xs
xsm
sm
md
lg

ดับเครื่องชนทักษิณ (8)

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

จดหมายถึงหัวหน้า และ ส.ส.ไทยรักไทยในวันเกิด

เรียน หัวหน้าพรรคและอดีต ส.ส.ไทยรักไทย

ในวาระมงคลทวีคูณ ครบรอบวันเกิดพรรคและหัวหน้า 14 กรกฎาคม และ 26 กรกฎาคมนี้ ผมขอส่งความปรารถนาดีมายังทุกคน ขอให้กำลังใจให้บังเกิดความกล้าหาญ มีสติปัญญา รู้ถูกรู้ผิดในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ขอให้แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด

ในฐานะผู้หวังดี ใคร่ขอให้ท่านหัวหน้าและสมาชิกช่วยกันใคร่ครวญให้ดี ว่าทำไมพรรคที่ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นในสมัยที่ 2 จึงถูกผู้คนจำนวนมากพากันเกลียดชังอย่างไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

คนทั้งพรรคมี “จิตรู้” ในเรื่องนี้บ้างหรือไม่ สิ่งใดเกิดเพราะการกระทำของหัวหน้า สิ่งใดเกิดเพราะการกระทำของพรรค สิ่งใดเป็นเรื่องส่วนบุคคล สิ่งใดเป็นเรื่องของหมู่คณะ

ในช่วงระหว่างวันครบรอบคล้ายวันเกิดสองชั้น ห่างกันเพียง 12 วัน สมาชิกที่รักพรรคอย่างแท้จริงคงสะเทือนใจที่ได้รับข่าวอัปมงคลเป็นของขวัญวันเกิดถึง 3-4 อย่างพร้อมๆ กัน จึงน่าจะต้องตั้งคำถามว่าทำไม (1) แพ้การเลือกตั้ง ส.ก.-ส.ข.ในเขตกทม.อย่างย่อยยับ (2) กกต.ที่เป็นผู้พิทักษ์พรรค ทรท.ถูกถีบลงจากเก้าอี้ทั้งคณะ เพราะศาลพิพากษาจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา และไม่ให้ประกัน (3)นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรีซาวเสียงมาเป็นที่โหล่ในการแข่งขันเป็นเลขาธิการสหประชาชาติ (4)18 กรกฎาคมนี้ หัวหน้าพรรคประกาศต่อหน้าคนเรือนแสน ว่า ศาลขาดวุฒิภาวะ และบ่นในวันเกิดอีกว่าไม่มีเส้นต้องไปกินกวยจั๊บ ส่อว่าเป็นการพาดพิงถึงคำพิพากษาของศาลในคดีกกต. ซึ่งทนายส่วนตัวของหัวหน้าประกาศว่า ศาลตัดสินด้วยความรู้สึก มีธงไว้ล่วงหน้า และขัดกับหลักกฎหมาย

ทั้งหมดนี้ อาจจะทำให้ทั้งหัวหน้าทั้งทนายเฉียดคุกเข้าไปเต็มที ถ้าบังเอิญหลบไม่พ้น พรรคทั้งพรรคก็จะล้มครืน เพราะเป็นพรรคหัวหน้าตั้ง จึงมีลักษณะและพฤติกรรมเป็น “ของหัวหน้า-เพื่อหัวหน้า-โดยหัวหน้า” มาตลอด

เมื่อทั้งพรรคตกอยู่ในท่ามกลางอุปมงคลเช่นนี้ ของขวัญวันเกิดที่ผมจะมอบให้ คงไม่มีอะไรดีกว่าคำสอนว่าควรกระทำอย่างไร ชีวิตจึงจะเป็นมงคล คำสอนนี้พรรคควรจะนำไปพิมพ์แจกจ่ายสมาชิกทั้งพรรค และนำไปติดกรอบไว้ตามบันไดและห้องโถงที่ทำการและสำนักงานของพรรค เพื่อจะได้เป็นเครื่องเตือนใจให้กระทำแต่สิ่งที่เป็นมงคล

เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง มงคลสูตร ในขุททกปาฐะ ดังนี้

*ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ครั้นปฐมยามล่วงไป เทวดาตนหนึ่งมีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

* เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก ผู้หวังความสวัสดี ได้พากันคิดมงคลทั้งหลาย ขอพระองค์จงตรัสอุดมมงคล

พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาตอบว่า

อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา

(การไม่คบคนพาลทั้งหลาย 1 การคบบัณฑิตทั้งหลาย 1 )

ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ

( การบูชาคนที่ควรบูชาทั้งหลาย 1 ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด )

1. อะเสวะนา จะ พาลานัง - การไม่คบคนพาล หัวหน้าพรรคสัญญาแต่แรกว่าคณะรัฐมนตรีจะไม่มียี้ ยี้หรือไม่ยี้ก็ไม่รู้ ปรากฏว่ากลุ่ม 16 ครองพื้นที่แห่งอำนาจในรัฐบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลุ่ม 16 นี้คือกลุ่มที่ไปกว้านซื้อที่ดินราคาถูกในจังหวัดหนองคายมาจำนองราคาแพงๆ จนเป็นจุดเริ่มให้ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การต้องล้มไป และเนวิน ชิดชอบ สมาชิกสำคัญของกลุ่ม ต้องคำสั่งศาลอาญาให้จำคุกแต่รอลงอาญาได้เป็นรัฐมนตรี นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในระบบการเมืองที่พัฒนาหรือหัวหน้าพรรคมีจริยธรรม อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งที่เคยร่วมหอลงโรงกับรัฐบาลเชื่อว่าแกนอำนาจที่แท้จริงของรัฐบาลเดี๋ยวนี้ คือทักษิณ เนวิน ยงยุทธ บรรดาคนพาลที่คนเหล่านี้คบ ที่ปรากฏตัวเด่นชัด คือพวกที่ไปล้อมกรอบประชาธิปัตย์ที่เชียงใหม่ ล้อมกรอบพันธมิตรฯ ที่อุดรฯ ปิดล้อมคมชัดลึก และกดดันศาลในกรุงเทพฯ ทั้งหมดนี้สาวไปได้ว่าใครบงการ

2. ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา-การคบบัณฑิต อันนี้ไม่ต้องอธิบาย แต่ขอให้ดูความกระเจิดกระเจิงของบุคคลดังต่อไปนี้ เกษม วัฒนชัย ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ วิษณุ เครืองาม บวรศักอิ์ อุวรรณโณ ลิขิต ธีรเวคิน ทั้งหมดนี้เป็นราชบัณฑิต ยังบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตอีกนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันท่านหัวหน้าก็สร้างวาทกรรมการเมืองใหม่ ซึ่งตามตัวอักษรและในตัวของมันเองเป็นสิ่งถูกต้อง จนกระทั่งนำไปคิดอย่างเชื่อมโยงในโครงสร้างรวม จึงจะเห็นว่าเป็นการอ้างผิดๆ นั่นก็คือ อย่าดูถูกคนบ้านนอก เขาฉลาดเท่ากับผู้มีปริญญาสูงๆ คนหนึ่งเสียงหนึ่งเท่าเทียมกัน แต่ผิดสูตรของพระพุทธเจ้าข้อสอง

3. ปูชา จะ ปูชะนียานัง-การบูชาคนที่ควรบูชา ข้อนี้ขอให้นำมาพิจารณาบทบาทและท่าทีของหัวหน้าพรรคต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งบุคคลในข้อ 2 เกือบทั้งหมดเห็นว่าน่าจะเป็นการจาบจ้วง แทนที่ท่านหัวหน้าจะชี้แจงให้หนักแน่นสุภาพจนหายสงสัย หรือแม้กระทั่งขอพระราชทานอภัย กลับโพล่งออกมาว่าถ้าท่านไม่จงรักภักดี “ผีที่ไหนจะจงรักภักดี” นอกจากจะมิใช่สัมมาวาจาแล้ว ก็เป็นการขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าในข้อนี้อย่างชัดแจ้ง

พระผู้มีพระภาคตรัสอุดมมงคลทั้ง 38 ประการ แต่ผมยกมาเพียง 3 ประการแรก ถึงแม้ว่าท่านหัวหน้ายอมรับความจริงใจของผมไม่ได้ ก็ขอให้พิจารณาเอาเองเถิดว่าท่านทำสิ่งใดตรงกันข้ามกับคำสอนของพระพุทธเจ้าใช่หรือไม่ จึงเกิดอัปรีย์อัปมงคลยิ่งนัก

ผมอยากชี้ทางรอดให้กับท่านหัวหน้าและพรรค เพราะผมเชื่อว่า บุคคลทั้งหลาย ไม่มีใครจะชั่วตลอด-ดีตลอด คนที่ผิดไปแล้ว หากพิจารณาเห็นว่าตนผิด ไม่มัวติดอยู่กับอัตตา และขุมนรกที่ชื่อว่า โมหะ โลภะและมานะ ก็อาจจะยังมีทาง

ผมขอให้ท่านเคารพคำตัดสินของศาลเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมนี้อย่างจริงใจ และนำมาใคร่ครวญทำประโยชน์ อย่าดื้อดึงทะนงตนว่าจะล้มศาลได้ด้วยกลอุบายนานา ข้อที่ศาลชี้ชัดว่า กรรมการเลือกตั้งทั้งสามกระทำผิดไม่เป็นกลาง และช่วยเหลือพรรคไทยรักไทยทำลายระบอบรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยนี้สาหัสนัก อันจะนำไปถึงการพิจารณาในวันหน้าว่า แท้ที่จริงแล้ว พรรคไทยรักไทยคือผู้บงการ จ้างวานหรือสมคบกับ กกต.กระทำการดังกล่าว

นอกจากนั้น ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่หนักพอๆ กัน ดังต่อไปนี้

(1) ความผิดฐานละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา 8 “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” การกล่าวหา “บุคคลผู้ดูเหมือนมีบารมีนอกระบบรัฐธรรมนูญ” และไม่ยอมระบุตามที่ถูกเรียกร้องในภายหลังหนึ่ง และการที่นักปราชญ์ทางภาษาและนิติศาสตร์ตีความว่าบุคคลผู้นั้นคือในหลวง หนึ่ง และการที่หัวหน้าพรรคจดหมายไปถึงประธานาธิบดีบุชกล่าวถึง extra-constitutional tactics อีกหนึ่ง ยิ่งช้าไป หัวหน้าพรรคก็ยิ่งจะหมดโอกาสแก้ตัว

(2) ความผิดฐานละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา ม. 224 “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา” การที่นายกรัฐมนตรีไปลงนามสนธิสัญญาการค้าเสรี FTA กับประเทศต่างๆ โดยพลการ ไม่ผ่านรัฐสภาและปราศจากพระปรมาภิ ไธย สัญญาเหล่านี้บางฉบับเช่นกับออสเตรเลีย มีผล “เปลี่ยนแปลงเขตอำนาจแห่งรัฐ” เพราะยินยอมมิให้ใช้กฎหมายไทยติดตามเอาทรัพย์สินที่มิชอบคืนจากออสเตรเลียได้

(3) ความผิดฐานละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา ม.181 “การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง เว้นแต่ในกรณีจำเป็นรีบด่วนจะจ่ายไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีเช่นว่านี้ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายชดใช้ใน พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไปหรือเว้นแต่เป็นกรณีตาม ม.230 วรรค 2” สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินกำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ ปรากฏว่ามีมากมาย รวมทั้งการใช้เงินลอตเตอรี่ผิดๆ

(4) ละเมิดกฎหมายพรรค ม.23 “ห้ามมิให้พรรคการเมืองรับบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยโดยการเกิดเข้าเป็นสมาชิกพรรคหรือดำรงตำแหน่งใดๆ ในพรรคการเมือง หรือยอมให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมือง” มีพยานหลักฐานคือบัตรประจำตัวสมาชิก ที่มิได้สัญชาติด้วยการเกิด นามบัตรและหนังสือแนะนำให้บุคคลดังกล่าวทำประโยชน์ เรื่องนี้มีบทลงโทษ คือ ม. 77 “กรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือกรรมการสาขาพรรคการเมืองผู้ใดรู้อยู่แล้วแต่จัดให้พรรคการเมืองกระทำการฝ่าฝืน ม. 23 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหดห้าปี”

(5) ละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง ม. 44 “ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ตัวเองหรือผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมืองใด หรืองดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองใด ด้วยวิธีการดังนี้

(2) จัดทำให้เสนอให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถาบันการศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด” พยานหลักฐานมีอยู่มากมาย แต่ขณะนี้ใช้อำนาจครอบงำไว้ ซึ่งจะต้องรับโทษ ตาม ม.101 “ผู้ใดฝ่าฝืน ม. 44 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี” ข้อ 4 กับ 5 นี้ฟ้องศาลอาญาได้โดยตรง และพิจารณาได้รวดเร็ว

(6) และอีกคดีหนึ่งเป็นคดีอาญาส่วนตัวของหัวหน้าพรรคกับคุณหญิงคือคดีเบิกความเท็จ ตู่เอาของเขามาเป็นของตน ผมยังนึกไม่ออกว่าจะรอดได้อย่างไร เพระแพ้มา 5 ศาลแล้ว

ทางรอดของพรรคคือ สมาชิกต้องช่วยกันให้กำลังใจหัวหน้าให้กลับใจ สารภาพ ร่วมมือ ให้พยานหลักฐาน และช่วยบรรเทาความเสียหาย มิใช่เดินหน้าหาอำนาจรัฐ หรือกดดันครอบงำขบวนการยุติธรรม ซึ่งต่อไปนี้จะกระทำมิได้แล้วเช่นเดียวกับคดี กกต.

สำหรับทางรอดของหัวหน้ามีอยู่ทางเดียวคือลาออกและเลิกเล่นการเมือง (ชั่วคราว?) ผมมองไม่เห็นทางอื่น นอกจากมาตรา 216 วรรค 1 ซึ่งไม่พึงปรารถนา

แต่ถ้าหากมันจะต้องเกิดขึ้น กวีแผ่นดินส่งคำอวยพรล่วงหน้าผ่านผมมา

  “สรชิต นรกหมกไหม้     พาลผี เร็วรา
น้องใหม่ใกล้อเวจี           มี่ร้อง
ภพหน้าอย่ามามี             เชื้อชาติ ไทยเลย
เหลวเปล่าฟ้องโลกฟ้อง    ทั่วฟ้าขยะแขยง”


อังคาร กัลยาณพงศ์ (5 มิถุนายน 2542)

สุขสันต์-วันเกิด

ปราโมทย์ นาครทรรพ
กำลังโหลดความคิดเห็น