"แม้ว"เจอปฏิบัติการล้วงตับตัดเส้นเลือดจนพูดไม่ออก เมื่อเพื่อร่วมรุ่น ตท.10 ถูกย้ายพ้นเมืองกรุง จวกสื่อไม่สร้างสรรค์ ป้อนคำถามปฏิวัติ "ธรรมรักษ์"โวยผู้ไม่หวังดีพยายามป่วนกองทัพ อ้างเป็นเรื่องปกติของการโยกย้ายที่ต้องมีทั้งผิดหวัง สมหวัง ส่วนเรื่องปลดผบ.ทบ.แค่ข่าวลือ "พฤณท์"ยันตท.10 ไม่แตกแยก ด้านแม่ทัพภาคที่ 1 ไม่สนเรื่องย้ายเด็กใคร ย้ำมีแต่ทหารของชาติและของในหลวง ไม่มีเด็กใคร ขณะที่แม่ทัพภาคที่ 3 ออกแถลงการณ์จวก"ไอ้โม่ง"อ้างตัวเป็นแกนนำตท.10 สร้างข่าวบิดเบือน เชลียร์แม้ว หวังลาภยศ-ตำแหน่ง "สุริยะใส"ชี้ระบอบทักษิณตัวการทำกองทัพแตกแยก
เมื่อวานนี้ (20 ก.ค.)พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กองทัพบก โยกย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน พร้อมกันทั่วประเทศ 38 กองพัน 129 นาย โดยเฉพาะในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 และ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นหน่วยคุมกำลัง และเป็นนายทหารที่อยู่ภายใต้การดูแลของนักเรียนเตรียมทหาร รุ่น 10 (ตท.10)ว่า คงไม่มีอะไร เป็นเรื่องปกติของแต่ละหน่วย เป็นฤดูกาลโยกย้ายเดือนตุลาคม กองทัพจะมีการโยกย้ายเป็นประจำอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ปกติโผโยกย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน จะออกหลังเดือนตุลาคม ไม่ใช่หรือ พ.ต.ท.กล่าวว่า เป็นเรื่องภายในของกองทัพที่จะดำเนินการ ต้องไปถามผู้บัญชาการทหารบก เมื่อถามย้ำว่า การโยกย้ายครั้งนี้ เป็นการโยกย้ายขุมกำลังในกรุงเทพฯ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า เป็นเรื่องของผู้บัญชาการทหารบก
"ผมไม่ทราบรายละเอียด แต่เชื่อว่าคงไม่มีอะไร เป็นเรื่องของผู้บัญชาการทหารบก เป็นเรื่องภายใน รัฐบาลจะทราบเฉพาะระดับนายพล เชื่อว่าไม่มีอะไรผิดปกติ"นายกรัฐมนตรี กล่าว พร้อมกับปฏิเสธกระแสข่าวที่ระบุว่า มีความขัดแย้งกันเองของ ตท.10
ผู้สื่อข่าวพยายามถามถึงกระแสข่าวการซ่องสุมกำลังเพื่อก่อการปฏิวัติของทหารบางกลุ่ม พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า "โอ๊ย...พวกคุณอย่างนี้ ไม่ค่อยสร้างสรรค์ ไม่มีอะไรหรอก" จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เดินขึ้นรถทันที
**โวยผู้ประสงค์ร้ายป่วนกองทัพ
พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รักษาการรมว.กลาโหม กล่าวถึงข่าวที่แกนนำ ตท.10 ออกมาระบุถึงความเคลื่อนไหวของบางหน่วย เพื่อการรัฐประหารว่า "การปฏิวัติผิดกฎหมาย อย่ามาพูดเล่นกันนัก ใครจะปฏิวัติให้มาบอกผมหน่อย จะเอาตำรวจไปจับ มันพูดกันเป็นเล่นไปหมด ผิดกฎหมายนะ ผู้สื่อข่าวก็อาจจะเอาไปเขียนกันมันอารมณ์"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ให้ความมั่นใจได้หรือไม่ว่าข่าวรัฐประหารจะไม่เป็นจริง พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า "ผมให้ความมั่นใจคุณไม่ได้ แต่ผมบอกว่าคนพูดไปคิด มันผิดกฎหมาย จำไว้แค่นี้พอ" ผู้สื่อข่าวซักต่อว่า คนที่คิดทำ แต่ยังไม่ทำ ก็ยังไม่ผิดกฎหมาย พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า "การคิด แต่ยังไม่ปฏิบัติ ก็ไม่เป็นไร แต่ต่อองค์พระเจ้าอยู่หัว แม้แต่คิดก็ไม่ได้"
เมื่อถามว่า ได้สอบถามไปยัง พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 หรือไม่ ว่ามีข้อเท็จจริงแค่ไหน พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า เขาไปบรรยายที่สถาบันการศึกษา ก็เป็นความคิดเห็นของ พล.ท.สพรั่ง เพียงแต่บางทีในสถานการณ์เช่นนี้ บางคำควรจะพูดหรือเปล่าเท่านั้นเอง จริงๆ แล้วเป็นความคิดเห็นเชิงวิชาการ ก็เท่านั้น คือทุกฝ่ายต้องระมัดระวังในการพูด หรือให้ข้อมูลผ่านสื่อด้วย
"ผมก็ต้องปรามระดับผู้ใหญ่ ผมเป็นรัฐมนตรี ก็ต้องปรามผ่านทางระดับผู้ใหญ่ ให้ดูลูกน้องทำความเข้าใจกันหน่อย เพราะคนในกองทัพไม่ใช่ดี 100 % คนไม่ดีก็มีอยู่ มีทั้งคนผิดหวัง สมหวัง ในฐานะที่เราดูแลกำลังพลต้องทำความเข้าใจให้มากที่สุด คนที่เป็นผู้บังคับบัญชา ต้องมีทั้งคนเกลียด คนรัก แต่ว่าต้องให้คนรัก มากกว่าคนเกลียดถึงจะอยู่ได้ ผมเป็นห่วงตรงที่สถาบันเราได้ถูกทำลายไปหลายส่วนแล้ว สถาบันนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการก็โดน เมื่อกองทัพนิ่งอยู่ เขาก็ต้องพยายามทำให้กองทัพรวน แต่คิดว่าเราแก้ไขปัญหาได้ หลังจากที่มีการปรับย้ายเรียบร้อยแล้ว คิดว่าไม่มีปัญหา เพราะผมพยายามให้ความเป็นธรรมมากที่สุดอยู่แล้ว"
รมว.กลาโหม กล่าวย้ำว่า ในภาพรวมถือว่าสถาบันกองทัพยังมีความมั่นคงอยู่ แต่ว่าเมื่อมีสถานการณ์ที่มันอึมครึมอยู่ในประเทศขณะนี้ ก็มีคนฉวยโอกาส ให้มองดูว่ามันรวน ความจริงไม่รวนอะไร ซึ่งคนที่ฉวยโอกาสนั้นคงบอกไม่ได้ว่าเป็นใคร เพราะตนแอบมองอยู่
**ช่วงโยกย้ายต้องมี ผิดหวัง สมหวัง
พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวด้วยว่า ได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ท่านก็ไม่ได้วิตกอะไร เพราะเวลาปรับย้ายก็เป็นเช่นนี้ จะมีคนผิดหวัง สมหวังทุกครั้ง แต่เราพยายามทำให้ยุติธรรมที่สุด ในฐานะที่เป็น รมว.กลาโหม ตนไม่เคยแก้ไข ถ้าอันไหนไม่เหมาะสม ก็เรียกมานั่งคุยกันทุกเหล่าทัพ
อย่างไรก็ตาม ในการแต่งตั้งโยกย้าย ถ้าเรายึดหลักอาวุโสเพียงอย่างเดียว แล้วบอกว่าเข้าแถวกันขึ้นมาตามรุ่น อย่างนี้ไม่ใช่ อยู่ที่ความเหมาะสม ความสามารถ ว่าคนไหนควรอยู่ตรงไหน
เมื่อถามว่า จะไม่มีการย้าย ผบ.ทบ.ไปเป็น ผบ.สส.หรือ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า"ผมยังไม่รู้ ยังไม่เห็น ก็ว่ากันไป"
ขณะนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับการผ่าตัด แล้วจะเร่งทำโผทหารเพื่อทูลเกล้าฯ ได้หรือ พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า ไม่ เราก็ต้องดูเหตุการณ์ ไม่ใช่วันนั้น วันนี้ตายตัว พระองค์ท่านทรงประชวรอยู่ เราก็ไม่ส่งขึ้นไป ก็เท่านั้น
กรณีมีกระแสข่าวว่ามีเตรียมทหารรุ่น 10 บางกลุ่ม เตรียมทำหนังสือถึง รักษาการรมว.กลาโหม ให้ปลด ผบ.ทบ.มีข้อเท็จจริงอย่างไร พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า มาจากไหน เป็นกระแสข่าว ข่าวลือก็ลือไป พอเวลาจะมีการโยกย้ายนายทหาร ก็ลืออย่างนี้
**พฤณท์ยัน ตท.10 ไม่แตกแยก
สำหรับการปรับย้ายผู้บังคับกองพันนั้น พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1.รอ.)กล่าวถึงผลการโยกย้ายครั้งนี้ทำให้ พล.ท.อนุพงษ์ เหล่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 เพื่อนร่วมรุ่น ตท. 10 และ พล.ต.พฤณฑ์ เกิดการแตกหักระหว่างเพื่อนร่วมรุ่นว่า ไม่จริง การโยกย้ายครั้งนี้ไม่ได้เกิดปัญหาระหว่างตน และ แม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งยอมรับว่าการโยกย้ายครั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 1 ไม่ได้มีการคุยกับตน แต่ที่ผ่านมาก่อนจะโยกย้าย ได้คุยกันตลอดว่าใครจะไปอยู่ไหนกันบ้าง และการโยกย้ายครั้งนี้เห็นว่ามีการประชุมร่วมกันหลายคน พอโยกย้ายเลยไม่ต้องมาปรึกษากับตนก็ได้ รับรองว่า รุ่น 10 เราไม่มีแตกแยกแน่นอน และไม่มีการข้ามหัวทั้งนั้น ไม่มีปัญหาอย่างที่ข่าวลง รับรองไม่มีการบอยคอตจากรุ่นอย่างที่เป็นข่าว เราก็เป็นเพื่อนกันมานาน ใครจะไปทำอะไรอย่างนั้น ถ้ามีเรื่องเราก็คุยปรึกษากันก็ไม่มีปัญหา
"ผมยังงกับข่าวว่าผมไม่ถูกกับป๊อก(พล.ท.อนุพงษ์)เพราะเมื่อคืน(19 ก.ค.)ผมกับป๊อก ยังไปกินข้าวกันเลย หลังจากมีงานแข่งกอลฟ์ ทบ. เราคุยกันว่าทำไมมีข่าวรุ่นเราออกมากันเยอะจัง แต่ยืนยันว่า ผมกับเขาไม่ได้มีปัญหากัน แต่ข่าวบางทีเขียนออกไปจนผมกับเพื่อนๆรวมถึงป๊อกก็งง ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้บ่นน้อยใจอะไรกับการโยกย้ายครั้งนี้ เพราะน้องๆที่มาใหม่ผมก็รู้จักตั้งแต่สมัยเป็น ร.ต.อยู่ใน ร.1 ไม่มีปัญหาในการทำงานหรอก ส่วนที่ว่าเขาย้ายเด็กของผมออกไปก็ไม่มี เพราะทหารในกองทัพภาคที่ทุกคนเป็นน้องๆ ที่ผมรู้จักหมด ไม่มีใครเด็กใคร มีแต่ทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับรองรุ่นเรารักกันดี"พล.ต.พฤณฑ์ กล่าว
ด้าน พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน ที่มีเสียวิพากษ์วิจารณ์ในหลายประเด็นอาจทำให้เกิดความสับสน และเข้าใจผิด จึงขอชี้แจงว่า กองทัพบกมีนโยบายชัดเจนที่มอบหมายให้ผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกเป็นผู้รับผิดชอบพิจารณา ทั้งด้านความรู้ความสามารถ และเมื่อมีการเสนอรายชื่อมาตามขั้นตอนจนถึงระดับกองทัพบก ก็จะมีคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองอีกระดับหนึ่ง โดยรองผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาคัดสรรให้ได้บุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งต่าง ๆ
ทั้งนี้การปรับย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพันเป็นไปตามระบบและเป็นไปตามวงรอบการบริหารของกองทัพบก
**มีแต่ทหารของในหลวง ไม่มีเด็กใคร
พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึง การปรับย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพันในพื้นที่กรุงเทพฯว่า ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน และระเบียบของกองทัพบก โดยผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการของกองทัพบกทุกประการ ทุกอย่างจบไปแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซึ่งตนยึดหลักการพิจารณาด้วยความยุติธรรมสามารถตรวจสอบได้ ผู้บังคับหน่วยทุกคนที่ถูกปรับย้ายมีคุณสมบัติครบตามหลักเกณฑ์ และอยู่ในตำแหน่งมาอย่างน้อย 2 ปีแล้ว สมควรที่จะได้รับการหมุนเวียนตามสายการบังคับบัญชา
ส่วนที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีการปรับย้ายคนใกล้ชิดของ พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ออกจากตำแหน่งนั้น จะพูดเช่นนี้ไม่ได้ เพราะทหารไม่มีคำว่าเด็กใคร ใกล้ชิดใคร เพราะทุกคนเป็นทหารของกองทัพ ทหารของชาติ และเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การจะพูดว่าเด็กใครเป็นเด็กใครนั้น ไม่ถูกต้อง
"ผมเป็นทหารที่ไม่มีนอกมีใน ผ่านการเป็นผู้บังคับบัญชาในตำแหน่งหลักมามากมาย สามารถไปตรวจสอบประวัติรับราชการได้ และทุกคนในกองทัพรู้ว่าผมเป็นอย่างไร ผมเป็นทหารที่มีจุดยืน มีความเป็นทหาร ผมเคยเป็นผู้บังคับบัญชาในกองพลที่ 1 รักษาพระองค์มาก่อน ย่อมรู้ดีว่าใครเป็นใคร และผู้บังคับกองพันทุกคนที่ปรับย้ายก็ได้ตำแหน่งที่ดีขึ้นทุกคน เขาแทบจะมากราบขอบคุณด้วยซ้ำ" แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าว
พล.ท.อนุพงษ์ กล่าวด้วยว่า การปรับย้ายผู้บังคับกองพันครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการปรับย้ายนอกฤดูกาล เพราะการปรับย้ายผู้บังคับกองพันกองทัพบก จะดำเนินการ 2 ช่วง คือหลังบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลประจำเดือนเม.ย.และเดือนต.ค. แต่ครั้งนี้ที่ต้องเลื่อนการพิจารณามา เพราะบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา มีความล่าช้า
**โยกย้ายปกติ ไม่เกี่ยวการเมือง
พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รักษาการรมว.มหาดไทย กล่าวว่า การโยกย้ายทหารนั้นมี 2 ฤดูกาล คือช่วง เม.ย.และ ต.ค. โดย เม.ย.จะเริ่มที่ระดับนายพล และเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ระดับนายพลเสร็จ ก็จะต่อกันไปเป็นระดับ พ.อ.พิเศษ ,พ.ท.,พ.อ. เป็นวงรอบปกติ เพราะกำลังพลเยอะ ซึ่งการโยกย้ายครั้งนี้ ถือว่าเป็นการย้ายในฤดูกาลปกติของเม.ย.ไม่มีอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า น่าสังเกตุว่าการย้ายเป็นเฉพาะผู้บังคับการกองพันในกทม.เท่านั้น พล.อ.อ.คงศักดิ์ กล่าวว่า คิดว่าคงทั่วไปทั้งประเทศ ของกองทัพอากาศเองก็ทั่วไปหมด แต่อาจจะมีการหยิบยกมาพูดเป็นกรณีๆไป และคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับการเมือง
"ใครเป็นนายก็ต้องเลือกลูกน้องตัวเองทั้งนั้น เพื่อสะดวกในการทำงาน ทำงานเป็นทีม แต่ส่วนมากทางทหารเราจะดำเนินการกันไปตามขั้นตอนเรื่อยๆ อีกทั้งทหารเป็นหน่วยกำลังรบ จึงต้องมีการทำงานเป็นทีม และการย้ายครั้งนี้ เชื่อว่าจะไม่ทำให้ระดับผู้บังคับการกองพันอึดอัดใจ เพราะคนในกองทัพทุกคนเข้าใจระบบ"
ส่วนที่มีการมองว่าเป็นการโยกย้าย ตท.10 เพื่อจับตา และเพื่อทำให้ขยับอะไรไม่ได้ พล.อ.อ.คงศักดิ์ กล่าวว่า ในแต่ละรุ่นมันจะห่างกันไปประมาณ 3 รุ่น 3 ปี ไม่เช่นนั้นมันจะผ่องถ่ายกันไม่ได้ ซึ่ง ตท.10 ก็กำลังจะถึงรุ่นของเขาแล้ว เพราะเหลืออีกไม่กี่ปี 3-4 ปี ก็จะเกษียน
ส่วนกระแสข่าวที่ว่า ตท.10 ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะพยายามผลักดัน ตท.10 สายเดียวกันมานั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ.แทน พล.อ.สนธิ นั้นก็เป็นการพูดกันไปอย่างนั้นเอง แต่ความจริงไม่ใช่ และผบ.ทบ.ก็จะเกษียนอยู่แล้ว อีกทั้งคนที่จะเป็น ผบ.ทบ.ก็ควรจะมีอายุราชการอีก 2-3 ปี จึงต้องเอารุ่นหลังๆ ขึ้นมา
สำหรับการทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ของกระทรวงมหาดไทย ท่ามกลางกระแสข่าวการขับเคี่ยวแบ่งสีกันระหว่าง สิงห์ดำ และสิงห์แดงนั้น พล.อ.อ.คงศักดิ์ กล่าวว่า"ไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าพี่สิงห์เทา สิงห์ทหารอากาศ ยืนยันว่า ในการพิจารณาเราจะไม่เลือกว่าใครเป็นสิงห์ไหน แต่จะดูหลายอย่างทั้ง ความรู้ สามารถ คุณสมบัติในการเข้ากับประชาชน โชว์ภาพได้ ทำงานร่วมกับหน่วยอื่นได้ มีความคิดสร้างสรรค์ สุดท้ายที่ตามมาจะเป็นเรื่องอาวุโส แต่ในการแต่งตั้ง จะใช้ความรู้ความสามารถเป็นหลัก ซึ่งถ้าทำได้จะพยายามให้รายชื่อทั้งหมดเสร็จทันวันที่ 1 ส.ค.นี้ เพราะกว่าจะผ่านขั้นตอนการโปรดเกล้าฯ คงจะเป็นประมาณกลางเดือนก.ย."
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีกระแสว่าจะมีการตั้ง นายสาโรช คัชมาตย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ พอใจความสำเร็จในการจัดงาน"รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นถวายองค์ราชาครองราชย์ 60 ปี"ที่วัดพระธรรมกาย พล.อ.อ.คงศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ นายกฯ เพียงให้มาปรึกษาหารือกัน แล้วนำเสนอ เราก็หารือหลายส่วน
**จวกไอ้โม่ง-ทหารเลวเชลียร์แม้ว
บ่ายวานนี้ (20 ก.ค.)พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 ได้เป็นประธานในพิธีลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ สโมสรบันเทิงทัพ ค่ายสมเด็จพระนเรศวร โดยมีแม่บ้านทหารบก-นายทหารของกองทัพภาคที่ 3 เข้าร่วมพิธีประมาณ 1,000 คน
หลังเสร็จพิธี พล.ท.สพรั่ง ได้กล่าวต่อเหล่าแม่บ้าน-นายทหาร ที่มาร่วมพิธีว่า กรณีที่มีข่าวว่ากองทัพภาคที่ 3 ซ่องสุมกำลังเพื่อก่อปฏิวัติ ออกมาตามสื่อมวลชนแขนงต่างๆ นั้น ตนรู้ว่ามาจากไหน เป็นเพราะมีทหารเลวบางคน ซึ่งมีอยู่ 2-3 คน พยายามสร้างข่าวเอาไปเชลียร์ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อหวังยศ-ตำแหน่งโดยไม่คำนึงถึงกองทัพ เป็นการสร้างความแตกแยกในกองทัพ เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
"เรื่องนี้ผมจะขอเคลียร์ในระดับกองทัพภาคที่ 3" แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าว และว่า ต้องการกระจายข่าวผ่านแม่บ้านทหาร ของกองทัพภาค 3 ทุกคนให้กระจายข่าวที่ถูกต้อง ไม่ต้องไปดูละครแดจังกึมกันแล้ว เพราะปีนี้เป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองราชย์ครบ 60 ปี แต่กลับเป็นปีที่บ้านเมืองวุ่นวาย เพราะมีคนเลวที่ใส่เสื้อเหลือง มาชกกับคนที่ใส่เสื้อเหลือง
ส่วนคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองที่สับสน จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นหรือไม่นั้น แม่ทัพภาค 3 ปฏิเสธที่จะพูด โดยบอกว่า ไม่ขอตอบเรื่องการเมือง
**แถลงการณ์ถล่มไอ้โม่ง"ตท.10"
นอกจากนี้ พล.ท.สพรั่ง ยังได้ออกแถลงการณ์ จากแม่ทัพภาค 3 ถึงสื่อมวลชนทุกแขนง มีเนื้อหาระบุว่า ตามที่ นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 21 ก.ค.49 ลงข้อความจากการให้ข่าวของผู้ที่อ้างว่า เป็นแกนนำเตรียมทหารรุ่น 10 และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ของแม่ทัพภาคที่ 3 นั้น หลังทราบข่าวแม่ทัพภาคที่ 3 ได้แจ้งต่อผู้ใต้บังคับบัญชาว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาในกองทัพภาคที่ 3 ที่เป็น ตท.10 เกือบทุกคนเป็นคนดีและปฏิบัติงานเข้มแข็ง และแม่ทัพภาคที่ 3ได้สนับสนุนให้มีตำแหน่งสูงขึ้นทุกครั้งที่มีคำสั่งย้าย ยกเว้นผู้ที่เป็นคนเลว
โดยคนเลวในสายตาของแม่ทัพภาคที่ 3 คือ คนที่เอาเรื่องส่วนตัวไปพัวพันกับผลประโยชน์ของชาติ ให้ร้ายผู้บังคับบัญชาลับหลัง คิดว่าคนอื่นจะมีจิตใจเลวเหมือนที่ตนคิด มักใหญ่ใฝ่สูง ทำได้ทุกอย่างด้วยการใส่ร้ายผู้อื่นเอาดีใส่ตัว เจริญก้าวหน้าด้วยการเหยียบไหล่ผู้อื่น เอาความลับของราชการมาเปิดเผย ผิดทั้งจรรยาบรรณและกฎหมาย ทั้งที่ทหารได้ปฏิญาณตนต่อธงไชยเฉลิมพลในข้อความสุดท้ายที่ว่า "ข้าฯจะไม่แพร่งพรายความลับของทางราชการเป็นอันขาด"
นอกจากนี้ พล.ท.สพรั่ง ยังยืนยันในแถลงการณ์อีกว่า ไม่มีความคิดมักใหญ่ใฝ่สูง โดยขอให้ตรวจสอบประวัติได้ที่กองทัพบก ซึ่งที่ผ่านมาเคยเสียสละตำแหน่งผู้บังคับการ กรมนักเรียนนายร้อย เป็นตำแหน่งประจำ เพื่อให้เพื่อนที่รอมานานขึ้นแทน ผ่านการรบมีการปะทะไม่ต่ำกว่า 200 ครั้ง โดยที่ไม่เคยขอเหรียญกล้าหาญ แต่ได้ขอให้ผู้บังคับบัญชาแทน พร้อมกันนี้ยังชี้แจงว่า การที่ทหารกองทัพภาคที่ 3 ฝึกความพร้อมรบนั้น เป็นเจตนาของแม่ทัพภาคที่ 3 ตั้งแต่วันรับตำแหน่ง เพื่อให้พร้อมเผชิญกับภัยคุกคามทุกรูปแบบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของทหารอาชีพ มิใช่ทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ โดยการดำเนินงานดังกล่าว มิได้ทำโดยพลการ มีผู้บัญชาการทหารบกที่เป็นผู้บังคับบัญชา
แถลงการณ์ของแม่ทัพภาคที่ 3 ยังระบุอีกว่า การให้ข่าวของ"ทหารเลว"คนนี้ มักจะนำข่าวที่บิดเบือนไปบอกผู้มีอำนาจทางการเมืองให้เข้าใจผิด เพื่อทำลายผู้อื่น ตัวเองได้รับความดีความชอบ ลาภยศ และตำแหน่ง การกระทำดังกล่าว พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ผช.ผบ.ทบ., พล.ท.ปรีชา วรรณรัตน์ รองเลขานายกฯ ทราบดี การที่ทหารผู้นี้มาให้ข่าวบิดเบือนการทำงานของแม่ทัพภาคที่ 3 ก็เพื่อประจบสอพลอนายกรัฐมนตรี โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของกองทัพ และประเทศชาติ หวังเพียงตนเองจะได้ตำแหน่งสูงสุดของกองทัพภาคที่ 3 อย่างเดียว
กรณีที่ทหารผู้นี้ตำหนิว่า แม่ทัพภาคที่ 3 ออกมาแสดงจุดยืนปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ว่า ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร ขอให้พี่น้องประชาชนคิดดูว่า ทหารผู้นี้สมควรเป็นทหารของชาติ ทหารของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นทหารของประชาชนหรือไม่
พล.ท.สพรั่ง ยังยืนยันผ่านแถลงการณ์อีกว่า "ทหารทุกคนในกองทัพภาคที่ 3 มีความรักความสามัคคี เป็นทหารของชาติ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ที่มีวินัยที่จะรับฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายทหาร ตท.10 ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกองทัพภาคที่ 3 มีด้วยกัน 4 นาย ส่วนรองแม่ทัพภาคที่ 3 อีก 2 นาย เป็นรุ่น 11 และรุ่น 8
**ออกสปอตย้ำจุดยืนผ่าน 24 คลื่นวิทยุ
รายงานข่าวจากหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ แจ้งว่าขณะนี้กองทัพภาคที่ 3 ได้ออกสปอตเสียง ของแม่ทัพภาคที่ 3 ที่เคยพูดในเวทีต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา เพื่อแสดงจุดยืนในความเป็นทหารของประเทศชาติ ประชาชนและเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีใจความว่า "เราเป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว เราจะยืนเคียงข้างประชาชน" ผ่านสถานีวิทยุกองทัพบก 24 คลื่น ออกอากาศครอบคลุมพื้นที่ 17 จังหวัด ภาคเหนือ ในทุกๆ ต้นชั่วโมง
หลังจากตั้งแต่ต้นเดือนก.ค.49 เป็นต้นมา พล.ท.สพรั่ง ได้เดินสายไปบรรยาพิเศษ พร้อมกับเดินทางไปพูดคุยกับกลุ่มพลังมวลชน-การเมืองต่างๆ ในพื้นที่จ.พิษณุโลก และอีกหลายกลุ่มในภาคเหนือ เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการจัดชุมชนใดๆ ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 มาอย่างต่อเนื่อง โดยทุกครั้ง แม่ทัพภาคที่ 3 พยายามย้ำว่า ทหารไม่ต้องการอยู่ฝั่งหนึ่ง ฝั่งใด ไม่ต้องการให้ประชาชนถูกยั่วยุ ระดมกำลังหรือก่อม็อบใดๆ ทั้งสิ้น ขอเป็นกลางเป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าหน้าที่ด้านการข่าวหลายหน่วยในพื้นที่ภาคเหนือ ระบุสอดคล้องกันว่า จุดยืนของแม่ทัพภาคที่ 3 ที่แสดงออกอย่างเปิดเผย ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่วุ่นวายมานานนั้น ไม่ได้มีเพียงการเดินสายไปพบกลุ่มพลังมวลชน-สถานบันการศึกษาในท้องถิ่นเท่านั้น แต่มีผลต่อความเคลื่อนไหวของ "กองกำลังส่วนตัว"ของนักการเมืองใหญ่ในภาคเหนือ ที่เคยเคลื่อนไหวสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในช่วงที่เกิดการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย
**แห่ให้กำลังใจผ่านเว็บบอร์ด ทภ.3
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การออกมาแสดงจุดยืนของ พล.ท.สพรั่ง ส่งผลให้มีคนเข้าไปในเว็บไซต์ ของกองทัพภาคที่ 3 และโพสต์ข้อความให้กำลังใจแม่ทัพภาคที่ 3 รวมถึงกำลังพล ผ่านเว็บบอร์ดของกองทัพ ที่ http://www.army3.pitlok.net/phpBB2/viewforum.php?f=1 เป็นจำนวนมาก เช่น ผู้ที่ระบุชื่อว่า แก้วสีขาบ โพสต์ข้อความว่า "ขอสนับสนุนนายกองแม่ทัพในภาคที่สามทุกท่าน สำหรับการยืนเคียงข้างในหลวงและประชาชน การพูดอย่างชัดเจนในฐานะของตัวแทนกองทัพภาคที่ 3 ทั้งหมด ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร เมื่อวันที่ 18 ก.ค.49 แสดงถึงจิตวิญญาณของชายชาติอาชาไนยโดยแท้" หรือ คนเมืองนนท์ ที่ระบุว่า "ดีใจอย่างมากที่สุดเลยค่ะ รู้สึกมีความหวังในใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่ายังมีคนดีหลงเหลืออยู่บ้างในสังคมอันเลวร้ายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สังคมวัตถุนิยม สังคมที่แทบจะไม่รู้ว่าผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี และขาดจริยธรรมของผู้นำ" หรือ ผู้ที่แทนตัวเองว่า คนโคราชและชาวโคราช ขอให้กำลังใจแม่ทัพภาคที่ 3 ทหารของพระเจ้าแผ่นดิน
รวมถึงผู้ที่ใช้ชื่อว่า บุญช่วย ที่บอกไว้ในเว็บบอร์ดดังกล่าวว่า "ขอชื่นชมท่านแม่ทัพ ที่อออกมาแสดงตน สมกับบทบาทที่ควรจะเป็นของทหารของชาติ ที่จะปกป้องและรักษาพระเกียรติของในหลวง และต่อต้านพวกที่คิดร้ายต่อประเทศ และสถาบันหลักของเรา โดยเฉพาะรัฐบาลที่มัวเมาในอำนาจ ฉ้อฉลในการใช้อำนาจ และกอบโกย ขายชาติอย่างน่าละอาย ท่านได้แสดงความกล้าหาญ อย่างไม่กลัวเกรงต่ออำนาจของรัฐบาลทักษิณ ที่ทำได้ทุกอย่าง แม้ความไม่ถูกต้องในหลายๆอย่าง ที่เอาคนไม่ดีขึ้นมาเป็นใหญ่ เพื่อช่วยให้การคอร์รัปชั่นทำได้สะดวกยิ่งขึ้น"
**ระบบอบทักษิณทำกองทัพแตกแยก
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า วันนี้สถาบันกองทัพไทยมีความแตกแยกให้เห็นชัดเจน ซึ่งโดยพื้นฐานเป็นปัญหาเนื่องจากความสัมพันธ์ที่ไม่ลงตัวระหว่างฝ่ายการเมือง กับกองทัพ โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารครั้งสุดท้ายในเหตุการณ์พฤษภา 35 กองทัพได้กลับเข้ากรมกอง และทบทวนบทบาทครั้งใหญ่
กว่าทศวรรษที่ผ่านมา กองทัพเป็นฝ่ายตั้งรับตลอด จึงเปิดโอกาสให้ระบอบทักษิณ ฉวยโอกาสรุกคืบเข้ามาจัดระเบียบมากกว่าทุกครั้ง ทั้งในทางยุทธศาสตร์และกำลังพล โดยพยายามรื้อยุทธศาสตร์ทางทหาร และแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายให้ขึ้นกับผลประโยชน์ทางการเมืองที่มีวาระทางธุรกิจซ่อนเร้นอยู่ จนทำให้กองทัพมีปัญหามาตลอดในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เกิดความขัดแย้งทางยุทธศาสตร์อย่างรุนแรงถึง 3 ครั้ง
ครั้งแรกคือ กรณีความสัมพันธ์กับประเทศพม่าที่กองทัพไทยใช้ระบบรัฐกันชน อันเป็นยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณคำนึงถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจกับพม่าก็พยายามเพราะมีการร่วมลงทุนในธุรกิจโทรศัพท์และโทรคมนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ จึงพยายามล้มเลิกยุทธศาสตร์ดังกล่าวจนมีปัญหากับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีต ผบ.ทบ.ในสมัยนั้น ซึ่งปัจจุบันเป็นองคมนตรี
ครั้งที่ 2 กรณีปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่แต่เดิมดูแลรับผิดชอบโดยทหาร แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยึดอำนาจจากกองทัพแล้วเอาตำรวจไปทำหน้าที่แทน และเป็นยุคตำรวจที่อิงการเมืองมากเกินไปก็เลยเกิดปัญหาบานปลายมาทุกวันนี้
ครั้งที่ 3 การขายหุ้นชินฯ ซึ่งดาวเทียมไทยคม ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ก็ถูกขายให้สิงคโปร์ท่ามกลางความไม่สบายใจของฝ่ายกองทัพ เพราะอาจเกิดปัญหาการจารกรรมข้อมูลข่าวสารทางทหารได้ในอนาคต โดยเฉพาะสถานีกำกับและควบคุมดาวเทียมไทยคม ที่ปัจจุบันตั้งอยู่ย่าน จ.นนทบุรี อาจถูกย้ายไปตั้งที่ประเทศสิงคโปร์แทน
รอยร้าวของกองทัพที่เกิดขึ้นภายใต้ระบอบทักษิณ ยังไปไกลถึงขั้นนายทหารบางนายทำตัวสนองความต้องการของฝ่ายการเมืองมากกว่าจะยึดมั่นในเกียรติภูมิ และศักดิ์ศรีของนายทหาร นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ต้องออกมาเตือนสติ
"ถ้าระบอบทักษิณยังอยู่ รอยร้าวในกองทัพอาจขยายบานปลายจนเกิดการรัฐประหาร หรือประชาชนตกเป็นเหยื่อของความแตกแยก ภัยคุกคามประชาธิปไตยที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวหาคนอื่นนั้น น่าจะเป็นตัวเองมากกว่าใคร ที่เป็นเงื่อนไขให้เกิดอำนาจนอกระบบขึ้น"นายสุริยะใส กล่าว
เมื่อวานนี้ (20 ก.ค.)พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กองทัพบก โยกย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน พร้อมกันทั่วประเทศ 38 กองพัน 129 นาย โดยเฉพาะในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 และ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นหน่วยคุมกำลัง และเป็นนายทหารที่อยู่ภายใต้การดูแลของนักเรียนเตรียมทหาร รุ่น 10 (ตท.10)ว่า คงไม่มีอะไร เป็นเรื่องปกติของแต่ละหน่วย เป็นฤดูกาลโยกย้ายเดือนตุลาคม กองทัพจะมีการโยกย้ายเป็นประจำอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ปกติโผโยกย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน จะออกหลังเดือนตุลาคม ไม่ใช่หรือ พ.ต.ท.กล่าวว่า เป็นเรื่องภายในของกองทัพที่จะดำเนินการ ต้องไปถามผู้บัญชาการทหารบก เมื่อถามย้ำว่า การโยกย้ายครั้งนี้ เป็นการโยกย้ายขุมกำลังในกรุงเทพฯ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า เป็นเรื่องของผู้บัญชาการทหารบก
"ผมไม่ทราบรายละเอียด แต่เชื่อว่าคงไม่มีอะไร เป็นเรื่องของผู้บัญชาการทหารบก เป็นเรื่องภายใน รัฐบาลจะทราบเฉพาะระดับนายพล เชื่อว่าไม่มีอะไรผิดปกติ"นายกรัฐมนตรี กล่าว พร้อมกับปฏิเสธกระแสข่าวที่ระบุว่า มีความขัดแย้งกันเองของ ตท.10
ผู้สื่อข่าวพยายามถามถึงกระแสข่าวการซ่องสุมกำลังเพื่อก่อการปฏิวัติของทหารบางกลุ่ม พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า "โอ๊ย...พวกคุณอย่างนี้ ไม่ค่อยสร้างสรรค์ ไม่มีอะไรหรอก" จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เดินขึ้นรถทันที
**โวยผู้ประสงค์ร้ายป่วนกองทัพ
พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รักษาการรมว.กลาโหม กล่าวถึงข่าวที่แกนนำ ตท.10 ออกมาระบุถึงความเคลื่อนไหวของบางหน่วย เพื่อการรัฐประหารว่า "การปฏิวัติผิดกฎหมาย อย่ามาพูดเล่นกันนัก ใครจะปฏิวัติให้มาบอกผมหน่อย จะเอาตำรวจไปจับ มันพูดกันเป็นเล่นไปหมด ผิดกฎหมายนะ ผู้สื่อข่าวก็อาจจะเอาไปเขียนกันมันอารมณ์"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ให้ความมั่นใจได้หรือไม่ว่าข่าวรัฐประหารจะไม่เป็นจริง พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า "ผมให้ความมั่นใจคุณไม่ได้ แต่ผมบอกว่าคนพูดไปคิด มันผิดกฎหมาย จำไว้แค่นี้พอ" ผู้สื่อข่าวซักต่อว่า คนที่คิดทำ แต่ยังไม่ทำ ก็ยังไม่ผิดกฎหมาย พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า "การคิด แต่ยังไม่ปฏิบัติ ก็ไม่เป็นไร แต่ต่อองค์พระเจ้าอยู่หัว แม้แต่คิดก็ไม่ได้"
เมื่อถามว่า ได้สอบถามไปยัง พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 หรือไม่ ว่ามีข้อเท็จจริงแค่ไหน พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า เขาไปบรรยายที่สถาบันการศึกษา ก็เป็นความคิดเห็นของ พล.ท.สพรั่ง เพียงแต่บางทีในสถานการณ์เช่นนี้ บางคำควรจะพูดหรือเปล่าเท่านั้นเอง จริงๆ แล้วเป็นความคิดเห็นเชิงวิชาการ ก็เท่านั้น คือทุกฝ่ายต้องระมัดระวังในการพูด หรือให้ข้อมูลผ่านสื่อด้วย
"ผมก็ต้องปรามระดับผู้ใหญ่ ผมเป็นรัฐมนตรี ก็ต้องปรามผ่านทางระดับผู้ใหญ่ ให้ดูลูกน้องทำความเข้าใจกันหน่อย เพราะคนในกองทัพไม่ใช่ดี 100 % คนไม่ดีก็มีอยู่ มีทั้งคนผิดหวัง สมหวัง ในฐานะที่เราดูแลกำลังพลต้องทำความเข้าใจให้มากที่สุด คนที่เป็นผู้บังคับบัญชา ต้องมีทั้งคนเกลียด คนรัก แต่ว่าต้องให้คนรัก มากกว่าคนเกลียดถึงจะอยู่ได้ ผมเป็นห่วงตรงที่สถาบันเราได้ถูกทำลายไปหลายส่วนแล้ว สถาบันนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการก็โดน เมื่อกองทัพนิ่งอยู่ เขาก็ต้องพยายามทำให้กองทัพรวน แต่คิดว่าเราแก้ไขปัญหาได้ หลังจากที่มีการปรับย้ายเรียบร้อยแล้ว คิดว่าไม่มีปัญหา เพราะผมพยายามให้ความเป็นธรรมมากที่สุดอยู่แล้ว"
รมว.กลาโหม กล่าวย้ำว่า ในภาพรวมถือว่าสถาบันกองทัพยังมีความมั่นคงอยู่ แต่ว่าเมื่อมีสถานการณ์ที่มันอึมครึมอยู่ในประเทศขณะนี้ ก็มีคนฉวยโอกาส ให้มองดูว่ามันรวน ความจริงไม่รวนอะไร ซึ่งคนที่ฉวยโอกาสนั้นคงบอกไม่ได้ว่าเป็นใคร เพราะตนแอบมองอยู่
**ช่วงโยกย้ายต้องมี ผิดหวัง สมหวัง
พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวด้วยว่า ได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ท่านก็ไม่ได้วิตกอะไร เพราะเวลาปรับย้ายก็เป็นเช่นนี้ จะมีคนผิดหวัง สมหวังทุกครั้ง แต่เราพยายามทำให้ยุติธรรมที่สุด ในฐานะที่เป็น รมว.กลาโหม ตนไม่เคยแก้ไข ถ้าอันไหนไม่เหมาะสม ก็เรียกมานั่งคุยกันทุกเหล่าทัพ
อย่างไรก็ตาม ในการแต่งตั้งโยกย้าย ถ้าเรายึดหลักอาวุโสเพียงอย่างเดียว แล้วบอกว่าเข้าแถวกันขึ้นมาตามรุ่น อย่างนี้ไม่ใช่ อยู่ที่ความเหมาะสม ความสามารถ ว่าคนไหนควรอยู่ตรงไหน
เมื่อถามว่า จะไม่มีการย้าย ผบ.ทบ.ไปเป็น ผบ.สส.หรือ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า"ผมยังไม่รู้ ยังไม่เห็น ก็ว่ากันไป"
ขณะนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับการผ่าตัด แล้วจะเร่งทำโผทหารเพื่อทูลเกล้าฯ ได้หรือ พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า ไม่ เราก็ต้องดูเหตุการณ์ ไม่ใช่วันนั้น วันนี้ตายตัว พระองค์ท่านทรงประชวรอยู่ เราก็ไม่ส่งขึ้นไป ก็เท่านั้น
กรณีมีกระแสข่าวว่ามีเตรียมทหารรุ่น 10 บางกลุ่ม เตรียมทำหนังสือถึง รักษาการรมว.กลาโหม ให้ปลด ผบ.ทบ.มีข้อเท็จจริงอย่างไร พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า มาจากไหน เป็นกระแสข่าว ข่าวลือก็ลือไป พอเวลาจะมีการโยกย้ายนายทหาร ก็ลืออย่างนี้
**พฤณท์ยัน ตท.10 ไม่แตกแยก
สำหรับการปรับย้ายผู้บังคับกองพันนั้น พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1.รอ.)กล่าวถึงผลการโยกย้ายครั้งนี้ทำให้ พล.ท.อนุพงษ์ เหล่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 เพื่อนร่วมรุ่น ตท. 10 และ พล.ต.พฤณฑ์ เกิดการแตกหักระหว่างเพื่อนร่วมรุ่นว่า ไม่จริง การโยกย้ายครั้งนี้ไม่ได้เกิดปัญหาระหว่างตน และ แม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งยอมรับว่าการโยกย้ายครั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 1 ไม่ได้มีการคุยกับตน แต่ที่ผ่านมาก่อนจะโยกย้าย ได้คุยกันตลอดว่าใครจะไปอยู่ไหนกันบ้าง และการโยกย้ายครั้งนี้เห็นว่ามีการประชุมร่วมกันหลายคน พอโยกย้ายเลยไม่ต้องมาปรึกษากับตนก็ได้ รับรองว่า รุ่น 10 เราไม่มีแตกแยกแน่นอน และไม่มีการข้ามหัวทั้งนั้น ไม่มีปัญหาอย่างที่ข่าวลง รับรองไม่มีการบอยคอตจากรุ่นอย่างที่เป็นข่าว เราก็เป็นเพื่อนกันมานาน ใครจะไปทำอะไรอย่างนั้น ถ้ามีเรื่องเราก็คุยปรึกษากันก็ไม่มีปัญหา
"ผมยังงกับข่าวว่าผมไม่ถูกกับป๊อก(พล.ท.อนุพงษ์)เพราะเมื่อคืน(19 ก.ค.)ผมกับป๊อก ยังไปกินข้าวกันเลย หลังจากมีงานแข่งกอลฟ์ ทบ. เราคุยกันว่าทำไมมีข่าวรุ่นเราออกมากันเยอะจัง แต่ยืนยันว่า ผมกับเขาไม่ได้มีปัญหากัน แต่ข่าวบางทีเขียนออกไปจนผมกับเพื่อนๆรวมถึงป๊อกก็งง ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้บ่นน้อยใจอะไรกับการโยกย้ายครั้งนี้ เพราะน้องๆที่มาใหม่ผมก็รู้จักตั้งแต่สมัยเป็น ร.ต.อยู่ใน ร.1 ไม่มีปัญหาในการทำงานหรอก ส่วนที่ว่าเขาย้ายเด็กของผมออกไปก็ไม่มี เพราะทหารในกองทัพภาคที่ทุกคนเป็นน้องๆ ที่ผมรู้จักหมด ไม่มีใครเด็กใคร มีแต่ทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับรองรุ่นเรารักกันดี"พล.ต.พฤณฑ์ กล่าว
ด้าน พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน ที่มีเสียวิพากษ์วิจารณ์ในหลายประเด็นอาจทำให้เกิดความสับสน และเข้าใจผิด จึงขอชี้แจงว่า กองทัพบกมีนโยบายชัดเจนที่มอบหมายให้ผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกเป็นผู้รับผิดชอบพิจารณา ทั้งด้านความรู้ความสามารถ และเมื่อมีการเสนอรายชื่อมาตามขั้นตอนจนถึงระดับกองทัพบก ก็จะมีคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองอีกระดับหนึ่ง โดยรองผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาคัดสรรให้ได้บุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งต่าง ๆ
ทั้งนี้การปรับย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพันเป็นไปตามระบบและเป็นไปตามวงรอบการบริหารของกองทัพบก
**มีแต่ทหารของในหลวง ไม่มีเด็กใคร
พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึง การปรับย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพันในพื้นที่กรุงเทพฯว่า ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน และระเบียบของกองทัพบก โดยผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการของกองทัพบกทุกประการ ทุกอย่างจบไปแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซึ่งตนยึดหลักการพิจารณาด้วยความยุติธรรมสามารถตรวจสอบได้ ผู้บังคับหน่วยทุกคนที่ถูกปรับย้ายมีคุณสมบัติครบตามหลักเกณฑ์ และอยู่ในตำแหน่งมาอย่างน้อย 2 ปีแล้ว สมควรที่จะได้รับการหมุนเวียนตามสายการบังคับบัญชา
ส่วนที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีการปรับย้ายคนใกล้ชิดของ พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ออกจากตำแหน่งนั้น จะพูดเช่นนี้ไม่ได้ เพราะทหารไม่มีคำว่าเด็กใคร ใกล้ชิดใคร เพราะทุกคนเป็นทหารของกองทัพ ทหารของชาติ และเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การจะพูดว่าเด็กใครเป็นเด็กใครนั้น ไม่ถูกต้อง
"ผมเป็นทหารที่ไม่มีนอกมีใน ผ่านการเป็นผู้บังคับบัญชาในตำแหน่งหลักมามากมาย สามารถไปตรวจสอบประวัติรับราชการได้ และทุกคนในกองทัพรู้ว่าผมเป็นอย่างไร ผมเป็นทหารที่มีจุดยืน มีความเป็นทหาร ผมเคยเป็นผู้บังคับบัญชาในกองพลที่ 1 รักษาพระองค์มาก่อน ย่อมรู้ดีว่าใครเป็นใคร และผู้บังคับกองพันทุกคนที่ปรับย้ายก็ได้ตำแหน่งที่ดีขึ้นทุกคน เขาแทบจะมากราบขอบคุณด้วยซ้ำ" แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าว
พล.ท.อนุพงษ์ กล่าวด้วยว่า การปรับย้ายผู้บังคับกองพันครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการปรับย้ายนอกฤดูกาล เพราะการปรับย้ายผู้บังคับกองพันกองทัพบก จะดำเนินการ 2 ช่วง คือหลังบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลประจำเดือนเม.ย.และเดือนต.ค. แต่ครั้งนี้ที่ต้องเลื่อนการพิจารณามา เพราะบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา มีความล่าช้า
**โยกย้ายปกติ ไม่เกี่ยวการเมือง
พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รักษาการรมว.มหาดไทย กล่าวว่า การโยกย้ายทหารนั้นมี 2 ฤดูกาล คือช่วง เม.ย.และ ต.ค. โดย เม.ย.จะเริ่มที่ระดับนายพล และเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ระดับนายพลเสร็จ ก็จะต่อกันไปเป็นระดับ พ.อ.พิเศษ ,พ.ท.,พ.อ. เป็นวงรอบปกติ เพราะกำลังพลเยอะ ซึ่งการโยกย้ายครั้งนี้ ถือว่าเป็นการย้ายในฤดูกาลปกติของเม.ย.ไม่มีอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า น่าสังเกตุว่าการย้ายเป็นเฉพาะผู้บังคับการกองพันในกทม.เท่านั้น พล.อ.อ.คงศักดิ์ กล่าวว่า คิดว่าคงทั่วไปทั้งประเทศ ของกองทัพอากาศเองก็ทั่วไปหมด แต่อาจจะมีการหยิบยกมาพูดเป็นกรณีๆไป และคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับการเมือง
"ใครเป็นนายก็ต้องเลือกลูกน้องตัวเองทั้งนั้น เพื่อสะดวกในการทำงาน ทำงานเป็นทีม แต่ส่วนมากทางทหารเราจะดำเนินการกันไปตามขั้นตอนเรื่อยๆ อีกทั้งทหารเป็นหน่วยกำลังรบ จึงต้องมีการทำงานเป็นทีม และการย้ายครั้งนี้ เชื่อว่าจะไม่ทำให้ระดับผู้บังคับการกองพันอึดอัดใจ เพราะคนในกองทัพทุกคนเข้าใจระบบ"
ส่วนที่มีการมองว่าเป็นการโยกย้าย ตท.10 เพื่อจับตา และเพื่อทำให้ขยับอะไรไม่ได้ พล.อ.อ.คงศักดิ์ กล่าวว่า ในแต่ละรุ่นมันจะห่างกันไปประมาณ 3 รุ่น 3 ปี ไม่เช่นนั้นมันจะผ่องถ่ายกันไม่ได้ ซึ่ง ตท.10 ก็กำลังจะถึงรุ่นของเขาแล้ว เพราะเหลืออีกไม่กี่ปี 3-4 ปี ก็จะเกษียน
ส่วนกระแสข่าวที่ว่า ตท.10 ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะพยายามผลักดัน ตท.10 สายเดียวกันมานั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ.แทน พล.อ.สนธิ นั้นก็เป็นการพูดกันไปอย่างนั้นเอง แต่ความจริงไม่ใช่ และผบ.ทบ.ก็จะเกษียนอยู่แล้ว อีกทั้งคนที่จะเป็น ผบ.ทบ.ก็ควรจะมีอายุราชการอีก 2-3 ปี จึงต้องเอารุ่นหลังๆ ขึ้นมา
สำหรับการทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ของกระทรวงมหาดไทย ท่ามกลางกระแสข่าวการขับเคี่ยวแบ่งสีกันระหว่าง สิงห์ดำ และสิงห์แดงนั้น พล.อ.อ.คงศักดิ์ กล่าวว่า"ไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าพี่สิงห์เทา สิงห์ทหารอากาศ ยืนยันว่า ในการพิจารณาเราจะไม่เลือกว่าใครเป็นสิงห์ไหน แต่จะดูหลายอย่างทั้ง ความรู้ สามารถ คุณสมบัติในการเข้ากับประชาชน โชว์ภาพได้ ทำงานร่วมกับหน่วยอื่นได้ มีความคิดสร้างสรรค์ สุดท้ายที่ตามมาจะเป็นเรื่องอาวุโส แต่ในการแต่งตั้ง จะใช้ความรู้ความสามารถเป็นหลัก ซึ่งถ้าทำได้จะพยายามให้รายชื่อทั้งหมดเสร็จทันวันที่ 1 ส.ค.นี้ เพราะกว่าจะผ่านขั้นตอนการโปรดเกล้าฯ คงจะเป็นประมาณกลางเดือนก.ย."
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีกระแสว่าจะมีการตั้ง นายสาโรช คัชมาตย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ พอใจความสำเร็จในการจัดงาน"รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นถวายองค์ราชาครองราชย์ 60 ปี"ที่วัดพระธรรมกาย พล.อ.อ.คงศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ นายกฯ เพียงให้มาปรึกษาหารือกัน แล้วนำเสนอ เราก็หารือหลายส่วน
**จวกไอ้โม่ง-ทหารเลวเชลียร์แม้ว
บ่ายวานนี้ (20 ก.ค.)พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 ได้เป็นประธานในพิธีลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ สโมสรบันเทิงทัพ ค่ายสมเด็จพระนเรศวร โดยมีแม่บ้านทหารบก-นายทหารของกองทัพภาคที่ 3 เข้าร่วมพิธีประมาณ 1,000 คน
หลังเสร็จพิธี พล.ท.สพรั่ง ได้กล่าวต่อเหล่าแม่บ้าน-นายทหาร ที่มาร่วมพิธีว่า กรณีที่มีข่าวว่ากองทัพภาคที่ 3 ซ่องสุมกำลังเพื่อก่อปฏิวัติ ออกมาตามสื่อมวลชนแขนงต่างๆ นั้น ตนรู้ว่ามาจากไหน เป็นเพราะมีทหารเลวบางคน ซึ่งมีอยู่ 2-3 คน พยายามสร้างข่าวเอาไปเชลียร์ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อหวังยศ-ตำแหน่งโดยไม่คำนึงถึงกองทัพ เป็นการสร้างความแตกแยกในกองทัพ เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
"เรื่องนี้ผมจะขอเคลียร์ในระดับกองทัพภาคที่ 3" แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าว และว่า ต้องการกระจายข่าวผ่านแม่บ้านทหาร ของกองทัพภาค 3 ทุกคนให้กระจายข่าวที่ถูกต้อง ไม่ต้องไปดูละครแดจังกึมกันแล้ว เพราะปีนี้เป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองราชย์ครบ 60 ปี แต่กลับเป็นปีที่บ้านเมืองวุ่นวาย เพราะมีคนเลวที่ใส่เสื้อเหลือง มาชกกับคนที่ใส่เสื้อเหลือง
ส่วนคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองที่สับสน จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นหรือไม่นั้น แม่ทัพภาค 3 ปฏิเสธที่จะพูด โดยบอกว่า ไม่ขอตอบเรื่องการเมือง
**แถลงการณ์ถล่มไอ้โม่ง"ตท.10"
นอกจากนี้ พล.ท.สพรั่ง ยังได้ออกแถลงการณ์ จากแม่ทัพภาค 3 ถึงสื่อมวลชนทุกแขนง มีเนื้อหาระบุว่า ตามที่ นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 21 ก.ค.49 ลงข้อความจากการให้ข่าวของผู้ที่อ้างว่า เป็นแกนนำเตรียมทหารรุ่น 10 และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ของแม่ทัพภาคที่ 3 นั้น หลังทราบข่าวแม่ทัพภาคที่ 3 ได้แจ้งต่อผู้ใต้บังคับบัญชาว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาในกองทัพภาคที่ 3 ที่เป็น ตท.10 เกือบทุกคนเป็นคนดีและปฏิบัติงานเข้มแข็ง และแม่ทัพภาคที่ 3ได้สนับสนุนให้มีตำแหน่งสูงขึ้นทุกครั้งที่มีคำสั่งย้าย ยกเว้นผู้ที่เป็นคนเลว
โดยคนเลวในสายตาของแม่ทัพภาคที่ 3 คือ คนที่เอาเรื่องส่วนตัวไปพัวพันกับผลประโยชน์ของชาติ ให้ร้ายผู้บังคับบัญชาลับหลัง คิดว่าคนอื่นจะมีจิตใจเลวเหมือนที่ตนคิด มักใหญ่ใฝ่สูง ทำได้ทุกอย่างด้วยการใส่ร้ายผู้อื่นเอาดีใส่ตัว เจริญก้าวหน้าด้วยการเหยียบไหล่ผู้อื่น เอาความลับของราชการมาเปิดเผย ผิดทั้งจรรยาบรรณและกฎหมาย ทั้งที่ทหารได้ปฏิญาณตนต่อธงไชยเฉลิมพลในข้อความสุดท้ายที่ว่า "ข้าฯจะไม่แพร่งพรายความลับของทางราชการเป็นอันขาด"
นอกจากนี้ พล.ท.สพรั่ง ยังยืนยันในแถลงการณ์อีกว่า ไม่มีความคิดมักใหญ่ใฝ่สูง โดยขอให้ตรวจสอบประวัติได้ที่กองทัพบก ซึ่งที่ผ่านมาเคยเสียสละตำแหน่งผู้บังคับการ กรมนักเรียนนายร้อย เป็นตำแหน่งประจำ เพื่อให้เพื่อนที่รอมานานขึ้นแทน ผ่านการรบมีการปะทะไม่ต่ำกว่า 200 ครั้ง โดยที่ไม่เคยขอเหรียญกล้าหาญ แต่ได้ขอให้ผู้บังคับบัญชาแทน พร้อมกันนี้ยังชี้แจงว่า การที่ทหารกองทัพภาคที่ 3 ฝึกความพร้อมรบนั้น เป็นเจตนาของแม่ทัพภาคที่ 3 ตั้งแต่วันรับตำแหน่ง เพื่อให้พร้อมเผชิญกับภัยคุกคามทุกรูปแบบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของทหารอาชีพ มิใช่ทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ โดยการดำเนินงานดังกล่าว มิได้ทำโดยพลการ มีผู้บัญชาการทหารบกที่เป็นผู้บังคับบัญชา
แถลงการณ์ของแม่ทัพภาคที่ 3 ยังระบุอีกว่า การให้ข่าวของ"ทหารเลว"คนนี้ มักจะนำข่าวที่บิดเบือนไปบอกผู้มีอำนาจทางการเมืองให้เข้าใจผิด เพื่อทำลายผู้อื่น ตัวเองได้รับความดีความชอบ ลาภยศ และตำแหน่ง การกระทำดังกล่าว พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ผช.ผบ.ทบ., พล.ท.ปรีชา วรรณรัตน์ รองเลขานายกฯ ทราบดี การที่ทหารผู้นี้มาให้ข่าวบิดเบือนการทำงานของแม่ทัพภาคที่ 3 ก็เพื่อประจบสอพลอนายกรัฐมนตรี โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของกองทัพ และประเทศชาติ หวังเพียงตนเองจะได้ตำแหน่งสูงสุดของกองทัพภาคที่ 3 อย่างเดียว
กรณีที่ทหารผู้นี้ตำหนิว่า แม่ทัพภาคที่ 3 ออกมาแสดงจุดยืนปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ว่า ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร ขอให้พี่น้องประชาชนคิดดูว่า ทหารผู้นี้สมควรเป็นทหารของชาติ ทหารของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นทหารของประชาชนหรือไม่
พล.ท.สพรั่ง ยังยืนยันผ่านแถลงการณ์อีกว่า "ทหารทุกคนในกองทัพภาคที่ 3 มีความรักความสามัคคี เป็นทหารของชาติ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ที่มีวินัยที่จะรับฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายทหาร ตท.10 ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกองทัพภาคที่ 3 มีด้วยกัน 4 นาย ส่วนรองแม่ทัพภาคที่ 3 อีก 2 นาย เป็นรุ่น 11 และรุ่น 8
**ออกสปอตย้ำจุดยืนผ่าน 24 คลื่นวิทยุ
รายงานข่าวจากหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ แจ้งว่าขณะนี้กองทัพภาคที่ 3 ได้ออกสปอตเสียง ของแม่ทัพภาคที่ 3 ที่เคยพูดในเวทีต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา เพื่อแสดงจุดยืนในความเป็นทหารของประเทศชาติ ประชาชนและเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีใจความว่า "เราเป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว เราจะยืนเคียงข้างประชาชน" ผ่านสถานีวิทยุกองทัพบก 24 คลื่น ออกอากาศครอบคลุมพื้นที่ 17 จังหวัด ภาคเหนือ ในทุกๆ ต้นชั่วโมง
หลังจากตั้งแต่ต้นเดือนก.ค.49 เป็นต้นมา พล.ท.สพรั่ง ได้เดินสายไปบรรยาพิเศษ พร้อมกับเดินทางไปพูดคุยกับกลุ่มพลังมวลชน-การเมืองต่างๆ ในพื้นที่จ.พิษณุโลก และอีกหลายกลุ่มในภาคเหนือ เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการจัดชุมชนใดๆ ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 มาอย่างต่อเนื่อง โดยทุกครั้ง แม่ทัพภาคที่ 3 พยายามย้ำว่า ทหารไม่ต้องการอยู่ฝั่งหนึ่ง ฝั่งใด ไม่ต้องการให้ประชาชนถูกยั่วยุ ระดมกำลังหรือก่อม็อบใดๆ ทั้งสิ้น ขอเป็นกลางเป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าหน้าที่ด้านการข่าวหลายหน่วยในพื้นที่ภาคเหนือ ระบุสอดคล้องกันว่า จุดยืนของแม่ทัพภาคที่ 3 ที่แสดงออกอย่างเปิดเผย ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่วุ่นวายมานานนั้น ไม่ได้มีเพียงการเดินสายไปพบกลุ่มพลังมวลชน-สถานบันการศึกษาในท้องถิ่นเท่านั้น แต่มีผลต่อความเคลื่อนไหวของ "กองกำลังส่วนตัว"ของนักการเมืองใหญ่ในภาคเหนือ ที่เคยเคลื่อนไหวสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในช่วงที่เกิดการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย
**แห่ให้กำลังใจผ่านเว็บบอร์ด ทภ.3
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การออกมาแสดงจุดยืนของ พล.ท.สพรั่ง ส่งผลให้มีคนเข้าไปในเว็บไซต์ ของกองทัพภาคที่ 3 และโพสต์ข้อความให้กำลังใจแม่ทัพภาคที่ 3 รวมถึงกำลังพล ผ่านเว็บบอร์ดของกองทัพ ที่ http://www.army3.pitlok.net/phpBB2/viewforum.php?f=1 เป็นจำนวนมาก เช่น ผู้ที่ระบุชื่อว่า แก้วสีขาบ โพสต์ข้อความว่า "ขอสนับสนุนนายกองแม่ทัพในภาคที่สามทุกท่าน สำหรับการยืนเคียงข้างในหลวงและประชาชน การพูดอย่างชัดเจนในฐานะของตัวแทนกองทัพภาคที่ 3 ทั้งหมด ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร เมื่อวันที่ 18 ก.ค.49 แสดงถึงจิตวิญญาณของชายชาติอาชาไนยโดยแท้" หรือ คนเมืองนนท์ ที่ระบุว่า "ดีใจอย่างมากที่สุดเลยค่ะ รู้สึกมีความหวังในใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่ายังมีคนดีหลงเหลืออยู่บ้างในสังคมอันเลวร้ายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สังคมวัตถุนิยม สังคมที่แทบจะไม่รู้ว่าผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี และขาดจริยธรรมของผู้นำ" หรือ ผู้ที่แทนตัวเองว่า คนโคราชและชาวโคราช ขอให้กำลังใจแม่ทัพภาคที่ 3 ทหารของพระเจ้าแผ่นดิน
รวมถึงผู้ที่ใช้ชื่อว่า บุญช่วย ที่บอกไว้ในเว็บบอร์ดดังกล่าวว่า "ขอชื่นชมท่านแม่ทัพ ที่อออกมาแสดงตน สมกับบทบาทที่ควรจะเป็นของทหารของชาติ ที่จะปกป้องและรักษาพระเกียรติของในหลวง และต่อต้านพวกที่คิดร้ายต่อประเทศ และสถาบันหลักของเรา โดยเฉพาะรัฐบาลที่มัวเมาในอำนาจ ฉ้อฉลในการใช้อำนาจ และกอบโกย ขายชาติอย่างน่าละอาย ท่านได้แสดงความกล้าหาญ อย่างไม่กลัวเกรงต่ออำนาจของรัฐบาลทักษิณ ที่ทำได้ทุกอย่าง แม้ความไม่ถูกต้องในหลายๆอย่าง ที่เอาคนไม่ดีขึ้นมาเป็นใหญ่ เพื่อช่วยให้การคอร์รัปชั่นทำได้สะดวกยิ่งขึ้น"
**ระบบอบทักษิณทำกองทัพแตกแยก
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า วันนี้สถาบันกองทัพไทยมีความแตกแยกให้เห็นชัดเจน ซึ่งโดยพื้นฐานเป็นปัญหาเนื่องจากความสัมพันธ์ที่ไม่ลงตัวระหว่างฝ่ายการเมือง กับกองทัพ โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารครั้งสุดท้ายในเหตุการณ์พฤษภา 35 กองทัพได้กลับเข้ากรมกอง และทบทวนบทบาทครั้งใหญ่
กว่าทศวรรษที่ผ่านมา กองทัพเป็นฝ่ายตั้งรับตลอด จึงเปิดโอกาสให้ระบอบทักษิณ ฉวยโอกาสรุกคืบเข้ามาจัดระเบียบมากกว่าทุกครั้ง ทั้งในทางยุทธศาสตร์และกำลังพล โดยพยายามรื้อยุทธศาสตร์ทางทหาร และแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายให้ขึ้นกับผลประโยชน์ทางการเมืองที่มีวาระทางธุรกิจซ่อนเร้นอยู่ จนทำให้กองทัพมีปัญหามาตลอดในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เกิดความขัดแย้งทางยุทธศาสตร์อย่างรุนแรงถึง 3 ครั้ง
ครั้งแรกคือ กรณีความสัมพันธ์กับประเทศพม่าที่กองทัพไทยใช้ระบบรัฐกันชน อันเป็นยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณคำนึงถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจกับพม่าก็พยายามเพราะมีการร่วมลงทุนในธุรกิจโทรศัพท์และโทรคมนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ จึงพยายามล้มเลิกยุทธศาสตร์ดังกล่าวจนมีปัญหากับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีต ผบ.ทบ.ในสมัยนั้น ซึ่งปัจจุบันเป็นองคมนตรี
ครั้งที่ 2 กรณีปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่แต่เดิมดูแลรับผิดชอบโดยทหาร แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยึดอำนาจจากกองทัพแล้วเอาตำรวจไปทำหน้าที่แทน และเป็นยุคตำรวจที่อิงการเมืองมากเกินไปก็เลยเกิดปัญหาบานปลายมาทุกวันนี้
ครั้งที่ 3 การขายหุ้นชินฯ ซึ่งดาวเทียมไทยคม ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ก็ถูกขายให้สิงคโปร์ท่ามกลางความไม่สบายใจของฝ่ายกองทัพ เพราะอาจเกิดปัญหาการจารกรรมข้อมูลข่าวสารทางทหารได้ในอนาคต โดยเฉพาะสถานีกำกับและควบคุมดาวเทียมไทยคม ที่ปัจจุบันตั้งอยู่ย่าน จ.นนทบุรี อาจถูกย้ายไปตั้งที่ประเทศสิงคโปร์แทน
รอยร้าวของกองทัพที่เกิดขึ้นภายใต้ระบอบทักษิณ ยังไปไกลถึงขั้นนายทหารบางนายทำตัวสนองความต้องการของฝ่ายการเมืองมากกว่าจะยึดมั่นในเกียรติภูมิ และศักดิ์ศรีของนายทหาร นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ต้องออกมาเตือนสติ
"ถ้าระบอบทักษิณยังอยู่ รอยร้าวในกองทัพอาจขยายบานปลายจนเกิดการรัฐประหาร หรือประชาชนตกเป็นเหยื่อของความแตกแยก ภัยคุกคามประชาธิปไตยที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวหาคนอื่นนั้น น่าจะเป็นตัวเองมากกว่าใคร ที่เป็นเงื่อนไขให้เกิดอำนาจนอกระบบขึ้น"นายสุริยะใส กล่าว