"แม้จะมีการขุดลอกแม่น้ำปิงครั้งใหญ่เมื่อ 2 ปีก่อน(2546)แต่ทว่าไปเจออุปสรรคคือ ฝายหินทิ้งมาดักทางน้ำ (ฝายพญาคำ)จึงสั่งการให้ทหารช่างทำลายในคืนน้ำท่วม(2548)ทันที และปัญหาน้ำท่วมเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า และการบุกรุกสองฝั่งแม่น้ำปิง จึงสั่งการให้นายเนวิน ชิดชอบ มาแก้ปัญหานี้ต่อไป รวมไปถึงแนวคิดจะสร้างพนังกั้นแม่น้ำปิงในอีกทางหนึ่ง"
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าวถ้องคำข้างต้น เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2548 คราวน้ำท่วมใหญ่เชียงใหม่ 4 ครั้ง 4 ครา จนนำมาซึ่งข้อพิพาทเรื่อง "พนังกั้นน้ำปิง"ที่ถือเป็น 1 ในโปรเจกต์ "น้ำลด โปรเจกต์โผล่" ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
31 ก.ค.-1 ส.ค.49 เกิดน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่หลายจุดอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะไม่หนักหนาจนย่านเศรษฐกิจจมมิดอยู่ใต้น้ำเท่ากับปี 48 ก็ตาม แต่ก็ทำให้คนเมืองเชียงใหม่ขวัญผวากันไม่น้อย โดยระดับน้ำในแม่น้ำปิงที่จุดตรวจวัด P.1 สะพานนวรัฐในตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อ 10.00 น.(31 ก.ค.) อยู่ที่ระดับ 4.28 เมตร และเพิ่มระดับขึ้น 7-8 ซม./ชั่วโมง แต่จะเพิ่มมากกว่านี้อีกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนที่จะตกลงมาหลังจากนี้ด้วย
ทำนองเดียวกันกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เชียงใหม่เมื่อปีกลาย เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงปัญหานี้อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับเรียกใช้ นายเนวิน ชิดชอบ รักษาการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คนเดิมอีกครั้งว่า
"มีความเป็นห่วงสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ภาคเหนือ และอีสานหลายจังหวัดในขณะนี้ ซึ่งเห็นว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เพราะรัฐบาลไม่สามารถเดินหน้า แผนโครงการแก้ไขปัญหาน้ำทั้งระบบ งบประมาณกว่า 200,000 ล้านบาทได้ เพราะมีวิกฤตการณ์ทางการเมือง จึงทำให้โครงการใหญ่ๆ ชะงักงัน และต้องรอหลังการเลือกตั้ง เพราะในขณะนี้ทำสิ่งใดได้ลำบาก อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ดูแลปัญหาอย่างเต็มที่เพราะมีการเตรียมการล่วงหน้า โดยสั่งการให้เทศบาล และจังหวัดช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าว(1 ส.ค.49)
อย่างไรก็ตามช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีการเสวนาเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ และปัญหาอันเนื่องมาจาก "พนังกั้นน้ำปิง"หลายครั้ง
นายธาดา สุขะปุณพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์อุทกวิทยาและบริหารน้ำภาคเหนือตอนบน เคยนำเสนอข้อมูลลักษณะทางกายภาพตัวเมืองเชียงใหม่ และปัญหาน้ำท่วม ในเวทีระดมข้อมูล-รับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ ที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพย์ฯ จัดขึ้นเมื่อต้นปี 49 ว่า ตามสถิติเชียงใหม่เป็นเมืองที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมอยู่แล้ว เนื่องจากตัวเมืองเป็นแอ่งรองรับการไหลลงมารวมกันของน้ำ ทั้งยังตั้งอยู่ในแนวการเคลื่อนตัวของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่มักจะมีฝนตกมากในฤดูฝน
นอกจากนี้ ตามสถิติพบว่า เฉลี่ยทุกๆ 8 ปี จะมีพายุหมุนพัดผ่านในช่วงเดือนส.ค.-ก.ย.และตามบันทึกยังระบุด้วยว่า เคยมีพายุหมุนพัดผ่านสองปีซ้อน ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ ที่จะอาจจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันกับปี 48 ขึ้นอีก ซึ่งปีที่ผ่านมา มีพายุหมุนพาดผ่านเชียงใหม่ถึง 3 ลูกซ้อน จนเป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมใหญ่
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมหนัก ในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ มาจากความกว้างของลำน้ำแม่ปิงที่นับวันยิ่งมีความคับแคบมาก โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ ส่งผลให้เมื่อน้ำจากทางต้นน้ำเคลื่อนมาถึงแล้ว มีปัญหาในการระบายน้ำจนเกิดล้นฝั่ง อีกส่วนหนึ่งมาจากการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าต้นน้ำ ทำให้ไม่มีตัวชะลอน้ำปริมาณมากๆ ก่อนที่จะไหลเข้าสู่ตัวเมือง โดยสังเกตได้จากสีของน้ำที่ขุ่น เพราะพัดผ่านหน้าดินและทำให้เกิดโคลนถล่ม เนื่องจากไม่มีต้นไม่เป็นตัวยึดหน้าดิน
ดร.ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์ หัวหน้าโครงการวิจัยเมืองยั่งยืน สถาบันวิจัยสังคม มช. ให้ความเห็นว่า ขณะนี้ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ที่เกิดขึ้น มักจะถูกให้ความสำคัญแต่เฉพาะปัญหาน้ำท่วมในเขตตัวเมืองเป็นหลักเท่านั้น โดยไม่มองครอบคลุม ไปถึงปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในพื้นที่รอบนอกเท่าที่ควร
ข้อเท็จจริงแล้ว ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้น มีสาเหตุมาจากการพัฒนาที่ไม่เป็นไปตามผังเมือง มีการใช้ประโยชน์ที่ดินผิดประเภท รวมไปถึงการถมพื้นที่รองรับน้ำ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น หรือการรุกล้ำพื้นที่ริมน้ำทำให้เกิดปัญหาตามมา ซึ่งควรจะมีการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ กำหนดการเจริญเติบโตของเมือง และมีการวางแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ตลอดจนน่าจะมีการรื้อฟื้นภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น ระบบเหมืองฝายระบายน้ำ ซึ่งควรนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหา
ดร.วสันต์ จอมภักดี รองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวในเวทีเสวนาเรื่อง "น้ำท่วมเจียงใหม่ เยียะจะใดแก้" 15 ก.ค.49 ว่า สาเหตุที่น้ำปิงล้นตลิ่งเข้าท่วมเมืองเชียงใหม่ เป็นเพราะความกว้างของแม่น้ำปิง ปัจจุบันคับแคบมาก บางจุดกว้างเพียง 30 เมตร ทั้งที่อดีตเคยกว้างถึง 200 เมตร โดยมีต้นเหตุมาจากการบุกรุก หรือถมที่รุกล้ำเข้าไปในเขตลำน้ำ ทั้งโดยรัฐ-เอกชน ทางแก้ก็คือ หน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องเร่งแก้ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ริมน้ำโดยเร็ว เพื่อคืนพื้นที่ริมตลิ่งให้แม่น้ำปิงสามารถรองรับน้ำได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ แม่น้ำปิง มีพื้นที่รองรับน้ำฝน 34,856 ตารางกิโลเมตร ช่วงไหลผ่านตัวเมืองสามารถรองรับน้ำได้ 460 ลบ.ม./วินาที หากน้ำมากกว่านี้ นั่นหมายถึงจะต้องทะลักเข้าท่วมตัวเมืองแน่นอน
อีกประเด็นหนึ่งที่มีผลต่อการเกิดน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ ก็คือ โครงการพัฒนาจำนวนมากที่ถูกอัดฉีดลงมาตลอดระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือ ช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีโครงการตามข้อสั่งการของนายกฯ ลงมาที่เชียงใหม่สารพัดโครงการ เช่น ถนนอ้อมเมืองสายมหิดล -โครงการถนน Local Road เลียบทางรถไฟเชื่อมเชียงใหม่-ลำพูน ที่กลายเป็นเขื่อนยักษ์กั้นน้ำไม่ให้ระบายออกไป ,เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี -พืชสวนโลก ที่ต้องผจญกับข้อหาเป็นต้นเหตุหนึ่งทำให้เกิดน้ำท่วมเมือง ฯลฯ
โดยเฉพาะถนนอ้อมเมือง และ Local Road มีข้อมูลชัดเจนว่า ทำให้น้ำไม่สามารถระบายออกได้ ซึ่งสุดท้ายเมื่อคราวน้ำท่วมปี 48 ก็ต้องทุบทิ้งเกาะกลางถนนอ้อมเมืองสายมหิดล เพื่อระบายน้ำในช่วงที่ท่วมสูงมาก
ทั้งหมดนี้ ยังไม่ได้หมายรวมถึงข้อติฉินนินทา ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ครั้งล่าสุด (31 ก.ค.-1 ส.ค.49)เป็นเพราะเขาปล่อยน้ำมาเพื่อพนังกั้นน้ำปิงที่ถูกต่อต้านคัดค้านจากคนทั่วบ้านทั่วเมืองกันแบบข้ามปี
ขณะที่ ผศ.ดร.ยงยุทธ สุขวนาชัยกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มองว่า ไม่มีวิธีไหนที่จะแก้น้ำท่วมได้ 100% ต้นเหตุน้ำท่วมคือ อัตราการไหลของน้ำมาก ทำให้น้ำล้นตลิ่ง ทางออกก็คือ ต้องทำให้อัตราการไหลของน้ำลดลง ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีแต่ต้องทำที่ต้นน้ำ ง่ายที่สุดคือการทำ Detention Pond คล้ายกับแก้มลิง คือให้น้ำมันไหลผ่านอ่างใดสักอ่างหนึ่ง โดยที่มีน้ำปริมาณเท่ากันแต่เมื่อไหลผ่านอ่างคุณสมบัติการไหลด้านชลศาสตร์มันจะทำให้อัตราการไหลสูงสุดของน้ำลูกนี้ลดน้อยลง เมื่อน้ำไหลไปถึงท้ายน้ำความลึกจะน้อยกว่าเดิมก็จะไม่ล้นตลิ่ง
ส่วนเรื่องคอขวดของแม่น้ำ ต้องดูข้อมูลทั้งหมด ถ้าระดับตลิ่งบริเวณคอขวดกับก่อนจะถึงคอขวดเท่ากัน ระดับน้ำตรงคอขวดจะต่ำกว่าบริเวณก่อนจะถึงคอขวด เนื่องจากการอนุรักษ์พลังงานเฉพาะ แล้วตรงคอขวดนี้ถ้าระดับตลิ่งเท่ากัน น้ำที่ไหลเข้าไปเกิดการส่งผ่านไม่ได้ มันก็จะเกิดสิ่งที่ภาษาวิชาการเรียกว่า Choke คือการปรับระดับความสูงของน้ำที่ต้นน้ำเพื่อเพิ่มพลังงานให้มันไหลผ่านไปให้ได้ ผลก็คือระดับน้ำที่ต้นน้ำก่อนคอขวดจะเพิ่มขึ้น แล้วจะล้นตรงนั้นก่อน ถ้าระดับผิวดินเท่ากัน
แต่ทุกวันนี้เราไปโทษคอขวดเพราะน้ำไปท่วมที่คอขวดก่อน เนื่องจากระดับตลิ่งที่คอขวดต่ำกว่าระดับตลิ่งที่ต้นน้ำ ถ้าไปสังเกตดูจะเห็นว่า เวลาน้ำที่ไหลเข้าไปในคอขวดระดับน้ำจะลดลง แต่ความเร็วมันเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ต่อให้ขยายลำน้ำออกไปแล้วก็ต้องดูว่า ความกว้างขนาดนั้นรับน้ำได้เท่าไร คือถ้าน้ำมาเกินกว่าที่จะรับได้มันก็ล้นเหมือนกัน
รวมถึงการสร้างพนังก็เหมือนกับการไปขยายหน้าตัด เพื่อเพิ่มอัตราการไหล แต่ก็สร้างปัญหาอีกเพราะถ้าน้ำไม่ล้นตลิ่งก็ไม่ได้แปลว่าน้ำจะไม่ท่วม ถ้าน้ำในพนังสูงกว่าน้ำระดับผิวดินในเมือง น้ำก็จะผุดขึ้นตามรูระบายน้ำทุกที เพราะรูระบายน้ำไหลลงแม่น้ำหมด ถึงน้ำไม่ล้นตลิ่ง แต่น้ำไปโผล่หลังบ้าน แล้วการที่จะทำพนัง เราถามคนที่อยู่ท้ายน้ำหรือยัง เพราะอย่าลืมว่าเราเพื่อป้องกันตรงนี้ไม่ให้ท่วม แต่ยอดอัตราการไหลสูงสุดของน้ำไม่ได้ลดลง มันก็ไปต่อ คราวนี้ก็ไปล้นที่สารภี ที่ลำพูน ถามว่าอย่างนี้มันยุติธรรมกับเขาหรือเปล่า
ด้านนายนิรันดร์ กิตติกุล ตัวแทนชมรมชาวเชียงใหม่รักฝั่งปิง กล่าวถึงวิธีการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ว่า ต้องป้องกันแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำด้วยการปลูกป่า เพื่อให้ทำหน้าที่อุ้มและชะลอความแรงของน้ำ มีการวางระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันควรฟื้นฟูระบบเหมืองฝายที่มีอยู่ให้อยู่ในสภาพที่ดีเพื่อรองรับและระบายน้ำได้อย่างทั่วถึง
ที่สำคัญที่สุด เห็นว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีการจัดการปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ริมตลิ่งให้ได้โดยเร็ว เพื่อคืนสภาพตลิ่งตามธรรมชาติให้มีความกว้างเหมือนในอดีตด้วย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าวถ้องคำข้างต้น เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2548 คราวน้ำท่วมใหญ่เชียงใหม่ 4 ครั้ง 4 ครา จนนำมาซึ่งข้อพิพาทเรื่อง "พนังกั้นน้ำปิง"ที่ถือเป็น 1 ในโปรเจกต์ "น้ำลด โปรเจกต์โผล่" ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
31 ก.ค.-1 ส.ค.49 เกิดน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่หลายจุดอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะไม่หนักหนาจนย่านเศรษฐกิจจมมิดอยู่ใต้น้ำเท่ากับปี 48 ก็ตาม แต่ก็ทำให้คนเมืองเชียงใหม่ขวัญผวากันไม่น้อย โดยระดับน้ำในแม่น้ำปิงที่จุดตรวจวัด P.1 สะพานนวรัฐในตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อ 10.00 น.(31 ก.ค.) อยู่ที่ระดับ 4.28 เมตร และเพิ่มระดับขึ้น 7-8 ซม./ชั่วโมง แต่จะเพิ่มมากกว่านี้อีกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนที่จะตกลงมาหลังจากนี้ด้วย
ทำนองเดียวกันกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เชียงใหม่เมื่อปีกลาย เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงปัญหานี้อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับเรียกใช้ นายเนวิน ชิดชอบ รักษาการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คนเดิมอีกครั้งว่า
"มีความเป็นห่วงสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ภาคเหนือ และอีสานหลายจังหวัดในขณะนี้ ซึ่งเห็นว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เพราะรัฐบาลไม่สามารถเดินหน้า แผนโครงการแก้ไขปัญหาน้ำทั้งระบบ งบประมาณกว่า 200,000 ล้านบาทได้ เพราะมีวิกฤตการณ์ทางการเมือง จึงทำให้โครงการใหญ่ๆ ชะงักงัน และต้องรอหลังการเลือกตั้ง เพราะในขณะนี้ทำสิ่งใดได้ลำบาก อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ดูแลปัญหาอย่างเต็มที่เพราะมีการเตรียมการล่วงหน้า โดยสั่งการให้เทศบาล และจังหวัดช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าว(1 ส.ค.49)
อย่างไรก็ตามช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีการเสวนาเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ และปัญหาอันเนื่องมาจาก "พนังกั้นน้ำปิง"หลายครั้ง
นายธาดา สุขะปุณพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์อุทกวิทยาและบริหารน้ำภาคเหนือตอนบน เคยนำเสนอข้อมูลลักษณะทางกายภาพตัวเมืองเชียงใหม่ และปัญหาน้ำท่วม ในเวทีระดมข้อมูล-รับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ ที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพย์ฯ จัดขึ้นเมื่อต้นปี 49 ว่า ตามสถิติเชียงใหม่เป็นเมืองที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมอยู่แล้ว เนื่องจากตัวเมืองเป็นแอ่งรองรับการไหลลงมารวมกันของน้ำ ทั้งยังตั้งอยู่ในแนวการเคลื่อนตัวของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่มักจะมีฝนตกมากในฤดูฝน
นอกจากนี้ ตามสถิติพบว่า เฉลี่ยทุกๆ 8 ปี จะมีพายุหมุนพัดผ่านในช่วงเดือนส.ค.-ก.ย.และตามบันทึกยังระบุด้วยว่า เคยมีพายุหมุนพัดผ่านสองปีซ้อน ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ ที่จะอาจจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันกับปี 48 ขึ้นอีก ซึ่งปีที่ผ่านมา มีพายุหมุนพาดผ่านเชียงใหม่ถึง 3 ลูกซ้อน จนเป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมใหญ่
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมหนัก ในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ มาจากความกว้างของลำน้ำแม่ปิงที่นับวันยิ่งมีความคับแคบมาก โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ ส่งผลให้เมื่อน้ำจากทางต้นน้ำเคลื่อนมาถึงแล้ว มีปัญหาในการระบายน้ำจนเกิดล้นฝั่ง อีกส่วนหนึ่งมาจากการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าต้นน้ำ ทำให้ไม่มีตัวชะลอน้ำปริมาณมากๆ ก่อนที่จะไหลเข้าสู่ตัวเมือง โดยสังเกตได้จากสีของน้ำที่ขุ่น เพราะพัดผ่านหน้าดินและทำให้เกิดโคลนถล่ม เนื่องจากไม่มีต้นไม่เป็นตัวยึดหน้าดิน
ดร.ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์ หัวหน้าโครงการวิจัยเมืองยั่งยืน สถาบันวิจัยสังคม มช. ให้ความเห็นว่า ขณะนี้ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ที่เกิดขึ้น มักจะถูกให้ความสำคัญแต่เฉพาะปัญหาน้ำท่วมในเขตตัวเมืองเป็นหลักเท่านั้น โดยไม่มองครอบคลุม ไปถึงปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในพื้นที่รอบนอกเท่าที่ควร
ข้อเท็จจริงแล้ว ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้น มีสาเหตุมาจากการพัฒนาที่ไม่เป็นไปตามผังเมือง มีการใช้ประโยชน์ที่ดินผิดประเภท รวมไปถึงการถมพื้นที่รองรับน้ำ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น หรือการรุกล้ำพื้นที่ริมน้ำทำให้เกิดปัญหาตามมา ซึ่งควรจะมีการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ กำหนดการเจริญเติบโตของเมือง และมีการวางแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ตลอดจนน่าจะมีการรื้อฟื้นภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น ระบบเหมืองฝายระบายน้ำ ซึ่งควรนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหา
ดร.วสันต์ จอมภักดี รองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวในเวทีเสวนาเรื่อง "น้ำท่วมเจียงใหม่ เยียะจะใดแก้" 15 ก.ค.49 ว่า สาเหตุที่น้ำปิงล้นตลิ่งเข้าท่วมเมืองเชียงใหม่ เป็นเพราะความกว้างของแม่น้ำปิง ปัจจุบันคับแคบมาก บางจุดกว้างเพียง 30 เมตร ทั้งที่อดีตเคยกว้างถึง 200 เมตร โดยมีต้นเหตุมาจากการบุกรุก หรือถมที่รุกล้ำเข้าไปในเขตลำน้ำ ทั้งโดยรัฐ-เอกชน ทางแก้ก็คือ หน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องเร่งแก้ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ริมน้ำโดยเร็ว เพื่อคืนพื้นที่ริมตลิ่งให้แม่น้ำปิงสามารถรองรับน้ำได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ แม่น้ำปิง มีพื้นที่รองรับน้ำฝน 34,856 ตารางกิโลเมตร ช่วงไหลผ่านตัวเมืองสามารถรองรับน้ำได้ 460 ลบ.ม./วินาที หากน้ำมากกว่านี้ นั่นหมายถึงจะต้องทะลักเข้าท่วมตัวเมืองแน่นอน
อีกประเด็นหนึ่งที่มีผลต่อการเกิดน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ ก็คือ โครงการพัฒนาจำนวนมากที่ถูกอัดฉีดลงมาตลอดระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือ ช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีโครงการตามข้อสั่งการของนายกฯ ลงมาที่เชียงใหม่สารพัดโครงการ เช่น ถนนอ้อมเมืองสายมหิดล -โครงการถนน Local Road เลียบทางรถไฟเชื่อมเชียงใหม่-ลำพูน ที่กลายเป็นเขื่อนยักษ์กั้นน้ำไม่ให้ระบายออกไป ,เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี -พืชสวนโลก ที่ต้องผจญกับข้อหาเป็นต้นเหตุหนึ่งทำให้เกิดน้ำท่วมเมือง ฯลฯ
โดยเฉพาะถนนอ้อมเมือง และ Local Road มีข้อมูลชัดเจนว่า ทำให้น้ำไม่สามารถระบายออกได้ ซึ่งสุดท้ายเมื่อคราวน้ำท่วมปี 48 ก็ต้องทุบทิ้งเกาะกลางถนนอ้อมเมืองสายมหิดล เพื่อระบายน้ำในช่วงที่ท่วมสูงมาก
ทั้งหมดนี้ ยังไม่ได้หมายรวมถึงข้อติฉินนินทา ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ครั้งล่าสุด (31 ก.ค.-1 ส.ค.49)เป็นเพราะเขาปล่อยน้ำมาเพื่อพนังกั้นน้ำปิงที่ถูกต่อต้านคัดค้านจากคนทั่วบ้านทั่วเมืองกันแบบข้ามปี
ขณะที่ ผศ.ดร.ยงยุทธ สุขวนาชัยกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มองว่า ไม่มีวิธีไหนที่จะแก้น้ำท่วมได้ 100% ต้นเหตุน้ำท่วมคือ อัตราการไหลของน้ำมาก ทำให้น้ำล้นตลิ่ง ทางออกก็คือ ต้องทำให้อัตราการไหลของน้ำลดลง ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีแต่ต้องทำที่ต้นน้ำ ง่ายที่สุดคือการทำ Detention Pond คล้ายกับแก้มลิง คือให้น้ำมันไหลผ่านอ่างใดสักอ่างหนึ่ง โดยที่มีน้ำปริมาณเท่ากันแต่เมื่อไหลผ่านอ่างคุณสมบัติการไหลด้านชลศาสตร์มันจะทำให้อัตราการไหลสูงสุดของน้ำลูกนี้ลดน้อยลง เมื่อน้ำไหลไปถึงท้ายน้ำความลึกจะน้อยกว่าเดิมก็จะไม่ล้นตลิ่ง
ส่วนเรื่องคอขวดของแม่น้ำ ต้องดูข้อมูลทั้งหมด ถ้าระดับตลิ่งบริเวณคอขวดกับก่อนจะถึงคอขวดเท่ากัน ระดับน้ำตรงคอขวดจะต่ำกว่าบริเวณก่อนจะถึงคอขวด เนื่องจากการอนุรักษ์พลังงานเฉพาะ แล้วตรงคอขวดนี้ถ้าระดับตลิ่งเท่ากัน น้ำที่ไหลเข้าไปเกิดการส่งผ่านไม่ได้ มันก็จะเกิดสิ่งที่ภาษาวิชาการเรียกว่า Choke คือการปรับระดับความสูงของน้ำที่ต้นน้ำเพื่อเพิ่มพลังงานให้มันไหลผ่านไปให้ได้ ผลก็คือระดับน้ำที่ต้นน้ำก่อนคอขวดจะเพิ่มขึ้น แล้วจะล้นตรงนั้นก่อน ถ้าระดับผิวดินเท่ากัน
แต่ทุกวันนี้เราไปโทษคอขวดเพราะน้ำไปท่วมที่คอขวดก่อน เนื่องจากระดับตลิ่งที่คอขวดต่ำกว่าระดับตลิ่งที่ต้นน้ำ ถ้าไปสังเกตดูจะเห็นว่า เวลาน้ำที่ไหลเข้าไปในคอขวดระดับน้ำจะลดลง แต่ความเร็วมันเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ต่อให้ขยายลำน้ำออกไปแล้วก็ต้องดูว่า ความกว้างขนาดนั้นรับน้ำได้เท่าไร คือถ้าน้ำมาเกินกว่าที่จะรับได้มันก็ล้นเหมือนกัน
รวมถึงการสร้างพนังก็เหมือนกับการไปขยายหน้าตัด เพื่อเพิ่มอัตราการไหล แต่ก็สร้างปัญหาอีกเพราะถ้าน้ำไม่ล้นตลิ่งก็ไม่ได้แปลว่าน้ำจะไม่ท่วม ถ้าน้ำในพนังสูงกว่าน้ำระดับผิวดินในเมือง น้ำก็จะผุดขึ้นตามรูระบายน้ำทุกที เพราะรูระบายน้ำไหลลงแม่น้ำหมด ถึงน้ำไม่ล้นตลิ่ง แต่น้ำไปโผล่หลังบ้าน แล้วการที่จะทำพนัง เราถามคนที่อยู่ท้ายน้ำหรือยัง เพราะอย่าลืมว่าเราเพื่อป้องกันตรงนี้ไม่ให้ท่วม แต่ยอดอัตราการไหลสูงสุดของน้ำไม่ได้ลดลง มันก็ไปต่อ คราวนี้ก็ไปล้นที่สารภี ที่ลำพูน ถามว่าอย่างนี้มันยุติธรรมกับเขาหรือเปล่า
ด้านนายนิรันดร์ กิตติกุล ตัวแทนชมรมชาวเชียงใหม่รักฝั่งปิง กล่าวถึงวิธีการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ว่า ต้องป้องกันแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำด้วยการปลูกป่า เพื่อให้ทำหน้าที่อุ้มและชะลอความแรงของน้ำ มีการวางระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันควรฟื้นฟูระบบเหมืองฝายที่มีอยู่ให้อยู่ในสภาพที่ดีเพื่อรองรับและระบายน้ำได้อย่างทั่วถึง
ที่สำคัญที่สุด เห็นว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีการจัดการปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ริมตลิ่งให้ได้โดยเร็ว เพื่อคืนสภาพตลิ่งตามธรรมชาติให้มีความกว้างเหมือนในอดีตด้วย