xs
xsm
sm
md
lg

สมานฉันท์ ควรจะแบ่งกันยังไง

เผยแพร่:   โดย: ยอดธง ทับทิวไม้

74 ปีที่คนไทยมีโอกาสได้รู้จักการโกหกหลอกลวงและ “การมดเท็จ”ทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ประเภทหนึ่งที่เรียกว่า? “ความเสมอภาค” หรือ “ความเท่าเทียมกัน” ของคนในสังคม เช่นเดียวกับประเทศที่เจริญก้าวหน้าหลายประเทศนิยมนำมาใช้กันเพื่อประโยชน์ของตนเองพวกพ้องของตัวเอง เราเรียกการโกหกหลอกลวงอันยิ่งใหญ่นั้นว่าระบบหรือระบอบและเติมคำว่า ประชาธิปไตยติดท้ายเอาไว้ สมัยเมื่อ 60-70 ปีก่อนที่มาเกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นการเริ่มต้นใหม่หมดสำหรับคนในประเทศไทยซึ่งรู้จักแต่เพียงว่าแย้และตะกวดเท่านั้นเป็นสัตว์ที่เฉลียวฉลาดและว่องไวที่สุด

การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของระบอบประชาธิปไตยที่เข้ามาสู่เมืองไทยในสมัยแรกนั้น เมืองไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญมากก็คือการแบ่งกันเป็นพรรคเป็นพวก พวกใครพวกมัน คนที่พ่ายแพ้ที่อาจจะไม่ได้เป็นศัตรูกันมาก่อนหรือไม่ได้เกิดมาเพื่ออาฆาตมาดร้ายอะไรใคร แต่เป็นคนพวกหนึ่งไม่เห็นด้วยในการกระทำของคนอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในผลประโยชน์ที่จะปล้นชิงมาได้เท่านั้น ก็จะตั้งหน้าตั้งตาใส่ร้ายป้ายสีฟาดฟันกันซึ่งเราก็ยังเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยกันมา

เรื่องของศีลธรรมและคุณธรรมหรือความคิดว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน เป็นลูกผู้ชายที่มีเชื้อชาติเดียวกัน เราก็จะไม่ยึดถือ เราจะยึดถือเพียงแต่ผลประโยชน์ที่เราสามารถจะแย่งชิงหรือปล้นมาได้อย่างที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น

เรามาลองดูกันในกรณีหลวงประดิษฐ์ มนูธรรมหรือท่านปรีดี พนมยงค์ ขบวนการทรราชในยุคนั้นถือว่าท่านปรีดี พนมยงค์ ไม่ใช่คนพวกเดียวกัน เห็นว่าจะนำหน้าเกินไปในด้านสติปัญญาในการเปลี่ยนแปลงการปกครองร่วมกันมา ก็หาทางทำลายเสียโดยการยัดข้อหาให้ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ครั้งแรก ก้าวหน้าไปไกลกว่าเพราะมีความคิดที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือคนยากคนจนหรือชาวนาทั่วประเทศ แต่นายปรีดี พนมยงค์หรือหลวงประดิษฐ์ มนูธรรมก็ถูกกลุ่มทรราชยุคนั้นรวมหัวกันขับไล่ออกนอกประเทศ และเมื่อกลับมาอีก ข้อกล่าวหาคอมมิวนิสต์หมดไป อยู่ดีๆ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 ถูกลอบปลงพระชนม์ ก็มีคนจ้างนักการเมืองคนหนึ่งไปตะโกนในโรงหนังเฉลิมกรุง ว่านายปรีดีเป็นคนลอบปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ 8 คราวนี้นายปรีดี พนมยงค์ พังไปตลอดชีวิต เพราะเล่นกันหนักเกินไป

เหมือนตอนนี้พวกทรราชรุ่นใหม่ลงมือทำลายคู่ต่อสู้ด้วยการกล่าวหาว่า ผู้มีอิทธิพลที่อยู่นอกรัฐธรรมนูญเป็นผู้ยั่วยุให้ประชาชนบางกลุ่มทำลายตนในข้อหาที่ว่า นอกเหนือจากที่ตนพยายามจะล้มระบอบการปกครองที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

เมืองไทยจะมีเพียงประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งจากการซื้อเสียงขายเสียงเท่านั้น

ตลอดเวลา 70 กว่าปีที่การเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองมาเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยนี้ เมืองไทยหรือประชาชนคนไทยจะมีคนจำพวกหนึ่งอาศัยวิธีการเลือกตั้งโดยการโกหกอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ในระบอบประชาธิปไตยที่คนไทยทุกคนจะต้องหาคนมาบริหาร และปกครองประเทศด้วยการเลือกตั้งผู้แทนตัวเองในแต่ละท้องที่มาเป็นตัวแทนของตนเองส่งเข้าไปนั่งในสภาผู้แทนราษฎร

คนที่ถูกเลือกจากประชาชนในแต่ละท้องที่ คนเหล่านี้จะถูกเรียกว่าผู้แทนราษฎรหรือผู้แทนของปวงชนชาวไทยทั้งหมดด้วย

ผู้แทนเหล่านี้ล้วนแต่ไม่ใช่คนธรรมดาหรือชาวบ้านที่รู้แต่เพียงภาษาคนธรรมดาเท่านั้นก็หาไม่ แต่จะเป็นผู้คนที่รัฐบาลประชาธิปไตยต้องเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญรับรองว่าต้องเรียนหนังสือจบได้ปริญญาบัตรอย่างน้อยก็ต้องจบปริญญาตรีสาขาใดสาขาหนึ่งจนถึงด็อกเตอร์ เพราะผู้ร่างรัฐธรรมนูญไทยมีความเชื่อว่าคนที่เรียนหนังสือมาสูงๆ ที่เรียกว่าจบปริญญานั้นจะมีความสามารถในการโกหกมากกว่าและเก่งกว่า มีสติปัญญาที่จะขายบ้านขายเมืองหรือขายประเทศได้ทีละหลายแสนล้านบาท หรือถ้าจบ ด็อกเตอร์ได้ด้วยแล้ว ความสามารถจะอัจฉริยะในการปล้นชาติขายชาติก็จะได้ราคาสูงมากอย่างที่บางคนในประเทศไทยขายไปแล้วเกือบหมดประเทศ

ระบอบประชาธิปไตยที่เราจัดการให้มีการเลือกตั้งขึ้นมาเป็นตัวแทนประชาชนพื่อการบริหารและการปกครองที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตยนี้ เมื่อเราได้ทำกันมาแล้วเป็นเวลา นานถึง 70 กว่าปีนั้น ถ้าเราหลับหูหลับตาไม่คิดไม่เดือดร้อนอะไร ก็จะไม่มีอะไรน่าสังเกต แต่จากประวัติศาสตร์ชาติไทยและประวัติศาสตร์การเมืองที่ผ่านมา 70 กว่าปีนั้น คนที่ได้รับเลือกจากราษฎรมาเป็นผู้แทน และบริหารบ้านเมืองมักจะมีพฤติกรรมหรือคุณธรรมต่างๆ ไม่ค่อยจะแตกต่างกันในด้านความโง่ ความเห็นแก่ตัว และจะทำทุกอย่างเพื่อหาประโยชน์เท่านั้น ซึ่งลักษณะสันดานของผู้แทนราษฎรเหล่านี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา คุณสมบัติของผู้แทนราษฎรของเราจะมีลักษณะซ้ำซากดังต่อไปนี้

(1) ไม่ต่างไปจากโจรสลัดที่จะพยายามแสวงหาอำนาจ และใช้อำนาจทุกอย่างเพื่อปล้นสะดมบ้านเมือง แผ่นดิน และประชาชน โดยไม่สนใจความผิดความถูกซึ่งมีคนเชื่อว่าอีกร้อยกว่าปีข้างหน้า ผู้แทนราษฎรของเราก็จะไม่มีสันดานอะไรผิดไปจากนี้

(2) คนเหล่านี้จะถูกเรียกว่านักการเมือง จะมีนิสัยสันดานปลิ้นปล้อนไม่ว่าจะพูดอะไรออกมา คนพวกนี้จะตวัดลิ้นเปลี่ยนคำพูดได้ทันที โดยไม่คำนึงถึงว่ามันจะเกิดความเสียหายหรือทำให้ตัวเองเสียหาย พร้อมที่จะโกหกคนทุกคน ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นการโกหก แต่เพราะถือว่าตัวเป็นนักการเมืองและเป็นผู้แทนราษฎร การโกหกและการพูดพล่อยๆ เป็นเพียงอาชีพอย่างหนึ่งเท่านั้น อย่างนักการเมืองคนหนึ่งเคยมีตำแหน่งใหญ่โตให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ว่า ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ นั้น แก้ได้ภายใน 6 เดือน จนถึงวันนี้ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้เลย

(3) หลอกลวงและปลิ้นปล้อนทุกอย่างในการปกครองบ้านเมืองที่จะสามารถแสวงหาผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในการเลือกตั้งสกปรกในปี 2500 ซึ่งต้องล้มเลิกไปและต้องเลือกตั้งใหม่บริสุทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญการเมืองท่านหนึ่งกล่าวถึงคุณสมบัติของนักการเมืาองที่มาสมัครรับเลือกตั้งหรือเป็นผู้แทนราษฎรว่า “เป็นพวกมนุษย์หน้าพระ หัวใจหมา” คือเป็นมนุษย์ที่ไม่มีความรับผิดชอบไม่ว่าจะพูดอะไร ทำอะไร ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเขาจะพูดส่งเดชแบบหน้าพระ หัวใจหมาแบบนี้ เพราะนอกจากเขาจะเกิดมาด้วยการสืบทอดนิสัยใจคอมาจากบรรพบุรุษของเขาแล้วยังเป็นเพราะหัวใจหมาที่เขานำมันมาเกิดเป็นตัวเขาด้วย

ก็เพราะว่านักการเมืองหรือผู้แทนราษฎรของเรามีคุณสมบัติและสันดานเหล่านี้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เมื่อเขาเป็นนักการเมืองและผู้แทนราษฎรของคนไทย ตามประวัติศาสตร์จึงบอกให้เราทราบว่าตลอดเวลา 70 กว่าปี มันมีปัญหาการเมืองที่ร้ายแรงเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าหรือไม่ราบรื่นสมกับที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตยของปวงชน เฉพาะอย่างยิ่งการปล้นบ้านปล้นเมืองและการทรยศคดโกง คอร์รัปชันที่ล้ำหน้าประเทศอื่นๆ ก็เพราะปัญหามันเกิดจากนักการเมืองหรือผู้แทนราษฎรที่ประชาชนเลือกนั้น มันเป็นการเลือกตั้งหลอกๆ หรือประมูลซื้อเสียงไม่มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ที่มีอยู่ในวงการเมืองของเรา

และสำคัญที่สุดที่คนไทยหรือเจ้าของระบอบประชาธิปไตยทุกวันนี้ กำลังมีภาระหน้าที่ใหม่อีกครั้งหนึ่งที่ทุกคนจะถูกหลอกหรือถูกผูกมัดให้ทำความชั่วต่อประเทศเป็นกรรมเป็นเวรกันต่อไป นั่นคือการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหรือจะมาถึงในกลางเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งคนไทยก็จะไปพบกับความชั่วทางการมืองในระบอบประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งในระยะเวลา 70 กว่าปีที่ผ่านมา

อาจจะมีบางคนสนใจว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนตุลาคมที่จะมาถึงนี้ คนไทยจะได้อะไรบ้าง?

จะทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ขนาดไหนเพียงใด

ก็คงจะตอบอะไรไม่ได้ นอกจากบอกกันตรงไปตรงมาว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เพราะประชาธิปไตยหรือความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองจะเกิดขึ้นเพราะการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ มันก็จะเป็นการเลือกตั้งด้วยการซื้อเสียงตามปกติ และก็จะสกปรกเลอะเทอะเหมือนที่เคยมีการเลือกตั้งมาแล้วในระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา เพราะทั้งคนสมัครรับเลือกตั้งและคนที่จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งก็เป็นเพียงคนที่ทำความชั่วในการเลือกตั้งที่ทำกันมาแล้ว

พรรคที่จะทำหน้าที่ซื้อเสียงทั้งซื้อคน และซื้อพรรคก็พวกเดิมที่อาจจะต้องเพิ่มทุนรอนและความรุนแรงขึ้นอีกเพราะสามารถนำเงินหลวงออกมาติดสินบน และซื้อทุกอย่างได้ด้วย

และพร้อมๆ กันนั้น คนที่จะขายเสียงขายตัวก็ยังรอการเลือกตั้งทุกจังหวะ


เมื่อมนุษย์หน้าพระ หัวใจหมาพวกนี้ยังอยู่ในวงการเลือกตั้ง และวงการเมืองอย่างในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ มันจะไม่มีอะไรแก้ไขไปได้ นอกจากทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิมหรือจะเลวลงกว่าเดิม

บ้านเมืองก็จะสกปรกเพราะมนุษย์พวกนี้ตามเดิม

และอีกไม่กี่วันข้างหน้า เราก็จะมีพรรคการเมือง นักการเมือง และรัฐบาลชุดเดิมอีก

ท้ายที่สุดจะต้องสอนให้คนไทยทั้งชาติรู้จักการเมืองอย่างดีด้วย

และที่สำคัญก็คือไม่เกี่ยวกับพรรคใหญ่พรรคเล็กหรือพรรคอะไรทั้งนั้น เพราะนักการเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของพรรคหรือสมาชิกพรรคก็เป็นเพียงพวกนักหากินทางการเมืองเก่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น คนที่ว่านี้เคยทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองมาก่อนหรือไม่ คราวนี้ก็เช่นเดียวกับนักการเมืองที่มีพรรคพร้อมที่จะซื้อทุกอย่างในวงการเมือง มีนักซื้อเสียงขายเสียงเดินหน้าสลอนอยู่ในวงการเมือง

มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือทำอะไรให้ดีขึ้นมาได้

แม้แต่การสำรอกเรื่องการสมานฉันท์ออกมานั้น ปัญหาก็มีอยู่ว่าอ้ายที่สมานฉันท์เอามานั้น จะแบ่งกันยังไงถึงจะเป็นธรรม ทั้งๆ ที่ทุกพรรคทุกคนอ้าปากรองาบกันอยู่.
กำลังโหลดความคิดเห็น