xs
xsm
sm
md
lg

ปฏิบัติการหักปีกทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ข่าวเชิงวิเคราะห์โดยทีมข่าวการเมือง

• ถอนรากฐานอำนาจทหาร
• ส่งสัญญาณหยุดเหิมเกริม
• จับตาขั้วราชการกลับที่ตั้ง


ผู้จัดการรายวัน - นอกจากคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารคุมกำลัง 129 นาย คือการสลายพลังต่อรองด้าน “อำนาจทหาร” ของระบอบทักษิณแบบ “ถอนรากถอนโคน” จนวันนี้เหลือเพียง “หัว” ตท. 10 ที่อยู่ในตำแหน่งคุมกำลัง 3 กองพลในเมืองหลวง แต่ไร้ “หาง” เพราะถูก “ถอดเขี้ยวเล็บ” ระดับ “ผบ.พัน” โดยสิ้นเชิงแล้ว นี่คือสัญญาณชัดเจนจาก “กองทัพของพระเจ้าอยู่หัว” ให้ฝ่ายการเมือง “หยุดเหิมเกริม” หลังจากเปิดยุทธการชนฟ้าท้าผู้มีบารมีมาเกือบ 1 เดือนเต็ม นอกจากนั้นยังจะเป็นแรงผลักสำคัญต่อขั้วอำนาจการเมืองในภาคราชการให้กล้าออกมาแสดงจุดยืน “ปลดแอกตัวเอง” จากสภาวะ “ทาสนักการเมือง” ในระยะต่อจากนี้ไป

แหล่งข่าวผู้คร่ำหวอดในวงการทหารฟันธงกับทีมข่าวการเมือง “ผู้จัดการรายวัน” ทันทีที่เห็นคำสั่งกองทัพบก ที่ 423/2549 เรื่องให้นายทหารรับราชการ จำนวน 129 นายในระดับผู้บังคับกองพัน ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2549 ว่ามีนัยสำคัญของวงการทหารที่มีต่อการเมืองในทางเปิด 2 ระดับ

ระดับแรก เป็นการประกาศต่อสังคมว่า กองทัพบกในยุคพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน มีความเป็นตัวของตัวเองในการปรับย้ายนายทหารตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม แม้ว่าสังคมจะมองว่าเป็นการโยกย้ายนอกฤดู แต่แท้จริงแล้วถือว่าเป็นอำนาจและสิทธิเด็ดขาดโดยตรงของผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่สามารถทำได้ เพราะสายงานหลักที่คุมกำลังคือผบ.ทบ. และแม่ทัพทุกภาค รวมถึงหน่วยสงครามพิเศษนั้น มีหน้าที่ต้องดูแลหน่วยในบังคับบัญชาให้พร้อมอยู่เสมอ ทั้งในห้วงเวลาปกติ และไม่ปกติ

ในระยะ 4 - 5 ปีมานี้ ธรรมเนียมปฏิบัติเรื่องการโยกย้ายในกองทัพถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองมาโดยตลอด ดังจะเห็นจากตำแหน่งผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพหลังจากยุคพล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์ไปแล้วถูกกำหนดวางตัวมาจากฝ่ายการเมือง และยังไล่ลงไปถึงระดับนายทหารคุมกองพลในช่วงปี 2546 - 2547 ที่นายทหารที่เข้าศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 10 (ตท.10) รุ่นเดียวกับรักษาการนายกรัฐมนตรี ขยับขึ้นมาคุมกำลังสำคัญกันชนิดยกแผง ขณะที่ได้เริ่มสร้างเครือข่ายของตนในระดับกองพันในช่วงหลังจากปี 2547 เป็นต้นมา

ในการโยกย้ายครั้งนี้ พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลินได้เริ่มกลับมาใช้ธรรมเนียมปฏิบัติที่กองทัพยึดถือกันมาอีกครั้งหนึ่ง กล่าวคือ ผบ.ทบ.จะไม่ลงไปล้วงลูกเรื่องการโยกย้ายนายทหารระดับพันเอกพิเศษลงมา จึงปล่อยให้ รองผบ.ทบ. คือ พล.อ. วิชิต ยาทิพย์ เป็นประธานคณะกรรมการผู้ดำเนินการทั้งหมด ผ่านทางแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 นี่จึงเป็นการทำให้กองทัพกลับมามาสู่ระบบของกองทัพอีกครั้ง

ระดับที่ 2 สาเหตุสำคัญของการโยกย้ายในจังหวะเวลาที่สถานการณ์ทางการเมืองร้อนแรงอย่างยิ่ง คือการประกาศจุดยืนของกองทัพบกต่อสังคมโดยไม่ต้องประกาศ

สถานการณ์การเมืองของประเทศร้อนแรงเป็นพื้นฐานมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2548 เมื่อเกิดกระแสขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และร้อนจัดเป็นพิเศษนับตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2549 เป็นต้นมาเมื่อรักษาการนายกรัฐมนตรีจงใจกล่าวโจมตี “ผู้เสมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ต่อหน้าที่ประชุมข้าราชการระดับหัวหน้าหน่วยงานถ่านทอดสดไปทั่วประเทศ ซึ่งจนบัดนี้เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมเปิดเผยว่าเป็นใคร หากแต่ผู้ฟังย่อมรู้เองว่าเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม พาดพิงและจาบจ้วงถึงบุคคลที่เป็นเคารพรักของคนในชาติ โดย “ผู้จัดการรายวัน” ได้วิเคราะห์ให้เห็นแล้วว่าเป็น “ยุทธการชนฟ้า” เพื่อหวังผ่าทางตันทางการเมืองของรักษาการนายกรัฐมนตรี

“จุดเปลี่ยนของเหตุการณ์อยู่ที่การออกมาส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของพล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) หลังจากทนนิ่งเงียบมานาน ในระหว่างไปบรรยายที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม สื่อมวลชนไปพาดหัวเรื่องจ๊อกกี้ กับม้า เป็นหลัก แต่สิ่งที่ต้องอ่านให้ลึกลงไปมีอีก 2 เรื่องก็คือ หนึ่ง...ท่านเป็นคนกำหนดหัวข้อที่จะพูดเอง เตรียมเนื้อหาส่วนใหญ่เอง และสอง...คือคำลงท้าย ที่ท่านขอให้นักเรียนนายร้อยตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของทูลกระหม่อมอาจารย์...สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ”

จากการติดตามของ “ผู้จัดการรายวัน” เนื้อหาของปาฐกถาในส่วนดังกล่าวมีความว่า

“ นักเรียนนายร้อยจปร.ต้องกล้าหาญทั้งกาย และใจ กล้าจะเผชิญ กล้ายอมรับความจริง และไม่หวั่นกลัวในสิ่งที่จะทำความดี ตั้งแต่เรามีทูลกระหม่อมอาจารย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้มาดูแลพวกเรา ทำให้พวกเราได้รับความรู้ ได้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ได้รับการยกย่องจากสังคม เป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนว่า เจ้านายอย่างสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯจะมีพระเมตตาต่อโรงเรียนนายร้อยจปร.ของเรา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเราจะจดจำไม่ลืม และจะต้องตอบแทนบุญคุณ”

แหล่งข่าวรายเดิมให้ข้อมูลว่า แท้ที่จริงแล้วมีการขยับเคลื่อนไหวของนายทหารที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลมาก่อนแล้ว ทั้งในทางเปิด และในทางปิด ล่าสุดก็กรณีพล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพกองทัพภาคที่ 3 ที่ส่งหน่วยประชาสัมพันธ์ออกชี้แจงกับประชาชนไม่ให้ร่วมเคลื่อนไหวตามคำยุยงชักชวนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในช่วงที่มีการระดมมวลชนในต่างจังหวัดในหลายรูปแบบจากฝ่ายรัฐบาล ตามมาด้วยคำขานรับคำกล่าวของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และประกาศชัดเจนใน 2 ประเด็น ประเด็นหนึ่ง คือการประกาศว่าตนและนายทหารในกองทัพภาคที่ 3 เป็นนายทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ทหารของนักการเมือง และอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญยิ่ง คือการประกาศว่าระบอบการปกครองปัจจุบันเป็น “ประชาธิปไตยหลอก ๆ” หรือการเคลื่อนไหวในทางลับของนายทหารชั้นผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ที่ใกล้ชิดพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่มีมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 และเกือบจะ “ดีเดย์” ประกาศสนับสนุนแนวทาง “นายกรัฐมนตรีคนกลาง” ในวันที่ 27 เมษายน แต่ต้องล้มเลิกเพราะมีกระแสพระราชดำรัสวันที่ 25 เมษายน ให้ศาลเป็นผู้แก้ปัญหา แต่เมื่อฝ่ายรัฐบาลยังไม่มีท่าทียอมรับการทำงานของศาล แล้วยังเกิมเกริมเปิดยุทธการชนฟ้าทั้งระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ที่มีลักษณะจาบจ้วงและกดดันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สุดแล้ว “ไคลแม็กซ์” ของเหตุการณ์ที่เป็นตัวส่งสัญญาณการเคลื่อนไหวเปิดเผยของทหารก็คือคำบรรยายของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์นั่นเอง

เมื่อย้อนมามองที่พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ก่อนหน้านี้เขามักจะระมัดระวังการแสดงออกต่อสาธารณะ คำสัมภาษณ์ทุกครั้งจะไม่พูดให้เข้าใจผิดและระวังที่ให้ถูกตีความว่ายืนอยู่ข้างใด และในบางครั้งจะกล่าวในเชิงตำหนิหรือปรามการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายสนธิ ลิ้มทองกุล แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมอันเป็นวันมีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน ผบ.ทบ.ที่มีรากฐานมาจากหน่วยรบพิเศษเช่นเดียวกับพล.อ.วิมล วงศ์วานิช และพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ก็แสดงตนชัดเจนเช่นกันว่าเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร มท.ภ.3

“นี่คือการสลายขั้วพลัง ขนาดที่ตัดปีกตัดหางทักษิณเลย นับจากนี้ถ้าบอกว่าทักษิณยังมีบารมีในกองทัพ หรือจะใช้ทหารให้ออกมาค้ำอำนาจ ให้เลิกพูดได้เลย เพราะงานนี้ เป็นการล้างอำนาจของทักษิณ และวางตัวคนที่วางใจได้เข้าไปกุมกำลังแทน แต่ก็ต้องชมพล.อ.สนธิ เพราะใช้วิธีการละมุนละม่อม น้อง ๆ ที่ถูกย้ายออก ก็ให้ไปกินยศพันเอก ก็คือได้เลื่อนขึ้นเป็นพันเองคนแรกของรุ่น แต่ไม่ได้คุมกำลังเหมือนเดิม ก็เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เข้าใจกันได้ระหว่างพี่ ๆ น้อง ๆ”

ล้างบางฐานอำนาจตท. 10

ประวัติศาสตร์ของวงการทหารไม่ว่ายุคไหน หากเกิดรัฐประหาร หน่วยกำลังหลักที่จะเอามาใช้คือหน่วยทหารในกทม. ซึ่งมีหน่วยหลัก ๆ ในระดับกองพล 3 หน่วย ปรากฏว่ากองพลหลักทั้งสามที่เป็นหัวใจของการคุมเมืองหลวงในยุคนี้ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตท. 10 ทั้งหมด ได้แก่

กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) พล.ต.พฤณฑ์ สุวรรณทัต (ตท.10) เป็นผู้บัญชาการ

กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม. 2 รอ.) พล.ต.ศานิต พรหมาศ (ตท.10) เป็น ผบ.พล.ม. 2 รอ.

กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (พล.ปตอ.) พล.ต.เรืองศักดิ์ ทองดี (ตท.10) เป็น ผบ.พล.ปตอ.

ทั้ง 3 กองพลที่ตท.10 คุมกำลังอยู่นี้ มีหน่วยกองพันที่ตั้งในเขตกทม.รวม 15 กองพัน โดยแบ่งเป็น พล.1 รอ. จำนวน 6 กองพัน (กรมทหารราบที่ 1 และกรมทหารราบที่ 11 แห่งละ 3 กองพัน) พล.ม. 2 รอ. จำนวน 3 กองพัน และพล.ปตอ.อีก 6 กองพัน

และหากจำแนกหน่วยกำลังหลักในการทำรัฐประหารแต่ละครั้ง หน่วยที่ขาดไม่ได้ก็คือ ร.1 พัน 1 และ ม.พัน 4 กล่าวคือต้องอาศัยทหารราบและทหารม้าที่คุมกองกำลังรถถังทั้ง 2 หน่วยนี้เป็นหัวใจของปฏิบัติการ

และการย้ายฟ้าผ่าครั้งนี้ กองพันที่เป็นหัวใจรัฐประหารทั้ง 2 หน่วยก็เป็นหนึ่งใน 129 รายชื่อ

พ.ท.โฆษิต ชินวลัญช์ ผบ.ม.พัน.4 รอ. (ตท. 23) ลูกเขยของ พล.ต.ศานิต พรหมาศ (ตท. 10) ผบ.พล.ม. 2 รอ. เป็น เสธ.จทบ.สระบุรี ได้ติดยศพันเอกแต่หลุดจากวงโคจรคุมกำลัง

พ.ท.เวชศักดิ์ ขันธ์อุบล ผบ.ร. 1 พัน. 1 รอ. (ตท. 25) เป็นติดยศพันเอกที่ตำแหน่ง หน.ฝ่ายข่าว มทบ. 13 (ลพบุรี) หน่วยนี้ถือว่าเป็นกองพันหมายเลข 1 ของเหล่าทหารราบ จึงปรากฏว่าผู้ที่ถูกส่งมาแทนจะต้องเป็นคนที่ไว้วางใจจริง ๆ นั่นคือ พ.ท.ปริญญ รื่นภาควุฒิ (ตท. 30) ทส.แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งแม้จะเป็นตท.10 แต่ก็ถูกเพื่อนร่วมรุ่นตั้งข้อหาว่าแยกตัวเองไม่เอาเพื่อนไม่เข้าร่วมปฏิบัติการสนับสนุนบัลลังก์อำนาจของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในการพูดคุยแทบทุกครั้งที่พล.ปตอ. แม่ทัพภาคที่ 1 คนนี้ไม่เคยไปร่วม เลยถูกแซวว่าไม่ใช่ตท. 10 หรอก แต่เป็นตท. 10/1 ต่างหาก

และเมื่อส่องกล้องลึกลงไป จะพบว่าผู้บังคับการกองพันในบังคับบัญชาของพล.ต. พฤณฑ์ สุวรรณทัต ถูกย้ายสลับในรอบนี้ถึง 4 กองพันจากที่มีอยู่ 6 กองพัน

“งานนี้พล.อ.สนธิฯไฟเขียว ปล่อยให้เป็นเรื่องของพล.อ.วิชิต ยาทิพย์ รองผบ.ทบ. กับพล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มท.ภ.1 พิจารณาจัดการตามระบบ ซึ่งในบรรดาทหารด้วยกันเขารู้ว่า ใครเป็นใคร ใครที่ยังมีอาการขัดขืน และใครที่ไม่มีปัญหา”

อันที่จริง ผู้บังคับกองพัน (ผบ.พัน) ทั้ง 15 หน่วยในกทม. ล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นพี่รุ่นร้องไล่รุ่นกันมา ในรุ่นของ ตท. 24 - 27 จึงมีการจัดประชุมพบปะสังสรรค์แกล้มหารือกันเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวการประท้วงของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นั่นเพราะว่าอำนาจทางการทหารในทางปฏิบัติที่แท้จริงอยู่ที่ ผบ.พัน ไม่ใช่นายพลที่บัญชาการกองพล

“คำสั่งให้เอารถถังออกนั้นอยู่ที่ผบ.พัน ทหารจะไม่เชื่อนายพลที่สั่งมาหรอก หากผบ.พันไม่เล่นด้วย” แหล่งข่าวกล่าว

และเมื่อเหตุการณ์เดินมาถึงช่วงที่นายทหารระดับสูงเริ่มมีการเคลื่อนไหวหารือถึงแนวทางการใช้กำลังปราบปรามฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในกรณีที่จำเป็น ในระหว่างเดือนมีนาคม - เมษายน 2549 ระยะนั้น ผบ.พันทั้งหมดทราบสถานการณ์ดี ถึงขนาดที่มีการตรวจสอบกันว่าใครจะเอาด้วยบ้าง แต่ที่สุดแล้วเหตุการณ์เริ่มคลี่คลายในช่วงเดือนพฤษภาคม ด้านหนึ่งเพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำหนดทิศทางการชุมนุมประชาชนอย่างรอบคอบ และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการปะทะอย่างถึงที่สุด อีกด้านหนึ่งเพราะผบ.พันเกือบทั้งหมดเห็นร่วมกันว่าทหารต้องไม่ออกไปเคลื่อนไหวเพื่อค้ำบัลลังก์ให้รัฐบาลโดยวิธีการไม่ถูกต้อง เพราะยังมีฝันร้ายจากเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ที่นายทหารดี ๆ ต้องหมดอนาคตทางราชการไปอย่างไม่น่าเชื่อ อาทิ พล.อ.ชัยณรงค์ หนุนภักดี

“เหลือเพียงไม่กี่คนที่ไม่แสดงตัวชัดเจน” แหล่งข่าวกล่าว

เมื่อสถานการณ์การเมืองเริ่มเข้าสู่จุดเผชิญหน้าอีกครั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรส่งสัญญาณแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับผู้เสมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ และแสดงท่าทีกดดันให้มีการเลือกตั้ง 15 ตุลาคม 2549 ให้ได้ทั้ง ๆ ที่ร่างพระราชกฤษฎีกาฯผ่านจากคณะรัฐมนตรีไปอยู่ที่สำนักราชเลขาธิการแล้ว อยู่ระหว่างรอพระบรมราชวินิจฉัย แสดงให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมจะแตกหัก จึงนำมาสู่คำสั่งโยกย้ายนายทหารระดับผู้บังคับการกองพันหลักในกรุงเทพฯ หลายหน่วยดังกล่าว

ซึ่งก็มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่จำเป็นต้องโยกออกจากกรุงเทพฯ ขณะที่ส่วนใหญ่ใช้วิธีการสลับตำแหน่งเพื่อให้ตระหนักถึงอำนาจของผู้บังคับบัญชาและให้กลับเข้าสู่แถวอย่างแท้จริง

จุดเปลี่ยน – ขั้วข้าราชการไหลกลับ

แรงสะเทือนจากจากโยกย้ายครั้งนี้มีผลชัดเจนทำให้อำนาจของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่แฝงอยู่ในกองทัพบก สูญสลายลงไปโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะยังมีเพื่อนร่วมรุ่นตท.10 อยู่ในตำแหน่งคุมกำลังระดับกองพลอยู่จำนวนหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อลงลึกไปถึงตัวบุคคลในตท.10 แล้ว จะพบว่าผู้ที่ยืนยันเป็นฝ่ายเดียวกับรักษาการนายกรัฐมนตรีชนิด “พร้อมเป็น พร้อมตาย” อย่างชัดเจนแทบไม่เหลือแล้ว

พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มทภ. 1 แม้จะเป็นตท.10 แต่ก็แสดงตนชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่าไม่ข้องเกี่ยวกับอำนาจการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถึงขนาดที่เพื่อนร่วมรุ่นแสดงความไม่พอใจ จัดให้เป็นตท. 10/1 การโยกย้ายครครั้งนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเขาเลือกวิถีชีวิตอย่างไร

พล.ต.เรืองศักดิ์ ทองดี ผบ.พล.ปตอ. ซึ่งบังคับบัญชากำลัง 2 กรม (6 กองพัน) เดิมถูกพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน แสดงท่าทีไม่ไว้วางใจ เช่นในช่วงที่มีการประท้วงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2549 ถึงระดับที่สั่งโยกกำลังพลของพล.ปตอ. ที่รักษาการในกองบัญชาการกองทัพบกกลับที่ตั้ง และนำหน่วยส่งครามพิเศษ (นสศ.) หมวกแบเร่ต์แดง มารักษาการแทน ปรากฏว่าล่าสุดหลังจากรักษาการนายกรัฐมนตรีเพื่อนร่วมรุ่นเปิดยุทธการชนฟ้าจาบจ้วงเบื้องสูงจนทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศชุมนุมเมื่อในวันที่ 14 กรกฎาคม เขาได้ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนที่จะยืนข้างพระเจ้าอยู่หัวว่า การเมืองจะฆ่าฟันกันอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รัฐบาลไม่ใช่เจ้าของประเทศ ไม่ใช่เจ้าของกระทรวง แต่รัฐบาลเป็นผู้บริหารประเทศ คือการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ประเทศชาติต้องอยู่ต่อไป ดังนั้นข้าราชการทุกคนต้องทำตามกรอบของกฎหมาย หากจะถามว่าทหารอยู่กับใครก็ต้องอยู่กับรัฐบาล เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ทรงเป็นจอมทัพไทย

พล.ต.พฤณฑ์ สุวรรณทัต ผบ.พล.1 รอ. มีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างคาดไม่ถึงเช่นเดียวกันกับผบ.พล.ปตอ.เพื่อร่วมรุ่น ก่อนหน้านี้แม้จะเคยเป็นคนแรกที่ออกมาแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล และให้นายทหารนำหนังสือมายื่นให้นายสนธิ ลิ้มทองกุลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2548 ปรากฏว่าในรอบนี้เขายืนยันว่าการเมืองไม่เกี่ยวกับทหาร

นี่คือการตัดปีกตัดหางของอำนาจทหารของระบอบทักษิณในขั้นสุดท้าย เพราะก่อนหน้านี้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินได้ใช้มาตรการ “จับเข่าคุยกัน” เป็นหลัก ถือเป็นมาตรการในทางปิดที่ได้ทำไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว

และที่สุดแล้ว การให้กำลังพลส่วนหนึ่งถอนตัวจากการค้ำบัลลังก์นักการเมืองกลับคืนมาสู่ความเป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัวฯและประชาชนในรอบนี้ เป็นที่จับตาว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการแสดงตนของคนในระบบราชการที่เคยอยู่ใต้อำนาจการเมืองครั้งใหญ่ติดตามมา


- เมื่อหาญกล้า‘ถ่มน้ำลายรดฟ้า’ ก็ต้องรับผล‘ละเลงหน้าตัวเอง’
- 11 เดือนก่อนปฏิบัติการหักดิบ

กำลังโหลดความคิดเห็น