xs
xsm
sm
md
lg

ดับเครื่องชนทักษิณ (5)

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

จดหมายถึงคำตา (2)

ชัยภูมิ 20 กรกฎาคม 2549

คำตา เพื่อนรัก

คำตาเอ๋ย จำสหายสมชายได้บ่ สหายสมชายแห่งโรงเรียนการเมืองการทหาร 305สำโรง ที่เราเคยเล่าให้คำตาฟังแต่ครั้งกระโน้น คนที่ผูกเปลนอนติดๆ กับสหายสมคิดหรือ ส.ว.การุณ จากบุรีรัมย์ของคำตา

เราเล่าให้คำตาฟังอย่างนี้ใช่ไหมว่า ต่อไปนี้พวกเราอย่าไปหลงใหลเชื่อมั่นกับระบบรัฐสภาต่อไปอีกเลย เพราะเลือกตั้งครั้งใด มันก็จะได้แต่คนมีเงินที่ซื้อเสียงเอาเท่านั้นล่ะ พอเข้าสภาไปแล้ว ชนชั้นใดออกกฎหมาย กฎหมายก็เป็นเครื่องมือของชนชั้นนั้น บ่ผิดดอก ถ้าเป็นนายทุนมันก็คุ้มครองนายทุน จะเป็นการส่งเสริมโรงงานลดอัตราภาษี กำหนดค่าแรงงานของพวกคนงานให้ต่ำ อ้างว่าจะได้สู้ต่างประเทศได้ หรือยกเว้นภาษีให้ทั้งหมดอย่างการขายหุ้นชินเจ็ดหมื่นกว่าล้าน เวลานายทุนโกงกันจนเจ๊ง หลวงก็รับประกันใช้หนี้แทนให้ แต่หนี้ของชาวนานิดเดียว มันก็อ้างว่าติดขัดที่กฎหมาย อย่างนี้จะมีผู้แทนราษฎรไว้หาอะไร จะไปหย่อนบัตรเลือกตั้งให้เมื่อยมือเปล่าๆ ทำไม เลือกมันเขามาเป็นนายข่มเหงเราเปล่าๆ แม่นบ่

เราก็ฟังมาจากสหายสมชายนี่แหละ แต่มาปรับตัวอย่างเติมเรื่องชินเข้าไปหน่อย เขาพูดเอาเป็นเอาตายน่าเลื่อมใสมาก ซ้ำสหายทุกคนที่เป็นนิสิตนักศึกษา เช่น สหายจรัสที่เป็นนักเรียนแพทย์ สหายใหญ่ที่เป็นนักเรียนรัฐศาสตร์ เขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกันกับสหายสมชายที่เรียนมาทางสาธารณสุข เขาว่าพวกเขาหมดหวังในรัฐธรรมนูญ และระบบรัฐสภา เพราะเขาได้ศึกษาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก่อนที่จะมาเข้าป่าแล้ว ส่วนสหายสมคิดนั้นเงียบเป็นกืก แบกปืนไปฝึกยิงล่อเป้าอยู่คนเดียว

จะไม่ให้เราเชื่ออย่างไรเนาะ ล้วนแต่ผู้มีปัญญาทั้งนั้น เรามันบ่ได้เรียนสูง ก็นำก้นเขาโลดล่ะ

อนิจจัง วัฏสังขารา คำตาเอ๋ย เมื่อวานเราขยี้ตา ไม่เชื่อว่าจะเจอะสหายสมชาย ถ้าอ่านข่าวเฉยๆ ก็คงไม่รู้ นี่ได้ดูทีวี “นายชูชีพ ชีวสุทธิ ประธานชมรมพิทักษ์รัฐธรรมนูญกับพวก 30 คนไปยื่นหนังสือกล่าวโทษตุลาการรัฐธรรมนูญ 8 คนว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำลายการเลือกตั้ง และยืนยันให้ดำเนินคดีต่อ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา ฐานละเว้นการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ครบ 5 คน”

ป้าดติโธ้ ประธานชมรมพิทักษ์รัฐธรรมนูญชูชีพ ชีวสุทธิ ก็คือสหายสมชายที่พร่ำสอนไม่ให้เรายึดถือรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้ง และรัฐสภา เช่นเดียวกับ สหายจรัส หรือคุณหมอพรหมินทร์ กับ สหายใหญ่หรือท่านรัฐมนตรีภูมิธรรม นี่เอง

อะไรหนอทำให้เขาเหล่านี้เปลี่ยนไป

แล้วคำตาของเราก็เปลี่ยนตามเขาไปจริงๆ หรือ เราไม่แน่ใจว่าคำตาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงไปเกณฑ์คนมาฟังทักษิณในวันที่ 28 กรกฎาคมที่วัดธรรมกายหรือเปล่า ถ้าจริงคำตาก็คงจะได้ยินคำโกหกอีกจนเต็มหู เราเองติดตามข่าวเห็นหลายครั้งที่คำตารณรงค์ให้คนไปเลือกตั้ง เราจะตำหนิคำตามิได้ ถ้าหากการเลือกตั้งนั้นบริสุทธิ์เที่ยงธรรม ถูกต้องสอดคล้องกันทุกเรื่องคือวันเวลาที่จัด องค์ประกอบในการจัด และองค์ประกอบของบุคคลที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเลือกตั้งที่เสรี ปราศจากการครอบงำของเงินและอำนาจรัฐ

นี่เราได้ยินพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 25 เมษายนว่า “ การยุบสภาและต้องเลือกตั้งภายใน 30 วัน ถูกต้องหรือไม่. ไม่พูดเลย ไม่พูดกันเลย. ถ้าไม่ถูกก็จะต้องแก้ไข. แต่ก็อาจจะให้การเลือกตั้งนี้เป็นโมฆะหรือเป็นอะไร. ซึ่งท่านจะมีสิทธิที่จะบอกว่า อะไรที่ควร. ที่ไม่ควร ไม่ได้ว่าบอกว่ารัฐบาลไม่ดี แต่ว่า เท่าที่ฟังดู มันเป็นไปไม่ได้. คือการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เลือกตั้งพรรคเดียวคนเดียว ไม่ใช่ทั่วไป ทั่ว. แต่ในแห่งหนึ่งมีคนที่สมัครเลือกตั้งคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้. ไม่ ไม่ใช่เรื่องของประชาธิปไตย.”

ในที่สุดศาลก็ตัดสินในพระนามาภิไธย สอดคล้องกับพระราชดำรัส ดั่งนี้สมควรหรือที่คำตากับสหายสมชายจะพากันหักล้างศาล หรือว่าความจงรักภักดีของคำตาต่อสหายจรัส สหายใหญ่ สหายทักษิณนั้นสูงยิ่งกว่าความจงรักภักดีต่อในหลวง ยกเว้นคนที่มาจากสโมสรหนึ่งเก้าบางคน เราเชื่อว่าคนที่มากับคำตาเขาไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าเขารู้เขาไม่เอากับคำตาดอก เพราะเขารักในหลวง

พอเราไปอยู่สวีเดน เราก็เห็นว่าการเลือกตั้งดี ถ้าไม่มีการเลือกตั้งก็จะไม่มีประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งมิใช่ว่าจะเป็นหลักประกันประชาธิปไตยไปทั้งหมดก็หาไม่

การเลือกตั้งที่ว่านี้มีอยู่ 2 อย่าง อย่างที่หนึ่ง ตัวการเลือกตั้งนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย อย่างที่สอง ตัวการเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยอยู่ แต่ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งแล้ว ลืมตัวเห็นว่าตัวมีเสียงมาก อยากจะทำอะไรก็ได้ ไม่ฟังฟ้าฟังไฟ ตัวอย่างอันหลังนี้ฝรั่งกลัวมาก สั่งสอนกันทุกประเทศตั้งแต่เด็กเลย ว่าอย่าเอาอย่างฮิตเลอร์ ที่อ้างการเลือกตั้ง และอาศัยเสียงข้างมากของตนในสภา อนุมัติให้ไปก่อสงคราม จนโลกเกือบจะพินาศไปทั้งโลก ชาวยิวถูกฆ่าจนจะไม่เหลือ ขณะนี้มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายคนสงสัยว่าผู้นำของเราคนหนึ่งเป็นบ้าคล้ายๆ ฮิตเลอร์ ระวังนะคำตา อย่าหลวมตัว

ตัวการเลือกตั้งและหมู่ที่พาให้การเลือกตั้งของเราไม่เป็นประชาธิปไตยก็อย่างที่ในหลวงและศาลว่านี่แหละ ตรงกับอย่างที่หนึ่ง หากดันทุรังต่อไป ใช้แต่อำนาจกับเงินเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ก็จะไม่เหลือ บ้านเมืองก็จะวิกฤตต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

การที่คำตาจะทำหน้าที่รักษาการเลือกตั้งกับประชาธิปไตยนี้ดีนะ ไม่ใช่เราว่าไม่ดี แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงและการเลือกตั้งที่เที่ยงธรรม ชาวอีสานถูกเขาดูถูกว่าอย่างไรคำตาก็รู้ซึ้งอยู่แล้ว เขาว่าพวกเราโง่ เป็นลาวขี้ขอ คะแนนเสียงของพวกเราเอาปลาทูเค็ม เอาเกือกแตะ เอาเงินมาซื้อเอาเมื่อไรก็ได้ พวกเราไม่ยืนหยัดไปร่วมมือกับคนตะกละตะกลามรวบอำนาจเป็นอีสานผลาญชาติไปหมด ทั้งๆ ที่ในอดีต ยามชาติเป็นอันตราย กำลังหลักของเสรีไทยกู้ชาติก็อีสานเรานี่แหละ แต่เดี๋ยวนี้เขาดูถูกเหมือนหมูเหมือนหมา มีประโยชน์เขาก็ยกย่อง ลับหลังเขาก็หัวเราะเยาะ หมดประโยชน์เขาก็เตะทิ้ง ซ้ำจะพูดให้ช้ำใจ ไม่ว่าจะเป็นพลเอกเป็นรัฐมนตรีก็ไม่เว้น คำตาคอยดูให้ดีเถอะ

ทีนี้เรามาพูดถึงสโมสรหนึ่งเก้า กับการสอนทฤษฎีการเมืองที่ตอนนั้นพวกเราคิดกันจนหัวแทบแตก เพราะมันช่างหาตัวอย่างยากจริง นั่นก็คือทฤษฎี “แสวงจุดร่วม-สงวนจุดต่าง”

การแสวงจุดร่วมก็คือการหาอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ เครือญาติ ความคิด หรือแม้แต่รสนิยมการชอบดูฟุตบอลเหมือนกัน การจัดตั้งเพื่อจะทำให้พรรคเติบโตไปสู่การกุมอำนาจทางการเมืองได้ ต้องเน้นการรวมหมู่บนรากฐานของจุดร่วมหรือการมีอะไรเหมือนกันนี้ ส่วนการที่มีจุดต่างหรืออะไรที่ไม่เหมือนกัน ให้เก็บซ่อนรักษาไว้ อย่าเอามาเถียงหรือสู้กันให้แตกหัก แต่ให้ตบตาเข้าไว้ อย่างดำรงความมุ่งหมาย อย่าลืมตัวหรือยอมให้ถูกกลืน

การต่อสู้ระหว่างทุนนิยมโลกาภิวัตน์กับทุนนิยมศักดินาเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ฝ่ายหนึ่งต้องการระดมจุดร่วมคือผลประโยชน์ต่างๆ แบบบริโภคนิยมซึ่งโลกาภิวัตน์นำมา โดยสงวนจุดต่างและบิดเบือนนำมาเป็นจุดร่วม นั่นก็คือสถาบันกษัตริย์ แต่ลับหลังก็ให้คำจำกัดความผิดๆ ว่า สถาบันกษัตริย์คือทุนนิยมศักดินา ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา สู้ทุนนิยมโลกาภิวัตน์บ่ได้

เรารับการหลอกลวงอันนี้ไม่ได้ ถ้าปราศจากสถาบัน ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขก็เป็นไปไม่ได้ และจุดร่วมต่างๆ คือความเจริญยั่งยืน ศีลธรรม ความเป็นธรรม ความเป็นคนไทย ก็จะไม่มีเหลือ

เรื่องสำคัญที่สุด ที่ทฤษฎีแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างอธิบายไม่ได้ก็คือเรื่องการกระจายรายได้และเศรษฐกิจพอเพียง เมกะโปรเจกต์ก็ดี การแข่งขันสุดเหวี่ยงก็ดี ทุนนิยมสุดโต่งก็ดีมันขัดกับเศรษฐกิจพอเพียงแบบไปด้วยกันไม่มีวันได้ เพราะมันเป็นแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา พวกที่รวยอยู่แล้วยิ่งรวยยิ่งขึ้น พวกที่จนยิ่งจนลง รวยแต่หนี้เมืองยิ่งใหญ่ก็ยิ่งประเคนโครงการ ให้ เท่าไหร่เท่ากันไม่มีอั้น บ้านนอกก็คงหงอยอยู่อย่างเดิม นานๆก็มีอะไรมาหลอกสักทีให้หลงดีใจ แต่ฝนไม่เคยตกทั่วฟ้าสักที

อันว่าเงินทองในสังคมหนึ่งๆ มันมีอยู่จำกัด ถ้าหมอหนึ่งหมู่หนึ่งเอาไปยัดห่าจนเกือบหมด จะเหลืออะไรไว้แบ่งให้คนส่วนใหญ่ นอกจากคำหลอกลวง ให้หลงคอยพึ่ง

คำตาเอ๋ย เชื่อพระพุทธองค์เถอะ อย่าไปหลงพระเจ้าองค์ใหม่เลย อย่าไปเชื่อคนที่ผิดศีล ไม่มีมัชฌิมาปฏิปทา ไม่รู้จักทางสายกลางเลย คนดีเขาไม่โลภจนเกินพอดีดอก ได้พันล้านจะเอาหมื่นล้าน ได้หมื่นล้านจะเอาแสนล้าน ได้ผู้แทนสองร้อยห้าสิบจะเอาสามร้อยห้าสิบ ได้สามร้อยห้าสิบจะเอาสี่ร้อยเก้าสิบเก้า ขนาดศีลห้ายังผิดอยู่โต้งๆ 2 ข้อทุกวัน คือข้อมุสา โกหกเสียดสีกับข้ออทินนา พากันคดโกงหลอกเอาสมบัติเงินทองของชาติและคนอื่น พี่น้องชาวอีสานโทรศัพท์มือถือทีหนึ่ง เขาฟาดไปเท่าไรรู้บ่ ถ้าหากเขาไม่ผูกขาด ให้มีการแข่งขันเสรี มันก็จะถูกกว่านี้สิบเท่าเหมือนกับในประเทศที่เจริญ

ความโลภแบบนี้และทุนนิยมสุดโต่งแบบนี้ที่กำลังจะทำให้โลกล้มละลาย ประเทศไทยจะหนีไปไหนพ้น จมลึกลงไปทุกวัน คำตาเอ๋ย กลับมาช่วยพี่น้องทำเศรษฐกิจพอเพียงตาแบบในหลวงเถิด คำตาจะช่วยอีสานได้สมกับที่ตั้งใจไว้

พรรคไทยรักไทยหลงผิด ที่เชื่อทักษิณว่าประเทศเหมือนบริษัท จะต้องบริหารเหมือนบริษัท มันบ่เหมือนกันดอก บริษัทมีแต่ผู้ถือหุ้น ที่หวังจะเอากำไรแต่ลูกเดียว แต่ประเทศบ่มีผู้ถือหุ้น มีแต่ผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข มากมายหลายความคิด ฐานะแตกต่างกันออกไป บางคนก็ถือศีลแปดกินข้าวมื้อเดียว บางคนก็กินข้าวโรงแรมคาบละหมื่นบาท บางคนกว่าจะได้รถอีแต๋นสักคัน ก็ต้องคอยสามปี บางคนเปลี่ยนรถให้ลูกปีละสามคัน คันละสิบล้านขึ้น ยิ่งเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันอย่างนี้ก็ต้องมีรัฐบาลที่มีศีลธรรม ไม่ใช่มีซีอีโอเป็นนายใหญ่เอาแต่ใจตนเองและพรรคพวก ถึงเวลาก็มาทำปากหวาน หลอกเราว่าจะกระจายรายได้ มันจะเอาที่ไหนไปกระจาย ก็มันไปแบ่งกันเหมือนกับหุ้นในบริษัทเสียจนเกือบจะหมด

อีกอย่างหนึ่ง บริษัทมันมีวันเจ๊งได้ เหมือนกับสหกรณ์เกษตรดอนอะรางของคำตานั่นแหละ เจ๊งแล้วก็เจ๊งไป ตั้งกันขึ้นมาใหม่ ทดลองกันอาใหม่ แต่ประเทศชาติมันเจ๊งอย่างบริษัทไม่ได้ ความทุกข์ยากปากหมองของประชาชนมันจะเอามาเป็นเครื่องทดลองไม่ได้

คำตาเอ๋ย ไอ้ผู้นำอย่างนี้ ไอ้ความคิดอย่างนี้ ไอ้ระบอบแบบนี้ มันร้ายยิ่งกว่าผีบุญอีก

เมื่อไหร่คำตาพาพี่น้องออกมาเสียได้ก็จะเป็นบุญ

“ลุกขึ้นเถิด ชายชาญ อีสานเอ๋ย เพื่อนก็เคย เก่งกล้า อย่ามัวหนี

รวมพลัง ขลังขับ คนอัปรีย์ เพื่อเบิกอีสานใหม่ ให้ไพบูลย์”

“จากเพื่อนผู้ที่รักและศรัทธาคำตา”

ปล. ผมได้จดหมายนี้มาจากโคราช ผู้เขียนกำลังจะเดินทางกลับไปสวีเดน ถ้าคำตาหรือเพื่อนชาวอีสานต้องการตอบ ขอให้ติดต่อขอที่อยู่ได้จากอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์...........ปราโมทย์
กำลังโหลดความคิดเห็น