xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 29 ปาฏิหาริย์อันลึกลับ (ต่อ-จบ)

เผยแพร่:   โดย: เรืองวิทยาคม

ดูลักษณะท่านั่งก็ทราบได้จากลักษณะเฉพาะในทันทีว่าเป็นภาพของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี มีข้อความพิมพ์ไว้ข้างใต้ภาพว่า “เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี พระผู้ทรงบำเพ็ญพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ สำเร็จทรงพรหมวิหารชั้นสูง เป็นเอกพระมหาเถราจารย์ ทรงพระอิทธิปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ มีพระอัจฉริยานุภาพเป็นที่น่าเลื่อมใส น่าถวายความเคารพบูชาอันแท้จริง”

ผมมีอาการขนลุกซู่ชูชันขึ้นในทันทีราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านจากภาพถ่ายนั้นจนสะดุ้งขึ้นทั้งตัว พอตั้งสติได้ผมก็พนมมือยกรูปนั้นเทิดไว้เหนือศีรษะ ในใจก็ภาวนาคาถาอาราธนาพระว่า “พุทธัง อาราธนานัง ธัมมัง อาราธนานัง สังฆัง อาราธนานัง” จนครบสามจบ

การยกมือขึ้นพนมพร้อมกับรูปถ่ายและการภาวนาเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะสตินึกรู้ว่าความปรารถนาที่จะแสวงหาพระสมเด็จรุ่นแรก ๆ แม้ไม่ได้เป็นพระเครื่องแต่ก็ได้เป็นภาพถ่ายอันอยู่ในมือบัดนี้แล้ว และนี่เกิดแต่เจ้าประคุณสมเด็จบันดาลให้เป็นไปตั้งแต่เมื่อเห็นแสงไฟในตอนกลางคืน และสะดุดใจมาเปิดค้นหาในตู้พระไตรปิฎก จึงได้พบภาพดังกล่าว เพราะหาไม่แล้วไหนเลยจะค้นหาภาพดังกล่าวได้พบ

ผมอาราธนาพระจบสามรอบก็เอาภาพถ่ายเจ้าประคุณสมเด็จนั้นเข้าไปไว้ที่โต๊ะหนังสือของผมแล้วลงมาปรนนิบัติพระ ในขณะที่จิตใจก็อิ่มเอิบเบิกบานด้วยปิติว่าความปรารถนาที่จะได้พระสมเด็จแต่ไม่สมความปรารถนา ครั้นวางความปรารถนาลงแล้วสิกลับได้ภาพถ่ายของเจ้าประคุณซึ่งดูก็รู้ว่าเป็นภาพเก่าแก่และได้มาโดยไม่ต้องหาซื้อแต่ประการใด

ความอันพิมพ์ไว้ใต้ภาพของเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเนื้อความอันไพเราะงดงามและเคร่งขลัง บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงศีลาจริยาวัตรและภูมิธรรมในพระพุทธศาสนาของเจ้าประคุณสมเด็จอย่างถูกตรงที่สุดเท่าที่จะหาคำบรรยายภาพเจ้าประคุณสมเด็จได้

ความที่ว่าเจ้าพระคุณเป็นพระผู้ทรงบำเพ็ญพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์นั้น ควรสังเกตว่าได้ใช้คำว่า “ทรง” ซึ่งเป็นความหมายทางราชาศัพท์ที่มีฐานันดรศักดิ์ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป บ่งบอกถึงความเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่ใช่คำที่จะพึงใช้กับพระที่มีสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ยกเว้นก็แต่สมเด็จพระสังฆราชซึ่งเทียบชั้นฐานันดรศักดิ์เท่ากับหม่อมเจ้า

เจ้าประคุณสมเด็จถึงจะทรงสมณศักดิ์เป็นที่สมเด็จพระราชาคณะแต่ก็ยังไม่ถึงชั้นสมเด็จพระสังฆราช โดยปกติจึงไม่อาจใช้คำว่าทรงได้ การใช้คำว่าทรงในที่นี้มีมาแต่เหตุที่เชื่อถือกันว่าเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย ตั้งแต่ครั้งที่ยังทรงปฏิบัติราชการอยู่ที่กรุงเก่า เกิดแต่มารดาชื่อเกตุ (ธิดานายชัย) มีสูติกาลเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก จ.ศ.1150 ดังนั้นถึงแม้จะไม่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นที่หม่อมเจ้า แต่ก็เล่าขานกันสืบต่อมาว่าเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นหม่อมเจ้า คือเกิดแต่พระราชบิดาในขณะที่ทรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าฟ้ากับมารดาซึ่งเป็นคนสามัญ

ดังนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัยเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติแล้วก็ทรงโปรดปรานเจ้าประคุณสมเด็จซึ่งขณะนั้นยังเป็นแค่สามเณรเป็นพิเศษ ถึงกับทรงถวายเรือบัลลังก์กัญญาหลังคากระแชงเป็นพาหนะให้ท่านใช้สอยตามอัธยาศัย มีพลพายตามฐานันดรศักดิ์ชั้นหม่อมเจ้าเป็นกรณีพิเศษด้วย

บางตำนานระบุว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์แล้ว ทรงถือว่าเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นหม่อมเจ้า โดยทรงยกย่องเป็นการส่วนพระองค์เสมือนหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จเป็นหม่อมเจ้า และทรงไว้วางพระราชหฤทัยเสมือนหนึ่งว่าเป็นพระราชวงศ์

ดังนั้นหลายครั้งหลายหนที่เจ้าประคุณสมเด็จยามเดินทางโดยทางเรือจึงใช้เรือบัลลังก์กัญญา มีพลทหารพายตามอิสริยยศของหม่อมเจ้า บางครั้งเวลาออกบิณฑบาตรเจ้าประคุณคิดสนุกขึ้นมาก็ออกบิณฑบาตรด้วยเรือบัลลังก์กัญญานี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับพระราชทานสิทธิ์พิเศษจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัวสามารถเข้านอกออกในพระบรมมหาราชวังได้โดยไม่ต้องขอรับพระบรมราชานุญาต

เหตุนี้จึงเป็นที่มาของกรณีที่เจ้าประคุณสมเด็จจุดไต้เข้าไปในพระบรมมหาราชวังสมัยเมื่อครั้งที่มีคำเล่าขานในทางร้ายว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้มีบาทบริจาริกา พระสนมและนางกำนัลเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นทำนองถวายพระพรเตือน และหลังจากครั้งนั้นแล้วก็ปรากฏว่าพระเจ้าอยู่หัวมิได้รับสตรีใดเป็นบาทบริจาริกาอีกเลย

สมัยหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จได้รับอาราธนาเข้าไปบิณฑบาตรข้างในพระตำหนักของฝ่ายในซึ่งจัดให้มีการรับบิณฑบาตรโดยทางเรือในสระภายในบริเวณพระตำหนัก เจ้าประคุณสมเด็จรับบิณฑบาตรแล้วก็ไม่ยอมขึ้นจากเรือ คงสั่งให้พายเรือวนเวียนอยู่ในสระเป็นหลายรอบแต่มิได้ถวายพระพรประการใด ในชั้นหลังมีผู้สันนิษฐานว่าการกระทำของเจ้าประคุณในครั้งนั้นคือการเตือนด้วยปริศนาธรรมว่าจะบังเกิดเหตุเรือล่มและจะสูญเสียพระมเหสีและพระธิดา แต่ไม่สามารถถวายพระพรโดยตรงได้เนื่องจากเป็นการขัดกับวิบากกรรม ต่อมาเจ้านายของพระตำหนักนั้นได้รับสถาปนาเป็นที่พระมเหสีในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง และเกิดเหตุการณ์เรือล่มอันลือลั่นอยู่ในประวัติศาสตร์

เจ้าประคุณสมเด็จอุปสมบทมาตั้งแต่น้อย มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีด่าง ไม่มีพร้อย หลังจากอุปสมบทแล้วก็มุ่งมั่นศึกษาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ถือเพศพรหมจรรย์ตามคำตรัสสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างครบถ้วน เหตุนี้จึงเป็นผู้บำเพ็ญพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ สอดคล้องกับพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสั่งแก่ภิกษุทั้งหลายในการออกไปประกาศพระศาสนาว่าเธอทั้งหลายจงจาริกไปประกาศพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ทั้งอรรถะและพยัญชนะ ให้งดงามทั้งเบื้องต้น ทั้งในท่ามกลางและในที่สุด

ความที่ว่าเจ้าประคุณสมเด็จสำเร็จพรหมวิหารชั้นสูงนั้น คำว่า “พรหมวิหาร” ในที่นี้หมายความรวมถึงพรหมวิหารธรรมคือธรรมที่ทำให้เป็นพรหม ซึ่งประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาอย่างหนึ่ง และหมายถึงที่อยู่ที่อาศัยของจิตที่มีชื่อว่าพรหมวิหารในความหมายที่เนื่องกับที่อยู่ที่อาศัยของจิตที่ชื่อว่าทิพย์วิหาร พรหมวิหาร และอริยะวิหาร ที่อยู่ของจิตซึ่งเรียกว่าวิหารนี้หมายถึงที่อยู่ของจิตของผู้บรรลุภูมิธรรมในระดับต่าง ๆ กัน ผู้บรรลุภูมิธรรมขั้นสูงก่อนจะถึงขั้นเป็นพระอรหันต์จะมีจิตที่เสวยอยู่ในวิหารที่เรียกว่าทิพย์วิหารหรือพรหมวิหาร

คำบรรยายดังกล่าวนี้จึงมีความหมายที่บ่งบอกว่าเจ้าประคุณสมเด็จบรรลุภูมิธรรมขั้นสูง ใกล้จะถึงหรืออาจเข้าถึงความเป็นพระอริยบุคคลแล้ว จิตของเจ้าประคุณจึงเสวยอยู่ในวิหารระดับที่เรียกว่าพรหมวิหารขั้นสูงดังนี้

ความที่ว่าเจ้าประคุณเป็นเอกพระมหาเถราจารย์ ทรงพระอิทธิปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ ย่อมหมายความว่าในบรรดาพระมหาเถระในยุคนั้นสมัยนั้นยกย่องและถือกันว่าเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเอกพระมหาเถราจารย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีความสามารถทางอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์อันเป็นที่ประจักษ์ แม้ดับขันธ์แล้วถึงกว่าร้อยปี ณ บัดนี้อิทธิปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าประคุณสมเด็จก็ยังเป็นสิ่งที่ผู้นับถือศรัทธาจำนวนมากยังสามารถสัมผัสและรับรู้ได้อยู่อย่างชัดเจน


การที่จะกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้นั้น ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าจะต้องบรรลุภูมิธรรมขั้นสูงถึงจตุตถฌาน หรือฌานที่สี่ของรูปฌานเป็นอย่างต่ำ เป็นภาวะธรรมที่ทำให้นามกายแปรเปลี่ยนเป็นทิพย์กาย และเมื่อเข้าอุปจารสมาธิแล้วก็สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ได้

ความที่ว่าเจ้าประคุณมีพระอัจฉริยานุภาพเป็นที่น่าเลื่อมใส น่าถวายความเคารพ ย่อมหมายความว่าไม่เพียงแต่มีความบริสุทธิ์บริบูรณ์ บรรลุธรรมขั้นสูง ทรงอิทธิปาฏิหาริย์เท่านั้น ยังมีความเป็นอัจฉริยะที่น่าเลื่อมใสของคนทั้งปวงอีกด้วย และอัจฉริยภาพนั้นก็ได้รับการยอมรับยกย่องโดยทั่วไปแม้แต่พระเจ้าอยู่หัว.

โปรดติดตามตอนที่ 30 “สามตัวประหลาดแห่งวงการหมากฮอส ตอน 1” ในวันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2549
กำลังโหลดความคิดเห็น