xs
xsm
sm
md
lg

ดับเครื่องชนทักษิณ ตอนพักยก

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมเขียนเรื่องดับเครื่องชนทักษิณเกือบเสร็จบริบูรณ์แล้ว เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสยิ่ง เพราะคล้ายๆ จะเป็นการจับทักษิณขึ้นศาลอาชญากรการเมือง ศาลประเภทนี้เมืองไทยยังมิได้ตั้ง ยังไม่มีในรัฐธรรมนูญ และอาจจะไม่จำเป็นที่จะตั้ง เพราะเป็นศาลประชาชนที่มีอยู่แล้วตามหลักกฎหมายธรรมชาติ และทฤษฎีสัญญาประชาคม

ดับเครื่องชนทักษิณ3 บทสุดท้าย ครอบคลุมเรื่องความผิดพลาดของทักษิโณมิกส์และผลเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศ ความผิดพลาดด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคง และผลกระทบต่อความสงบปลอดภัยของประเทศและประชาชน ความผิดพลาดด้านการเมืองและรัฐสภา ทำให้เกิดความเสียหายต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ผมได้ส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาช่วยวิจารณ์ ต่อเติม ติติงและคัดค้าน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทักษิณและท่านผู้อ่านอย่างเต็มที่ จึงต้องขอผัดเวลาการตีพิมพ์ออกไปเล็กน้อย ท่านผู้อ่านที่ประสงค์จะมีส่วนร่วม โปรดเขียนมา

พฤติกรรมของทักษิณในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 การออกและการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ โดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมายและความชำรุดขององค์กรตรวจสอบ สร้างวิกฤตและปัญหาให้บ้านเมืองต่อไปอีก

ความเสียหายเหล่านี้ร้ายแรงขึ้นเป็นทวีตรีคูณ เมื่อทักษิณยืนยันว่าตนไม่เคยทำอะไรผิด ไม่ยอมร่วมมือและครอบงำการตรวจสอบทุกประเภทของทุกองค์การ ได้แก่ สื่อ รัฐสภา และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ แล้วกระทำการต่อสู้กับด้วย “สงครามข้อมูลและข่าวลือ” พร้อมทั้ง “การปลุกระดมมวลชน” เพื่อแสดงอำนาจคุกตามฝ่ายที่ต่อต้านที่กระทำการโดยสงบ ไม่เว้นแม้กระทั่งศาลที่ในหลวงทรงขอร้องให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ซ้ำยังกล่าวพาดพิงโดยปราศจากความเคารพถึง “บุคคลที่ดูเหมือนจะมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกฎหมายและภาษาไทยเห็นว่าน่าจะหมายถึงพระเจ้าอยู่หัว ทักษิณก็ไม่ยอมแสดงความกระจ่าง กลับทำเป็นเล่นลิ้น และปลุกระดมมวลชนมาสนับสนุนตนเองด้วยวิธีการที่มิชอบยิ่งขึ้น

ทักษิณจึงหมดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศชาติต่อไป

ทักษิณอ้างว่า ข้อกล่าวหาทุกอย่างจะตอบได้ด้วยการเลือกตั้ง ถ้าหากประชาชนยังเลือกพรรคไทยลักไทยเข้ามาอีก ก็แสดงว่าทักษิณไม่มีความผิด

ศาลอาญาที่สั่งจำคุก กกต.ฐานช่วยเหลือพรรคไทยรักไทยทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม เป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขก็ดี และศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 2 เมษายน 2549 มิชอบด้วยกฎหมายก็ดี ย่อมแสดงให้เห็นว่า พรรคไทยรักไทยและทักษิณย่อมมีส่วนในการบงการ วางแผน สมคบหรือจ้างวานให้ กกต.กระทำผิดกฎหมาย

ดังนั้น ทักษิณกับพรรคไทยรักไทยจึงอยู่ในข่ายที่จะต้องรับโทษด้วย เมื่อมีการฟ้องร้องให้ศาลพิจารณาในอันดับต่อไป

การที่ทักษิณจะอ้างเอาการเลือกตั้งมาบังหน้า เพื่อรักษาประชาธิปไตยจึงฟังไม่ขึ้นเช่นเดียว กับคราวที่แล้ว

ถ้าหากพิจารณาให้ดีถึงพระราชปรารภที่แนบมากับพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 ซึ่งมี 2 ประการคือ

(1) เพื่อทำให้ประเทศกลับคืนสู่ความสงบ และ

(2) เพื่อให้การดำเนินการเลือกตั้งมีความเรียบร้อยและสุจริต เที่ยงธรรม

นั่นก็คือเงื่อนไขที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัววางไว้ ซึ่งตรงกับความปรารถนาของบรรดาประชาชนที่พากันคัดค้านขับไล่ทักษิณ ด้วยเห็นว่า ทักษิณคนเดียวเท่านั้นที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความไม่สงบและทำลายความสุจริตเที่ยงธรรม การที่ทักษิณเร่งเร้าการเลือกตั้งโดยยกเอาประชาธิปไตย ก็เป็นข้ออ้างอีกครั้งเพื่อกลับเข้าไปคุมอำนาจเบ็ดเสร็จกลบเกลื่อนความผิดของตนต่อไป

เพราะฉะนั้นตราบใดที่เงื่อนไขข้างต้นยังไม่บรรลุเพราะมีทักษิณเป็นต้นเหตุ ตราบนั้น เงื่อนเวลาการเลือกตั้งวันที่ 15 ตุลาคม 2549 ก็ย่อมจะต้องเลื่อนออกไป

ทักษิณพยายามป้ายผิดให้กับพันธมิตรฯ และบรรดาบุคคลชั้นนำทุกกลุ่มอาชีพ ผู้นำสตรี ผู้มีฐานันดร และแม้กระทั่ง “บุคคลผู้มีบารมี” ว่าเป็นผู้ขัดขวางกติกา ทำลายการเลือกตั้ง และประชาธิปไตย โดยใช้กลยุทธ์นอกรัฐธรรมนูญ

ทักษิณไม่บังควรเลยที่แร่ไปฟ้องประเทศตนเองกับประธานาธิบดีบุชแห่งสหรัฐอเมริกา และก็ต้องหน้าหงายกลับมาเมื่อท่านประธานาธิบดีเองมองว่าสิ่งที่ทักษิณกล่าวหานั่นแหละคือสัญญาณแห่งความเข้มแข็งทางประชาธิปไตยของประชาชนไทย หนังสือพิมพ์ที่มีอิทธิพลที่สุดในโลกคือนิวยอร์กไทยก็ตีพิมพ์สรรเสริญพันธมิตรฯ และขบวนการต่อต้านทักษิณว่ามีความเป็นเลิศในจรรยาบรรณ อวิหิงสาและความเป็น ประชาธิปไตยล้ำหน้าว่าประเทศใดๆ ในโลก

แล้วใครเล่าที่ทำลายประชาธิปไตย

จะมีใครเสียอีก นอกจากทักษิณคนเดียว

ทักษิณมีพฤติกรรมแบบ “ว่าแต่เขา-อิเหนาเป็นเอง” เสมอๆ เช่น กล่าวหาว่าผู้อื่นไม่เคารพกติกา ไม่เป็นประชาธิปไตย ในขณะที่ตนเองทำลายกติกาที่เป็นประชาธิปไตยอยู่บ่อยๆ ครั้งหนึ่ง ก็กล่าวว่านักธุรกิจไม่สมควรไปเปิดบริษัทที่เกาะบริติช เวอร์จิน เพราะเป็นการกระทำที่ไม่รักชาติ แต่ตัวเองนั่นแหละที่ไปเปิดบริษัทรวยฉิบหาย (Ample Rich) ที่นั่นดั่งนี้ เป็นต้น

ผมเคยเรียกยุทธการสร้างกระแสความเชื่อและกลบเกลื่อนความผิดของทักษิณกับไทยลักไทยว่า “โกหก-ปกปิด-บิดเบือน” และการสร้างข่าวลือแบบเอาความดีใส่ตัว-ป้ายความชั่วให้ผู้อื่น ผมทึ่งในความสามารถและความสำเร็จของยุทธการดังกล่าวมาก หรือเป็นเพราะว่าคนไทยเชื่อง่าย คิดไม่เป็น เข้าข้างกันโดยไม่มีเหตุผล

ทักษิณโทษผู้อื่นว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่รักษากติกา พล่อยไปหมด แม้นถ่มน้ำลายรดฟ้าก็ไม่กลัว ที่แท้ตัวเองไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่รักษากติกาเห็นได้ชัดๆ แต่ชาวบ้านถูกปิดหูปิดตา

ความไม่เป็นประชาธิปไตยนี้ ตามธรรมดาทุกคนรู้และเข้าใจได้ง่าย ว่าอะไรก็ตามที่เป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่เอาแต่ใจตัว เห็นแต่ความสะดวกหรือผลประโยชน์ของตนเป็นใหญ่ ย่อมไม่เป็นประชาธิปไตย ส่วนความเป็นประชาธิปไตยนั้นดูยากกว่า หากไปดูแต่ว่ามีรัฐธรรมนูญหรือไม่ มีการเลือกตั้งหรือไม่ ก็จะผิดพลาด เพราะในระบอบเผด็จการและระบอบคอมมิวนิสต์ก็ล้วนแล้วแต่มีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งด้วยกันทั้งสิ้น เราจึงต้องดูให้ทะลุลงไปอีกว่า ประชาธิปไตยต้องประกอบด้วยองค์สาม คือ (1)เป็นระบอบการเมืองที่เทิดทูนเสรีภาพ สาธารณประโยชน์และความเป็นธรรมในสังคม (2)เป็นวิถีชีวิต วิถีปฏิบัติและความเป็นอยู่ประจำวันของบุคคลทุกหมู่เหล่ารวมทั้งข้าราชการและนักการเมือง กระทำกันอยู่จนชินเป็นธรรมเนียม แหกคอกแหกโค้งได้ยาก โดยยึดถือหลักและเข้าหลักในข้อ (1) และข้อ (3) และข้อสุดท้าย (3) คือความเชื่อ อุดมคติและอุดมการณ์ของประชาชนและบุคคลในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ความรักและความเท่าเทียมกันในค่าของชีวิตคนและสิทธิที่จะแสวงหาความสุข ความปลอดภัย

สรุปว่า เพียงแต่ยึดถือการเลือกตั้งเท่านั้นยังไม่พอที่จะอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยหากองค์ประกอบต่างๆ ในองค์ทั้งสามขาดตกบกพร่องไปในทางตรงกันข้ามกับความเป็นประชาธิปไตย

ทักษิณกับคณะมีความชาญฉลาดในการบิดเบือนประชาธิปไตยดังที่ผมเคยได้เขียนมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง การใช้จิตวิทยามวลชนง่ายๆ กับหมู่คนที่ยากจนหวังพึ่งและขาดข้อมูล การเสนอเหตุผลที่ดูเสมือนจะเป็นความจริง ทั้งๆ ที่เป็นความเท็จ ทำให้ประสบกับความสำเร็จอย่างกว้างขวาง อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งถึงกับปรารภกับผมว่า นี่หรือจะมิใช่ขบวนการผีบุญยุคดิจิตอล

ผมจะยกตัวอย่างการเสนอความจริงที่เป็นเท็จของทักษิณให้ฟัง

1. คำที่นำมาจากประชาธิปไตยอังกฤษคือรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายกรัฐมนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาแผลงเสียง่ายๆ ว่า เป็นนายกฯ ของในหลวงหรือ “เด็กของในหลวง” เพราะฉะนั้นเมื่อโดนต่อต้านก็ปล่อยข่าวลือว่า “เด็กของในหลวงถูกรังแก” แทนที่จะให้การศึกษาประชาชนว่า “หัวหน้าฝ่ายค้านของในหลวง” ก็มีเหมือนกัน และมีไว้เพื่อค้านนายกรั
ฐมนตรีมิใช่ค้านในหลวง

2. ทักษิณพยายามสร้างภาพพจน์ รวมทั้งพูดตอกย้ำเสมอว่า ทักษิณ “เก่งคนเดียว-ดีคนเดียว” นายกฯ ไทยในอดีตหรืออนาคตก็ไม่มีใครเทียบ หากทักษิณออกไปแล้ว ทั้งประเทศไทยหาใครแทนไม่ได้ แม้แต่ในพรรคทักษิณก็ไม่มีคนเก่งจริงแม้แต่คนเดียว ด้วยเหตุนี้ในหลวงจึงไม่อยากให้ทักษิณออก ทักษิณประกาศแล้วว่า ถ้าในหลวงกระซิบที่หูเมื่อใด ตนจะออกทันที จนป่านนี้ในหลวงยังไม่ทรงกระซิบเห็นไหม คนชนบทหาเข้าใจไม่ว่าที่พูดอย่างนี้เป็นการจาบจ้วง และในหลวงจะไม่ทรงกระซิบที่หูใครในเรื่องแบบนี้

ผมมีตัวอย่างเส้นผมบังภูเขาที่ทำให้สังคมไทยแตกร้าว เข้าใจผิด เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ จนกระทั่งกลายเป็นวิกฤต เพราะทักษิณไม่ปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยง่ายๆ แต่กลับเลือกปฏิบัติแบบอัตตาธิปไตย ไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วป้ายโทษให้คนอื่น

1. ทักษิณกับพวกถูกกล่าวหาว่ากระทำทุจริตต่อหน้าที่ คอร์รัปชันคดโกง สร้างความเสื่อมเสียแตกแยกให้กับคณะสงฆ์ จาบจ้วงไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ รวมแล้วมีถึง 40 ข้อกล่าวหา

หากทักษิณเป็นประชาธิปไตย จะต้องยินดีชี้แจงผ่านสื่อ มีแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษร หรือชี้แจงในสภาให้สิ้นสงสัย

ทักษิณกลับเลือกทำสิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย คือไม่ยอมตอบคำถามใดๆ กดดันครอบงำเสรีภาพสื่อ ใช้สื่อของรัฐบาลใส่ร้ายป้ายสีผู้คัดค้านว่าเป็นกุ๊ย เป็นผู้เสียประโยชน์

2. ทักษิณสัญญาจะไม่ยุบสภา เพราะเพิ่งจะเลือกมาได้ปีเดียว เป็นสภาที่ไทยลักไทยมีเสียงล้นหลาม ไม่มีอะไรขัดแย้งกับรัฐบาล ทักษิณสัญญาจะนำข้อกล่าวหามาชี้แจงในการประชุมร่วมของรัฐสภาในวันที่ 6 มีนาคม 2549 แต่ก็ชิงยุบสภาเสียก่อนในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เพราะกลัวที่จะตอบคำถามหรือตอบคำถามไม่ได้

สิ่งที่ทักษิณกระทำได้ง่ายๆ ตามครรลองประชาธิปไตย คือตอบคำถามหรือไม่ก็ลาออก ให้สภาเลือกคนอื่นในสภาหรือแม้แต่ตนเองกลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลใหม่จะได้แถลงนโยบายและตอบข้อซักถามในสภา การลาออกเพื่อรักษาเสถียรภาพของสภาและประชาธิปไตยนั้น ผู้นำคนก่อนๆ กระทำกันหลายคน เช่น ม.ร.ว.เสนีย์ พลเอกเกรียงศักดิ์ พลเอกสุจินดา พลเอกชวลิต เป็นต้น

การลาออกของทักษิณง่ายกว่าทุกคน เพราะกลับมาเมื่อไรก็ได้ กลับไม่ทำ แต่กลับยุบสภาโดยไม่มีเหตุตามหลักประชาธิปไตย โดยอ้างว่าจะให้ประชาชนตอบคำถาม ถ้าประชาชนเลือกเข้ามาอีกตนก็ไม่ผิด นี่คือเหตุผลของคนพาล

การยุบสภาของทักษิณทำให้เกิดวิกฤตประเทศและวิกฤตประชาธิปไตยอย่างต่อต่อเนื่อง ทักษิณยังอาศัยความจงรักภักดีของบริวารและกลุ่มพลังที่ไร้วิจารณญาณ ดิ้นรนรักษาเก้าอี้ที่ตนหมดสิทธิตามกฎหมายและจริยธรรมแล้วโดยสิ้นเชิง เสกสรรปั้นแต่งสร้างเรื่องและสร้างปัญหาขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

อัตตาและความไม่เป็นประชาธิปไตยของทักษิณคนเดียวแท้ๆ ที่ทำให้ฟ้าสะเทือนดินสะท้านและบ้านเมืองเฉียดกลียุคเข้าไปทุกที

เมื่อทักษิณสละอัตตาหรืออัตตาสลัดทักษิณนั่นแหละ โอกาสของประชาธิปไตยจึงจะแจ่มใสขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น