันมาแล้วไม่สำเร็จ (1)

เผยแพร่:   โดย: ยอดธง ทับทิวไม้

ใครก็ตามที่ผ่านยุคสมัยต่างๆ ทางการเมืองภายในประเทศมานานพอสมควร วันหนึ่งเขาจะพูดได้เต็มปากว่า "พอกันที มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก"

ผู้นำทางการเมืองไทยท่านหนึ่งอธิบายให้ผมฟังว่า "นักการเมืองไทยมันโง่บัดซบทั้งนั้น คุณจะมีโอกาสทำได้อย่างเดียวถ้าคุณต้องการจะทำคือการคอร์รัปชันอย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง มันเป็นเรื่องของความโง่เขลาและสกปรกทั้งนั้นที่ใครจะหนีมันไม่พ้น"

การเป็นคนเขียนหนังสือหรือที่เรียกกันว่านักเขียนที่เขียนทุกอย่างแม้แต่ตำราและสารคดีเกี่ยวกับการเมือง ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ถึงแม้ว่าบางเรื่องไม่อยากจะเขียนก็ต้องเขียนเพราะเป็นเรื่องที่เรารู้มาจากการพบปะพูดคุย มักจะมีเรื่องราวแปลกๆ ที่ไม่มีใครมีโอกาสรู้เห็นที่ไหนนอกจากในวงการเมืองและนักการเมือง

และการที่รู้มากนั่นเอง ยิ่งเขียนก็ยิ่งไม่มีวันจบ และการเมืองเฉพาะของไทยจะไม่ไปไหน นอกจากวนไปวนมาตามวงจรของมันคือ (1) การโกหกพกลม (2) การหลอกลวงหรือการพูดพล่อยๆในเรื่องที่ตนเองไม่รู้และอวดว่ารู้ (3)โลภโมโทสัน (4) กระหายอำนาจแสวงหาอำนาจ (5) การหลงอำนาจ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยแต่ก็มีคนลืมตัวมากพอที่จะหลงมัน (6) กระเหี้ยนกระหือรืออย่างหนักในการคอร์รัปชันทั้งตัวเองและผู้อื่นซึ่งจะพรั่งพร้อมด้วยมิตรสหาย (7) ลูกเมียวงศ์ตระกูลโคจรไปกินบ้านกินเมือง และขายบ้านขายเมืองด้วยกันทั้งหมดที่ เห็นกันอยู่ทุกวันนี้เป็นวัฒนธรรมธรรมดาที่มีอยู่ในสันดานของนักการเมืองส่วนมากของไทยมาตลอดเวลาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยเราเริ่มเมื่อเดือนมิถุนายน 2475 โดยนักปฏิวัติ 2กลุ่ม กลุ่มหนึ่งต้องการอำนาจอิทธิพลแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งจะเป็นพวกทหารที่จบการศึกษาจากเมืองนอก เฉพาะอย่างยิ่งจากฝรั่งเศส

กลุ่มที่สองเป็นพวกนักศึกษาพลเรือนที่มีความรู้ และได้รับการศึกษาทางการเมืองค่อนข้างจะมาก เฉพาะผู้อาวุโสในกลุ่มที่ต้องการปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อสร้างบ้านสร้างเมือง

เพราะอุดมการณ์ที่ต่างกันดังกล่าวนั้นทำให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างหนัก โดยฝ่ายนักการเมืองพลเรือนต้องยอมพ่ายแพ้และเข้าคุกไปอยู่ที่ตะรุเตากันเป็นสิบปี ก็สามารถปลดปล่อยตัวเองออกมาเพื่อต่อสู้ทำลายกัน

แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครประสบความสำเร็จ บางคนที่เชื่อกันมามีอำนาจเต็มแผ่นดินที่สามารถบังคับประชาชนให้เลิกนุ่งผ้าโจงกระเบน ห้ามกินหมากได้สำเร็จมาจนกระทั่งคนไทยไม่รู้จักสองสิ่งนี้มาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกาที่ต้องการยึดครองดินแดนในตะวันออกไกลทั้งหมดเป็นเมืองขึ้น เพราะฉะนั้นนักการเมืองไทยและประเทศไทยจึงสนับสนุนอเมริกาเข้ามาครองประเทศไทยอยู่ในสงครามอินโดจีนตลอดมาเช่นเดียวกับทุกวันนี้

ส่วนทางด้านพลเรือนซึ่งมีแต่ปากกาและความคิด ไม่มีปืนก็ต้องหนีออกไปอยู่ในประเทศจีนและไปต่อที่ฝรั่งเศสจนตายที่นั่น พร้อมกับสั่งไว้ว่า "อย่าได้นำกระดูกของท่านกลับมาเมืองไทยเป็นอันขาด"

สมัยนั้นผมเพิ่งเกิดมาในบ้านนอก ไม่รู้ภาษาอะไรมากนักว่าบ้านเมืองมันคืออะไร ใครทำอะไรที่ไหนก็ให้มันทำกันไป ที่เราเกิดและเติบโตขึ้นมานั้น มีแต่ท้องทุ่งกว้าง ป่าไม้สุดลูกหูลูกตา เช่นเดียวกับห้วยหนองคลองบึงก็เจิ่งไปด้วยผิวน้ำที่ราบเรียบไม่มีอะไรที่จะต้องคิดหรือต้องสนใจ จนกระทั่งต้องมาเรียนหนังสือซึ่งไม่ได้อะไรเลยนอกจากเอาสระและพยัญชนะมาเรียงกันแล้วก็ออกเสียงให้ถูกเท่านั้น

และเมื่ออ่านแบบเรียนเร็วเล่ม 1 เล่ม 2 จบพอที่จะมีความสามารถในการอ่านหนังสือนิทานอีสปได้บ้างก็เป็นอันว่าเก่งมากแล้ว จดจำเอาไว้ในเวลาออกไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายในทุ่งอย่าให้มันลืมเสีย และก็ไม่ต้องไปอ่านหนังสืออะไรอีก เพราะหนังสือนอกเหนือจากนั้นจะไม่มีอยู่ตามโรงเรียนต่างๆ เพราะแม้แต่ครูใหญ่หรือครูประจำชั้นของทุกคนยังไม่เคยรู้ว่าในเรื่องนั้นมีอะไรบ้างที่จะต้องอ่านต้องทำความเข้าใจ เราเรียนกันเพียงให้ขานนาคก่อนที่จะบวช เมื่ออายุ 20 ปีอันเป็นอายุที่จะครบบวชเท่านั้น

เมืองไทยที่กำลังพินาศอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนทุกวันนี้ จะต้องยอมรับกันว่าเราเป็นประเทศคอร์รัปชันที่หนักหนาสาหัส และทุกคนก็ต้องยอมรับ ผมเองก็ยิ่งเชื่อมากเพราะชีวิตได้ผ่านประสบการณ์มาเป็นเวลานานปี

เหมือนอย่างทุกวันนี้ ผู้มีบุญประเภทเดียวกันวางแผนที่จะรวบรัดมัดสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ในกำมือของตัวเองและครอบครัวเสียก่อนที่จะเป็นประธานาธิบดีเสียเอง และปกครองประเทศในฐานะที่เป็นสมบัติของตนตลอดไป ค่อยๆ ตัดทอนอำนาจวาสนาบารมีพระมหากษัตริย์ลงเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ไปให้ได้ โดยที่ตนเองและครอบครัวของตนจะขึ้นครองตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งก็กำลังวิ่งหัวซุกหัวซุนหาทางอยู่ โดยไม่มีใครจะรู้ล่วงหน้าว่าต้องไปตายในประเทศไหนอย่างที่บิดรผู้แสวงหาความเท่าเทียมกับพระมหากษัตริย์ของชาติของประชาชนซึ่งบาปกรรมได้ลงโทษให้แสบทรวงกันมาแล้ว

ซึ่งมันก็เป็นเรื่องโง่เขลา ทั้งที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว เป็นตัวอย่างของความสกปรกที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่บรรดาสุนัขฝูงใหม่ก็ไม่เคยคำนึงถึงนอกจากคิดตลอดเวลาว่า "กูใหญ่ว่ะ" ก็ต้องพยายามดื้อด้านต่อไป

เป็นที่น่าสังเกตว่า วัฒนธรรมทางการเมืองของนักการเมืองไทยเกือบทุกรายที่มีอำนาจขึ้นมาไม่ว่าจะโดยการปฏิวัติรัฐประหาร จะมีที่เด่นชัดแน่นอนอยู่อย่างเดียวคือต้องการรวบอำนาจทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านเมืองเอาไว้เป็นของตนเอง แม้ว่าจะทำสำเร็จไม่ได้แม้แต่นิดเดียวก็พยายามทำกัน

และก็จะทำกันต่อไป

โดยใช้วิธีการนำเครื่องมือและโอกาสทางการเมืองสกปรกของตนเป็นเครื่องมือ

โดยอาศัยการวางแผนให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคม ซึ่งไม่รู้ว่าจะทำกันทันหรือไม่ แต่ก็พยายามให้มันทันด้วยเครื่องมือคอร์รัปชันที่ตนใช้อยู่เป็นประจำ และด้วยความสำเร็จตามความต้องการนี้จะทำให้พวกเขาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ซึ่งเป็นรัฐบาลที่จะนำเขาไปเป็นประธานาธิบดีได้อย่างชะงัด แม้ว่านอกจากประชาชน 19 ล้านเสียงสนับสนุนอยู่แล้ว การเลือกตั้งนี้จะเพิ่มเงินสินบนในการซื้อเสียงทั่วประเทศเพิ่มขึ้นจากเงินกองทุนต่างๆ ที่อมไว้เรียบร้อยแล้วเพิ่มขึ้นอีก 50,000 ล้านบาทที่เตรียมไว้พร้อมแล้วจึงไม่จำเป็นจะต้องวิตกอะไรที่ทุกอย่างจะไม่ผ่านไปตามแผนการยึดครองเมือง และใช้ระบบการปกครองแบบสาธารณรัฐ สลายอำนาจพระมหากษัตริย์ให้กลายเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น ทุกอย่างก็จะวางแผนปล้น และงาบกันอย่างถล่มทลายไม่มียั้งกันทีเดียว

ความหวังทุกอย่างที่กำลังหลับหูหลับตาทำลงไปด้วยความฝันอันบรรเจิดนั้น ไม่มีอะไรที่จะสำเร็จได้ นอกจากการคอร์รัปชันทุกรูปแบบซึ่งพวกตนเป็นนักคอร์รัปชันที่มีความเจนจัดเท่านั้น การปล้นบ้านปล้นเมืองอย่างที่ทำกันมาแล้วเป็นข้อพิสูจน์ว่าเมืองไทยนั้นจะเป็นตัวอย่างอันน่าระทึกใจอย่างไม่มีปัญหาในด้านการคอร์รัปชัน นอกจากเราจะมีการคอร์รัปชันเป็นอาชีพของนักการเมืองระดับสูงของประเทศ และประเทศไทยก็เป็นประเทศที่พร้อมทุกประการสำหรับการคอร์รัปชันด้วย การนำของนักคอร์รัปชันที่เป็นทั้งนักการเมือง ประชาชน และงบประมาณหลอกที่จัดตั้งขึ้น

70 ปีที่พยายามลากประชาธิปไตยออกมาใช้ ไม่ว่าเราจะพยายามปลุกปล้ำต่อสู้ และทุ่มเทขนาดไหนก็ตาม มาเป็นหลักยึดแล้วก็พยายามหลับหูหลับตากันออกไปว่ามันแสนวิเศษอย่างยิ่ง เพราะการคอร์รัปชันที่ครบรูปแบบรวมไปถึงการขายชาติอย่างที่เรากระทำอยู่นี้ ทำให้ชาติไทยของเราประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการใช้การเมืองเป็นเครื่องมือทำมาหากินของโจรสลัดทางการเมืองทุกรุ่น

ประเทศประชาธิปไตยส่วนมากในโลกนี้พากันล้มลุกคลุกคลาน และฉิบหายกันไปไม่หยุดนั้น ส่วนมากเกิดจากประชาธิปไตยที่เริ่มต้นอุดมการณ์ด้วยการคอร์รัปชันทั้งสิ้น เฉพาะในประเทศไทยเราได้ใช้การคอร์รัปชันทุกประเทศมาดำเนินการเริ่มตั้งแต่การตั้งพรรคการเมือง การหาเสียงเลือกตั้ง และการกำหนดนโยบายการเลือกตั้งด้วยการคอร์รัปชันอย่างถี่ยิบทุกระยะแล้ว หลักเกณฑ์ประการแรกที่เราจะต้องยึดถือคือเราจะต้องกระทำตามหลักเกณฑ์ข้อที่ 1 และ 2 ที่ว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนจะต้องรู้จักใช้วิธีการที่กล่าวมาแล้วเบื้องต้นคือ จะต้องมีความเชี่ยวชาญในการใช้ความหน้าด้านหลอกลวงว่าจะแจกทุกอย่างที่กำลังนำมาโกหกกันที่ภาคอีสานในขณะนี้ซึ่งจะไม่มีวันทำได้ เพราะที่ดินที่ประชาชนเป็นหนี้เป็นสินนับสิบๆ ปีมาแล้วจะถูกธนาคารต่างๆ ยึดที่ โกหกประชาชนมาครั้งแล้วครั้งเล่านั้น แม้แต่ประชาชนทั้งประเทศยกขบวนมาล้อมกระทรวงเกษตรฯ อยู่ แต่ปรากฏว่าผู้รับผิดชอบไปมั่วอยู่ในการตรวจราชการในภาคอีสานสบายเฉิบ

การเมืองที่ใช้คอร์รัปชันเป็นเครื่องมือนั้น มันจะไม่มีวันทำอะไรสำเร็จเป็นอันขาด

มีแต่ตายหรือไม่ก็ลงนรกกันไปแล้วทุกราย!
กำลังโหลดความคิดเห็น