xs
xsm
sm
md
lg

จากตั๋งโต๊ะ และโจโฉ ถึง ตั้งโต๊ะ และโทโส

เผยแพร่:   โดย: สปาย หมายเลขหก

ย้อนกลับไปสู่เมื่อครั้ง พ.ศ. 2535 เมื่ออำนาจทางทหารไม่ได้ถูกแยกส่วน หลังจากที่ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ “บิ๊กจ๊อด” ทำรัฐประหาร รสช. และต่อด้วย พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก, พล.อ.ร.อ.ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.วิมล วงศ์วานิช หลุดจากกองทัพบกไปเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยผู้ว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.พิศิษฐ์ ศาลิคุปต์ เสนาธิการทหาร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม

โดยการจัดตำแหน่งทางกองบัญชาการทหารสูงสุดนั้น พล.อ.อ.วรนาถ อภิจารี เป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำตำแหน่งคือ พล.อ.อ.บรรจง อุดมสรยุทธ (ขณะนั้นเป็น พล.อ.ท.) ส่วนตำแหน่งเดียวกันคือ หัวหน้าฝ่ายทหารฝ่ายเลขาธิการประจำ พล.อ.วิมล คือ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร และผู้ที่เป็นหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด คนที่ 3 ซึ่งเป็นทหารเรือคือ พล.ร.อ.หัน สกุลพานิช ได้แก่ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ขณะมียศเป็น พล.ท.เท่ากับ พล.อ.ธีรเดช ซึ่งแทนที่ พล.ร.อ.หัน จะมีหัวหน้า ฝสธ. เป็นทหารเรือด้วยกัน กลับเป็นทหารบกคือ พล.อ.ธรรมรักษ์ ซึ่งทางทหารเรือก็น้อยใจอยู่ ที่ทหารเรือไม่ได้มาอยู่ในตำแหน่งนี้

พล.อ.อ.บรรจง อยู่กับ พล.อ.อ.วรนาถ เพราะมาจากทางกองทัพอากาศด้วยกัน, ส่วน พล.อ.ธีรเดช นั้น เคยเป็นทหารพลร่ม/รบพิเศษ อยู่กับ พล.อ.วิมล ที่ลพบุรี แต่สำหรับ พล.อ.ธรรมรักษ์ นั้น ถือเป็นกรณีพิเศษที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ส่งมาลงตำแหน่งกับ พล.ร.อ.หัน เพื่อรอการเข้าสู่ตำแหน่งหลักในกองบัญชาการทหารสูงสุด โดยมีธงเป้าหมายอยู่ที่ รองเสนาธิการทหารและเสนาธิการทหาร ซึ่งมีโอกาสที่จะขึ้นกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ แต่พอดีเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬขึ้นมาเสียก่อน จึงพลาดเป้าหมายกันไปหมด

ที่สำคัญคือ พล.ร.อ.หัน สกุลพานิช รอง ผบ.สูงสุด (3) นั้น ตามสายงานรับผิดชอบด้านส่งกำลังบำรุง ที่ตอนนั้นความเกี่ยวพันกับ “ชินวัตร” ในเรื่อง ดาวเทียม และการสื่อสารทหาร มีอยู่มาก และได้เป็นการเริ่มต้นกับ “ชินวัตร” ของ พล.อ.ธรรมรักษ์ และความผูกพันที่ว่านี้ ก็ยังโยงไปถึง “ปลัดบัญชีทหาร” คือ พล.ท.สัมพันธ์ บุญญานันต์ ซึ่งขณะนั้นเป็น พล.ท.ซึ่งต่อมาทั้ง พล.อ.สัมพันธ์ และพล.อ.ธรรมรักษ์ ก็เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรียกว่า ดาวเทียมจากฟ้าส่งมา...และตอนนี้ดาวเทียมเป็นของสิงคโปร์แล้ว สัญญาณความสัมพันธ์สิ้นสุด

พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นอดีต กกต.ด้วยตัวของตัวเอง คือสมัครใจลาออก แทนที่จะเป็นอดีต กกต.เพราะคำพิพากษาของศาลอาญา แล้วต้องเข้าเรือนจำฯ ไป เหมือนกับเพื่อน กกต.ทั้งสาม ถือว่าเป็นโชคดีที่ ถาวร เสนเนียม ผู้เป็นโจทก์ขอถอนฟ้องเฉพาะตัว พล.อ.จารุภัทร ที่ลาออกแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก พล.อ.จารุภัทร เป็นมือทำงานของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ “บิ๊กจิ๋ว” มานาน ครั้นเมื่อได้เป็น กกต.ก็มีคนว่า เป็นประโยชน์ต่อการเมืองของ พล.อ.ชวลิต และเมื่อ พล.อ.ชวลิต สละเสื้อพรรคไทยรักไทย ให้ตำแหน่งหน้าที่อะไรก็ไม่ยอมรับ สู้ไปทำหน้าที่อยู่กับ “ป๋า” ดีกว่า “ป๋า” ไปที่ไหนก็ไปด้วย ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังทุกครั้ง การลาออกจาก กกต.ของ พล.อ.จารุภัทร นั้น มาจากคำพูดที่ว่า “เป็นทหารต้องคิดอย่างทหาร อย่าไปคิดแบบตำรวจ” ที่พล.อ.ชวลิต เป็นผู้เตือนใจจึงตัดสินใจอย่างทหาร-ลาออกมาเสีย, จึงยอมพ้นบ่วงกรรมคราวนี้ไป อย่างน่าเสียวไส้แทน เวลานี้ในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น ตัวเบิ้มๆ มีแต่ตำรวจกับมหาดไทย มีข่าวว่าทหารใหญ่คนหนึ่งคือ พล.ท.พิบูลย์ วิเชียรวรรณ ตำแหน่งผู้ตรวจการรับผิดชอบงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็อยู่ในระหว่างการตัดสินใจ...สำหรับพล.อ.จารุภัทร ซึ่งเป็น จปร.รุ่น 16 เตรียมทหารรุ่น 5 นั้น เพื่อนร่วมรุ่นเช่น พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เตรียมจะมีงานเลี้ยงใหญ่ของรุ่นเป็นการรับขวัญที่ผ่านภาวะตกอกตกใจมาได้อย่างหวุดหวิด และที่สำคัญต่อการรายงานลึก-หกสิบ, ลับ-สี่สิบ ณ วันนี้คือ จปร. 16 เตรียมทหารรุ่น 5 นี้ พล.อ.สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นพระสหายร่วมรุ่น คือทรงมี หมายเลขประจำพระองค์ ของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า 7585

มีประเด็นของการเลือกตั้งและที่เกี่ยวกับ กกต. ซึ่งเป็นเรื่องลึกอยู่เรื่องหนึ่งคือ รายชื่อสมาชิกพรรคไทยรักไทยที่เป็น “พลทหาร” คือ ทหารเกณฑ์ในบังคับบัญชาของ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคแบบ “ยกกองพัน” มาเป็นเวลา 3 รุ่นทหารเกณฑ์แล้ว เมื่อทหารเกณฑ์เหล่านี้ปลดประจำการแล้ว ความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็ยังติดตัวอยู่ และมีเอกสารหนังสือของทางพรรคส่งไปที่บ้าน พ่อแม่ของทหารเกณฑ์เหล่านี้ จึงรู้ความจริงว่ามี “คำสั่ง” จากผู้บังคับบัญชาให้ทหารเกณฑ์สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค ทรท.ให้หมด ซึ่งก็ไม่มีใครขัดขืนเพราะเป็นคำสั่ง เมื่อพ้นราชการออกมาแล้วที่ยื่นใบลาออกกับทางพรรคแล้วก็มี แต่ที่ยังตกค้างอยู่ก็เป็นจำนวนมาก ได้มีผู้ปกครองพ่อแม่ของสมาชิกพรรคทหารเกณฑ์คือ ทหารเกณฑ์นี้ร้องเรียนไปทาง กกต.ถึงการใช้อำนาจบังคับบัญชาให้ทหารเป็นสมาชิกพรรค และมีการร้องเรียนบอกกล่าวไปทางกองทัพบกด้วย ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการบีบบังคับ ไม่เป็นประชาธิปไตยและเอาเปรียบพรรคการเมืองต่างๆ และนี่เป็นอีกเหตุหนึ่งของการโยกย้ายเปลี่ยนตำแหน่งผู้บังคับกองพัน ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง

สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่ามองว่าเป็นโทษอย่างเดียว ที่ถือว่าเป็น “คุณ” ก็มีส่วนอยู่บ้าง...เพราะทางกองทัพ (บก) ได้ตระหนักว่า นายทหารผู้คุมกำลังในปัจจุบันขาดประสบการณ์ในสนาม คือบางคนไม่ได้เคยเข้าสู่ภูมิประเทศ ไม่ได้ยินเสียงปืนหรือเข้าแก้ไขสถานการณ์ใดๆ เลย ในระดับผู้บัญชาการกองพล เป็นผู้มีประสบการณ์ในการปราบปราม ผกค.หรือเคยไปราชการพิเศษในประเทศรอบบ้านมาแล้ว รองๆ ลงมาจากนั้น ก็เคยผ่านสงครามเวียดนามเมื่อเป็นนายทหารผู้น้อย ตัวผู้บังคับการกรม ก็เคยผ่านมาบ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด มีส่วนน้อยเท่านั้นที่มีประสบการณ์ในสนาม แต่สำหรับระดับผู้บังคับกองพัน ซึ่งเป็นพันโท เรียกได้ว่า ไม่เคยมีประสบการณ์เลยทุกกองพัน เพราะการปราบปราม ผกค.ก็สิ้นสุดแล้ว เมื่อจบออกมาเป็นนายทหาร การไปราชการพิเศษในประเทศรอบบ้านก็ไม่มี ประสบการณ์จริงเช่นนี้ ระดับผู้บังคับกองพัน รองผู้บังคับการกรม หรือตัวผู้บังคับการกรม โดยเฉพาะ “ทหารราบ” จะต้องมีติดตัว, ดังนั้น สถานการณ์ร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมีการส่ง “ผบ.พัน” ไปเป็น ผบ.หน่วยเฉพาะกิจ ทหารราบอยู่หลายกองพัน โดยที่ไม่ต้องยกกองพันไป แต่ตัว ผบ.พัน จะไปรับหน้าที่ ผบ.หน่วยเฉพาะกิจที่จัดขึ้นรับผิดชอบพื้นที่เป็นส่วนๆ ไป

มีการรายงานของหน่วยกำลังในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ต่อ “หน่วยเหนือ” ว่า ผลสะท้อนของจดหมายที่ “ทักษิณ” มีไปถึง ประธานาธิบดีจอร์จ บุช แห่งสหรัฐอเมริกา มีผลทำให้แผนยุทธการบางกระบวนต้องเป๋ไป และต้องปรับทางกันใหม่ ทั้งนี้ การกล่าวถึง “ฐานะ” ของผู้หลงผิด และแนวร่วมทั้งหลายนั้น ได้จัดอยู่ในลักษณะของมวลชนจัดตั้ง อย่าเดินไปไกลกว่านี้ ให้หันหลังกลับมาปรับความเข้าใจกัน ว่าปัญหาของสถานการณ์นั้นคืออะไร? โดยไม่ถือเป็นสถานการณ์ก่อการร้าย หรือการแบ่งแยกดินแดน แต่เป็นสถานการณ์ที่ถูกชักจูงโดยคนไม่กี่คน โดยที่ผู้นำทางศาสนาก็ให้ความร่วมมือในการทำความเข้าใจเรื่องหลักศาสนากัน ว่าสถานการณ์มิใช่การสู้รบ แต่เป็นความบาดหมาง เป็นบาดแผลที่เยียวยาได้ ผู้หลงผิดทั้งหลายไม่ว่าอยู่ในระดับใด มิใช่นักรบ และฝ่ายบ้านเมืองก็มิใช่ศัตรู แต่จากถ้อยคำในจดหมายถึงบุชนี้ ใช้คำว่า การก่อการร้าย ก็ทำให้ผู้ที่คุมขบวนอยู่ใช้คำนี้สวนกลับว่า “ทักษิณ” ยังเรียกอย่างนั้น ผู้ที่ทำการหรือผู้ร่วมมือทั้งหลายคือนักรบทางศาสนาที่ออกศึก และโยงเข้าไปสู่ข้อห้ามอิสลาม ในบทที่ว่า “ต้องไม่หลบหนีศัตรู หรือยอมแพ้ศัตรูขณะเข้าประจันบาน” ให้จัดสถานการณ์ว่า มีฝ่ายหนึ่งเป็นข้าศึกศัตรู และกำลังมีการประจันบานหรือประจันหน้ากันอยู่ ผู้ใดที่ละทิ้งไปผิดข้อห้ามอิสลาม ซึ่งเป็นบาปหนัก เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็ต้องตามแก้กันใหม่ เหตุเพราะการ “ตามก้น” แท้ๆ

หลังจากที่มี หนังสือเวียน ให้แบ่งกันอ่าน เป็น วรรณกรรมที่ไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะไม่ปรากฏชื่อผู้เขียน ให้คำอธิบายอย่างสรุปว่า เตรียมทหารรุ่น 10 นั้นแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ กลุ่มที่ 1 ก็ยืนหยัดกันไปว่า ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ต้องช่วยกันแจว ช่วยกันพาย ใครนั่งเฉยๆ ก็หนักเรือ พวกที่นั่งเฉยๆ อย่ามาอยู่กับกลุ่มนี้ ส่วนกลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 ซึ่งค่อนข้างจะมีหัวคิด เพราะเป็น “เด็กเรียน” สมัยอยู่เตรียมทหาร ก็คิดกันไปอีกอย่าง...วรรณกรรมแบ่งกันอ่านชุดแรกหรือใบแรกผ่านไปแล้ว ก็มีวรรณกรรมจริงๆ มาให้อ่านกันอีก โดยหยิบเอา “สามก๊ก” ฉบับวณิพก ของ “ยาขอบ” ในบางตอนมาให้อ่านเป็นการประเทืองปัญญา โดยกล่าวถึงตัวบุคคลในสามก๊กนั้น คือ ตั๋งโต๊ะ และโจโฉ

“ตั๋งโต๊ะสร้างเมืองหลวง” ได้กล่าวถึงอัครมหาเสนาบดีชื่อตั๋งโต๊ะ เป็นผู้มีบุญมาก มีวาสนาดี ได้เกิดความคิดว่า อันตัวเราก็ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้ว ถ้าหากคิดจะเป็นฮ่องเต้ก็คงจะได้ อย่ากระนั้นเลย เราไปสร้างเมืองหลวงใหม่ และตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ในเมืองหลวงที่เราสร้างเองดีกว่า

“โจโฉชักม้าเทียบ” เป็นเรื่องของอัครมหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่คือ โจโฉ ได้รับการยกย่องและยกยอสรรเสริญมาก จนตัวโจโฉนั้นคิดว่าตัวเองมีบุญหนักเท่ากับฮ่องเต้แล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่า ถ้าหากจะสถาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้แล้ว บรรดาไพร่พลแลขุนศึกทั้งหลาย จะยอมรับหรือไม่ เรียกว่าโจโฉมีความฉลาดและรอบคอบกว่าตั๋งโต๊ะ คือขอจัดกำลัง หยั่งน้ำดูก่อนออกเรือ

อยู่มาวันหนึ่ง ฮ่องเต้ เสด็จออกประพาสป่าเพื่อทรงล่าสัตว์ ประทับบนหลังม้านำหน้าทหารทั้งปวง โดยมีโจโฉขี่ม้าอยู่ข้างหลังท้ายม้าทรง และบัดนั้น ก็คิดได้ว่า ถึงเวลาที่จะหยั่งกำลังดังที่เคยคิดไว้ จึงกระตุ้นม้าให้เร่งฝีเท้า ใกล้ม้าทรงของฮ่องเต้ ทิ้งห่างกันที่หาง แล้วหันหลังมาดูทหารที่ขี่ม้าตามมา ก็เห็นทุกคนอยู่ในอาการปกติสงบดีอยู่ ก็ชักม้าให้เขยิบเข้าไปถึงช่วงกลางลำตัวของม้าทรงฮ่องเต้ แล้วหันมาดูทหารที่ตามเสด็จฯ ก็ยังไม่มีอาการอะไร จึงเร่งม้าให้ขึ้นไปเทียบเสมอหน้ากับม้าทรง เรียกว่า ขี่ม้าเทียบกันเลยทีเดียว เมื่อหันกลับมาดูผู้ขี่ม้าอยู่ข้างหลัง ก็เห็นอาการกราดเกรี้ยว สีหน้าไม่พอใจยิ่ง ประหนึ่งจะใช้สายตาเป็นอาวุธเข่นฆ่าได้ทีเดียว เมื่อเห็นดังนั้น โจโฉมีคำตอบกับตัวเองว่า เป็นโจโฉดีกว่า อย่าเป็นฮ่องเต้เลย จึงดึงม้าให้ช้า ให้ม้าทรงนำหน้าไปตามปกติ และจิตใจของโจโฉก็เป็นปกติแต่นั้นมา

วันคล้ายวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จัดรับอวยพรที่ “บ้านพิษณุโลก” อันเป็นบ้านรับรองสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในทำเลขนาบด้วย “คนจนและคนเจ็บ” คือด้านหลังเป็นชุมชนแออัด และด้านข้างด้านหนึ่งทางยมราชเป็น โรงพยาบาลมิชชั่น อีกด้านที่อยู่ในเขตของบ้านเลยทีเดียว ก็เป็น สถานีบริการสาธารณสุข ของกทม.

ในขณะเดียวกันที่ “พิษณุโลก” เหมือนกัน แต่เป็นจังหวัดพิษณุโลก มิใช่ถนนพิษณุโลก ซึ่งกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3 ตั้งอยู่ที่นั่น, พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 ก็หันหน้าลงทางใต้คือ ทิศทักษิณ ประกาศตัวอยู่ทุกวันว่ากองทัพภาคที่ 3 นั้น ยึดมั่นในการเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, แม้ว่าจะมีทหารมากหน้าเข้าบ้านพิษณุโลก แต่แน่นอนว่า แม่ทัพภาคที่ 3 ที่เมืองพิษณุโลกไม่ได้มา ถ้าหากมาก็วงแตก.
กำลังโหลดความคิดเห็น