xs
xsm
sm
md
lg

ดับเครื่องชนทักษิณ (9) อวสานท้ากกกสิน!

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ก่อนที่ท่านจะอ่าน ดับเครื่องชนทักษิณ (9) นี้ ท่านอ่าน อวสานท้ากกกกสินจริงหรือ ของ ส.ว.การุณ ใสงาม หรือยัง ถ้ายัง อ่านเสียนะครับ

การุณ เขียนไปพูดในวงเสวนา “เครือข่ายจุฬาฯเชิดชูคุณธรรมนำประชาธิปไตย” ร่วมกับสถาบันสหัสวรรษ เรื่อง อวสานท้ากกกสิน ที่ตึกประชาธิปก-รำไพพรรณี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม นี้ มีวิทยากรร่วมอีก 2 คน คือ ดร.วุฒิพงศ์ เพรียบจริยวัฒน์ กับผม โดย สำราญ รอดเพชร โฆษกเมืองไทยรายสัปดาห์เป็นพิธีกร มีผู้ฟังเต็มห้องและถ่ายทอดไปตามเครือข่ายของASTV ทั่วประเทศ มีชาวไทยทั้งในยุโรปและอเมริกาที่เป็นแฟนติดตามรายการเป็นประจำฟังอยู่มากมาย

ผมถูกล้อด้วยเรื่องที่ผมคิดว่าสำคัญมาก โดยแพทย์หญิงโฆษกประจำรายการจาก รพ.รามาธิบดี เแซวว่า เดี๋ยวนี้คุณหมอไม่คิดถึงผมแล้ว เพราะเห็นหน้าผมบ่อยเชิญทีไรก็มาทุกที

คนอย่างผม อีกหน่อยอายุก็จะเกิน 6 รอบแล้ว ทำไมจึงไม่ปล่อยวางซักที

เออ จริงเสียด้วย บทความคิดถึงเมืองไทยและดับเครื่องชนทักษิณของผมก็เช่นเดียวกัน ผมเองก็ไม่ถึงกับอดอยากปากแห้งต้องขายตัวหนังสือกิน กับทั้งยังได้แผ่เมตตาให้สัตว์โลกทั้งหลาย รวมทั้งทักษิณ ที่เกิดมาเป็นเพื่อนทุกข์อยู่ทุกวันไม่มีเว้น เออ จริงเสียด้วย ทำไม ทำไม ทำไม

ดับเครื่องชนทักษิณ ถ้าไม่นับตอนนี้ ก็ยังเหลืออีก 3 ตอนที่สำคัญที่สุด ก่อนจะครบ 12 ยก เท่ากับการชกมวยสากลชิงแชมป์สมาคมมวยโลกพอดี ที่อ้างว่าสากลนั้น กติกาก็ไม่เหมือนกันทุกแห่ง บางแห่งระฆังช่วยได้ บางแห่งให้นับต่อจนครบสิบ ถ้าล้มลงพร้อมเสียงระฆัง ถึงตอนนั้น ท้ากกกสินจะอวสานจริงหรือ

ถ้าหากไม่จำเป็น ผมก็คงเหมือนกับคนแก่ทั่วไป ที่อยากใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายอยู่กับลูกหลาน อ่านหนังสือที่ตัวเองอยากอ่าน เขียนหนังสือที่ตัวเองอยากเขียน ต่างกับบท ความนี้ ผมต้องคิดหนักหากจะให้เลิกเขียนเสียทีเดียว กัลยาณมิตรของผมที่อายุ 70 ขึ้น 80 ขึ้น และ 90 ขึ้น เช่น หมอประสาน หมอประเวศ หมอไพโรจน์ นิงสานนท์ ดร.เกษม สุวรรณกุล อังคาร กัลยาณพงศ์ พลเอกสายหยุด เกิดผล อาจารย์ระพี สาคริก ม.ล.อนงค์ นิลอุบล คุณอาหมอเสม พริ้งพวงแก้ว ม.จ.ทองคำเปลว ทองใหญ่ สามท่านหลังนี้เฉียดร้อยเข้าไปแล้ว ยังไม่มีผู้ใดเลิกปฏิบัติหน้าที่ของพลเมืองดีเลย เข้มแข็งและต่อสู้อยู่อย่างไม่ลดละตามฐานานุรูป ทุกท่านล้วนแต่อยากเห็นทักษิณออกไปเร็วที่สุดทั้งสิ้น

เมื่อไหร่ท้ากกกสินจะออกไป

การุณ เห็นว่า อวสานทักษิณนั้นต้องเป็นอวสานที่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ด้วยองค์สาม คือ

1. ตัวของทักษิณ ชีวิตของทักษิณ ต้องออกไปจากการเมืองไทยโดยสิ้นเชิง

2. พรรคของทักษิณ พวกของทักษิณ นอมินีของทักษิณ ลูกน้องบริวารของทักษิณต้องออกไปจากการเมืองไทยอย่างมีขั้นตอน และไม่อยู่สร้างความเสียหายต่อไป

3. มรดกการเมืองที่ทักษิณได้รับมาจากระบบเก่าๆ อันเป็นมูลเหตุให้ทักษิณเกิดได้ อยู่ได้ กำเริบได้ และทำความเสียหายแก่บ้านเมืองได้จะต้องถูกทั้งจำกัดและกำจัดไปพร้อมๆ กันเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ นักการเมืองที่ชำรุด กฎหมายเลือกตั้งและพรรคการเมืองที่ชำรุด รัฐธรรมนูญที่ชำรุด องค์กรการเมืองที่ชำรุด เช่น กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ และวุฒิสภา ฯลฯ

นั่นก็คือ ทัศนะของการุณ ซึ่งผมเห็นด้วยทั้งหมด การุณพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า งานข้างหน้ายังมีอีกมาก คนฟังทุกคนไม่ว่าอยู่ที่ไหน จะต้องเอาจริงเอาจัง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้จักท้อถอย ไม่รู้จักหยุดหย่อน ร่วมมือกันต่อสู้และปฏิรูปเอาระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมาให้ได้ และทำลายการเมืองระบอบทักษิณให้สิ้นซาก

การุณย้ำแล้วย้ำอีกว่า พวกเราจะต้องเข้าใจการเมืองที่เป็นเรื่องจริงเสียก่อน จึงจะสามารถต่อสู้เอาการเมืองในอุดมคติมาได้ หรืออย่างน้อยป้องกันมิให้มีทักษิณ 2 ทักษิณ 3,4,5,6, 7 ขึ้นมาเป็นระลอก การุณได้ขมวดจบลงด้วยการทอดถอนหายใจ

“ทำไมโลกนี้จึงต้องสร้างทรราชขึ้นมาทดแทนกันได้เรื่อยๆ หรือเห็นว่าโลกนี้ได้สร้างวีรชนขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจที่มีทรราช หรือน่าภูมิใจที่มีวีรชนกันแน่”

ผมอยากให้ท่านผู้อ่านได้ฟัง ดร.วุฒิพงศ์ เพรียบจริยวัฒน์ ด้วย วุฒิพงศ์เรียนเก่งได้ทุนเล่าเรียนหลวง จบจากมหาวิทยาลัยชั้นเลิศของโลกถึง 3 แห่ง คือ เอ็มไอที, สแตนฟอร์ด และชิคาโก กลับมาสอนที่ธรรมศาสตร์ เงินเดือนไม่พอกิน ออกไปเป็นผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ สุดท้ายเป็นผู้อำนวยการสถาบันสหัสวรรษ การมีส่วนร่วมในการเมืองภาคประชาชนทำให้วุฒิพงศ์ฉลาดและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ความสนใจศาสนาพุทธอย่างแรงถึงขนาดเขียนหนังสือเล่มเล็กอธิบายพลังของพุทธศาสนาตามหลักวิทยาศาสตร์ทำให้วุฒิพงศ์เกิดดวงตาที่เห็นธรรม ไม่อยากเห็นทักษิณอยู่ในอำนาจต่อไปแม้เพียงหนึ่งวัน

วุฒิพงศ์มีความเห็นไม่ต่างกับการุณ แต่นำเสนอด้วยสไตล์และมิติที่ไม่เหมือนกันทำให้การเสวนาวันนั้นมีรสชาติ วุฒิพงศ์มีความเห็นหนักแน่นว่าทักษิณต้องจบชีวิตทางการเมือง เมืองไทยจึงจะสงบตามพระราช ดำริของในหลวง และความปรารถนาของผู้ใฝ่ประชาธิปไตยที่ แท้จริง การเว้นวรรคของทักษิณก็ดี การแต่งตั้ง กกต.ใหม่ก็ดี การยุบพรรคก็ดี การที่พรรคประชาธิปัตย์จะกำชัยเข้ามาแทนที่ไทยลักไทยก็ดี และการเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 ก็ดี ล้วนแล้วแต่มิใช่คำตอบ ประเทศไทยต้องการปฏิรูปไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริงต่างหาก

เงื่อนไขอันแรก ก็คือ ทักษิณต้องจบชีวิต (ทางการเมือง) และถ้าหากนั่นจะหมายความถึงการจบทางชีวเคมีด้วย หลายคนก็คงจะไชโยโห่ฮิ้วด้วยความยินดี การจบชีวิตทางชีวเคมีก็คือความตายนั่นเอง อันจะเป็นสาเหตุให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของทักษิณสิ้นสุดลง ตามมาตรา 216 วรรค 1 แห่งรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง จนกระทั่งจะต้องนำมาตรา 7 และมาตราอื่นๆในรัฐธรรมนูญมาใช้ เปิดหนทางไปสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง ไม่ต้องหวังพึ่งการเลือกตั้งในระบบเก่า และการปฏิรูปแบบหูฉลามภายใต้แกนนำของทักษิณกับบรรหาร บรรหารผู้บังคับเซ้งพรรคชาติไทยจนกระทั่งได้เป็นนายกรัฐมนตรี บรรหารได้ประดิษฐ์อมตวาทะไว้หนึ่งวลี คือ “เป็นฝ่ายค้าน พากันอดอยากปากแห้งเหลือเกิน”

ผมได้แต่นึกว่า ทำไมหนอในห้องเสวนาแห่งนี้จึงไม่มีนิสิตนักศึกษาหรือคนหนุ่มคนสาวเข้ามาฟังบ้างเลย ทำไมหนอผู้ฟังทั้งในห้อง ทั้งผู้ที่ดูเคเบิลทั่วประเทศ และผู้ที่ดูจากดาวเทียมทั่วโลกช่างใจดำกับผมเหลือเกิน ปล่อยให้ผม (พล่าม) เหนื่อยอยู่ได้ น่าจะช่วยกันทำอะไรๆ ให้ระบอบทักษิณอวสานไปตั้งนมนานแล้ว ไม่ต้องให้เดือดร้อนมาถึงคนแก่อย่างผม อยู่ดีๆ ก็ถูกฟ้องเป็นพันล้านๆ ราวกับผมเป็นคนเลวเสียเต็มประดา แล้วยังจะให้ผมพูดอีก

อยู่ดีๆ วันขบวนรถทักษิณเกิดอุบัติเหตุ รถผมก็ถูกชนข้างหลังเปรี้ยงใหญ่จนผมกระดอน แท็กซี่ที่ใหม่เอี่ยมคันนั้นคงเห็นว่า ถนนมันว่าง ผมคิดสรตะแล้ว สรุปได้ว่า ไม่มีอะไร เป็นอุบัติเหตุธรรมดา อย่าห่วง ช่วยกันห่วงท่านผู้นำดีกว่า

พูดตรงๆ ผมไม่อยากเห็นทักษิณออกไปตามวงเล็บ (1) ผมพยายามชี้ให้เห็นว่า เป็นการยากที่ทักษิณจะรอดมือกฎหมายตามวงเล็บ (4) ไปได้ คือ ต้องคำพิพากษาให้จำคุก ระหว่างวงเล็บ (1)กับวงเล็บ (4) มีทางออกให้ทักษิณอย่างดีที่สุดนั่นก็คือ ลาออกตามวงเล็บ (2)

ทำไมหนอ ทักษิณเคยฟังพระราชดำรัสครั้งแล้วครั้งเล่าหรือเปล่า หรือแม้กระทั่งครั้งที่ทักษิณบีบน้ำตาเว้นวรรคเมื่อวันที่ 5 เมษายน เห็นหรือไม่ว่าเมืองไทยสงบเยือกเย็นลงทันตาเห็น ที่กลับร้อนระอุขึ้นอีก มิใช่เพราะทักษิณตระบัดสัตย์ กลับเข้ามายึดเก้าอี้โดยอาศัยเงิน อำนาจกับความชำรุดของกฎหมายและกลไกของระบบราชการดอกหรือ

ผมขอให้ทักษิณและพวกเราทุกคนช่วยกันคิดแบบคนมีศาสนาเถิด จะเป็นศาสนาอะไรก็ได้ มนุษย์เรานั้นเกิดมาภายใต้กฎแห่งกรรมและทุกคนล้วนแต่มีวิบากกรรมประจำ ตัวทั้งสิ้น มากบ้างน้อยบ้าง การที่คนบางคนถูกคนนับหมื่นนับแสนแช่งชักหักกระดูกอยู่ทุกวัน ถูกดวงวิญญาณที่เขาพร่าผลาญไปด้วยความไม่เป็นธรรมร้องหาอยู่ทุกวัน ความเป็นไปได้ที่บุคคลนั้นจะต้องชดใช้กรรมย่อมมีมากกว่าคนธรรมดา ความตายที่อาจจะมาถึงโดยการลอบสังหาร โดยอุบัติเหตุ โดยความล้มเหลวของอวัยวะสำคัญในร่างกายอย่างเฉียบพลัน ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ทั้งสิ้น

ผมไม่เห็นด้วยกับการลอบสังหารและความโหดร้ายทางการเมือง เช่น การจับตัวลูกเมียซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไปทรมานเป็นตัวประกัน เพราะสิ่งเหล่านี้ถ้าเกิดขึ้นได้ครั้งแรก ก็จะมีครั้งต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด เมืองไทยเราเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังปลอดจากความโหดร้ายแบบนี้ ถึงแม้เงาทะมึนของมันจะเริ่มเกิดขึ้นแล้วในปักษ์ใต้

ที่เราหลีกเลี่ยงความโหดร้ายดังกล่าวได้ ก็เพราะวิถีไทยหรือวิถีชีวิตแบบไทย ไม่ว่าจะอยู่ใต้ศาสนาใด ทำให้เมื่อถึงคราวจำเป็นคนไทยสามารถใช้ปัญญาแก้ปัญหาได้ และทำให้คนไทยพูดกันรู้เรื่อง บัดนี้ได้ปรากฏชัดแล้วว่าคนไทยที่พูดกันไม่รู้เรื่องมีอยู่คนเดียว มิไยที่คนไทยทั้งโลกจะพยายามอย่างไรก็ไม่ฟัง ยอมสู้แค่หมดหน้าตัก ยอมสู้ด้วยชีวิต เป็นไรเป็นกัน ไทยทั้งประเทศจะถูกเผาตามไปด้วยก็ไม่ว่า

การโกหกและตระบัดสัตย์ของผู้นำก็ดี การกระทำทุจริตผิดกฎหมายของคุณทักษิณตั้งแต่ยังมิได้เป็นนักการเมืองและจนกระทั่งในตำแหน่งนายก รัฐมนตรีก็ดี มีอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน มีคำพังเพยอยู่ว่า “อย่านึกว่าท่านเก่ง หรืออยู่เหนือกฎหมาย ตราบใดที่ท่านหลบเลี่ยงกฎหมายได้อยู่ ก็แล้วไป แต่วันใดที่มือกฎหมายเอื้อมมาถึงตัวท่าน ท่านไม่มีทางที่จะหนีไปไหนได้หรอก” ข้อความนี้ได้นำมาใช้กับประธานาธิบดีนิกสัน ซึ่งต้องลาออกไปเพราะกฎหมายจับโกหกได้ และจับได้ด้วยว่าพยายามครอบงำขบวน การยุติธรรม!

สิ่งที่ผมต้องการพูดกับผู้ฟังในวันนั้นมากที่สุด และไม่ต้องการให้เข้าหูซ้ายแล้วทะลุหูขวาไปเฉยๆก็คือ เราต้องแก้ปัญหาการขาดประชาธิปไตยด้วยการเป็นประชาธิป ไตยให้มากขึ้น มิใช่น้อยลง

ขอให้พวกเราตั้งใจเรียนรู้และใช้อาวุธของประชาธิปไตยให้ถึงที่สุดจนครบกระบวนท่า ขอให้ทุกท่านตั้งต้นเสียตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนในมุมโลก จับกระดาษและไปรษณียบัตรมาเขียนคนละ 3-4 ใบ ถึงใคร ว่าอย่างใดก็ได้ ให้รู้ว่าเราต้องสู้เพื่อประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

การนัดหยุดงานทั่วประเทศเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุดอย่างหนึ่ง แต่คนไทยยังมีความรู้และความเข้าใจไม่ถึงขั้น ถ้าทำไม่เป็นจะเกิดผลเสียได้ ผมแนะนำว่าค่อยๆ เรียน เอาแค่เบาะๆ และโดยไม่ต้องนัดหมายกันเลย เพียงแต่พร้อมใจกันทำทั่วประเทศ คือ (1) มาทำงานสายหนึ่งชั่วโมงในเช้าวันจันทร์ และ (2) กลับบ้านก่อนเลิกงานหนึ่งชั่วโมงในบ่ายวันศุกร์ แล้วค่อยๆ ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ กระทรวงต่างประเทศกล้านำไหม สำนักนายกฯ กล้านำไหม ดูซิว่า แม้วจะทนได้หรือไม่ หรือว่าทักษิณจะถึงอวสานไปก่อนนานแล้ว?
กำลังโหลดความคิดเห็น