ปชป.จี้รัฐบาล-ตำรวจเร่งสางคดีทำร้ายสื่อมวลชน ระบุเกิดเหตุถูกคุกคามทำร้ายถี่ยิบ ช่วง 6 ปี คนข่าวตกเป็นเหยื่อกว่า 40 กรณี และนับวันจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น
นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีคนร้ายทุบรถผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวและ พนักงานเอเอสทีวี ถึง 2 รายในวันเดียวกันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสัญญาณที่น่าวิตกกังวลว่า การคุกคามสื่อมวลชนด้วยการลอบประทุษร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สินจะกลับมาอีกครั้ง และจะรุนแรงมากขึ้นท่ามกลางสูญญากาศทางการเมืองในขณะนี้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลโดยเฉพาะ รักษาการนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญติดตามคดีดังกล่าวนี้อย่างใกล้ชิด และหามาตรการคุ้มครอง เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยแก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนให้มากขึ้น
ทั้งนี้ นับแต่ตั้งปี 44 เป็นต้นมา เกิดเหตุร้ายในลักษณะคุกคาม ข่มขู่ ลอบทำร้ายนักข่าว และผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนเป็นจำนวนมาก เท่าที่รวบรวมได้มากกว่า 40 กรณี ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเฉพาะในปี 49 มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้สื่อข่าวตกอยู่ในความไม่ปลอดภัยบ่อยครั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า มีลักษณะของการคุกคามเพื่อหวังจะหยุดยั้งการทำหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทั้งสิ้น
"ขอยกตัวอย่างบางกรณี อาทิ ผู้สื่อข่าวมติชน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถูกคนร้ายบุกยิงปืนใส่บ้านพักและรถยนต์ กรณีกลุ่มก่อกวนจุดประทัดยักษ์ถล่มที่ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่บริเวณสวนลุมพินี กรณีม็อบจัดตั้งสนับสนุนรัฐบาลบุกปิดล้อมหนังสือพิมพ์เครือเนชั่น และม็อบกลุ่มเดียวกันยกขบวนไปที่หนังสือพิมพ์แนวหน้า และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ทั้งนี้ กรณีคนร้ายทุบรถผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจ เอเอสทีวี ได้ทิ้งจดหมายข่มขู่นายสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของสื่อในเครือผู้จัดการไว้ด้วย นอกจากนี้ยังมีกรณีผู้สื่อข่าวสาวสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ถูกทุบรถยนต์ ผู้สื่อข่าวสาวช่อง 11 ถูกผู้อำนวยการโรงเรียนคุกคาม ลวนลามระหว่างปฎิบัติงานข่าวที่ จ.สระแก้ว"
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุร้ายที่เกิดกับผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทั้งกว่า 40 กรณีนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความสนใจติดตามคดีน้อยมาก ทำให้การคลี่คลายเป็นไปอย่างล่าช้า มาถึงวันนี้จึงต้องเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ติดตามกำชับให้ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีคุกคาม ลักลอบทำร้ายผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนในทุกคดีได้เร่งรัดติดตามความคืบหน้าแล้วเปิดเผยให้สังคมได้รับทราบด้วย
นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีคนร้ายทุบรถผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวและ พนักงานเอเอสทีวี ถึง 2 รายในวันเดียวกันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสัญญาณที่น่าวิตกกังวลว่า การคุกคามสื่อมวลชนด้วยการลอบประทุษร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สินจะกลับมาอีกครั้ง และจะรุนแรงมากขึ้นท่ามกลางสูญญากาศทางการเมืองในขณะนี้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลโดยเฉพาะ รักษาการนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญติดตามคดีดังกล่าวนี้อย่างใกล้ชิด และหามาตรการคุ้มครอง เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยแก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนให้มากขึ้น
ทั้งนี้ นับแต่ตั้งปี 44 เป็นต้นมา เกิดเหตุร้ายในลักษณะคุกคาม ข่มขู่ ลอบทำร้ายนักข่าว และผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนเป็นจำนวนมาก เท่าที่รวบรวมได้มากกว่า 40 กรณี ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเฉพาะในปี 49 มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้สื่อข่าวตกอยู่ในความไม่ปลอดภัยบ่อยครั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า มีลักษณะของการคุกคามเพื่อหวังจะหยุดยั้งการทำหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทั้งสิ้น
"ขอยกตัวอย่างบางกรณี อาทิ ผู้สื่อข่าวมติชน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถูกคนร้ายบุกยิงปืนใส่บ้านพักและรถยนต์ กรณีกลุ่มก่อกวนจุดประทัดยักษ์ถล่มที่ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่บริเวณสวนลุมพินี กรณีม็อบจัดตั้งสนับสนุนรัฐบาลบุกปิดล้อมหนังสือพิมพ์เครือเนชั่น และม็อบกลุ่มเดียวกันยกขบวนไปที่หนังสือพิมพ์แนวหน้า และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ทั้งนี้ กรณีคนร้ายทุบรถผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจ เอเอสทีวี ได้ทิ้งจดหมายข่มขู่นายสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของสื่อในเครือผู้จัดการไว้ด้วย นอกจากนี้ยังมีกรณีผู้สื่อข่าวสาวสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ถูกทุบรถยนต์ ผู้สื่อข่าวสาวช่อง 11 ถูกผู้อำนวยการโรงเรียนคุกคาม ลวนลามระหว่างปฎิบัติงานข่าวที่ จ.สระแก้ว"
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุร้ายที่เกิดกับผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทั้งกว่า 40 กรณีนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความสนใจติดตามคดีน้อยมาก ทำให้การคลี่คลายเป็นไปอย่างล่าช้า มาถึงวันนี้จึงต้องเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ติดตามกำชับให้ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีคุกคาม ลักลอบทำร้ายผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนในทุกคดีได้เร่งรัดติดตามความคืบหน้าแล้วเปิดเผยให้สังคมได้รับทราบด้วย